ตอนที่ 85 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

สามวันต่อมา เมืองเหม่ยจี้ก็คับคั่งไปด้วยผู้คน ทหารของทัพฮั่นยังคงรักษาความสงบภายในเมือง บนแท่นยกสูงที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราวกลางเมือง หลิวเป้า อดีตผู้นำชนเผ่าซยงหนู เวลานี้ดูไปน่าเวทนาอยู่บ้าง สองมือถูกมัด เขานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ตามใบหน้ามีคราบโลหิตที่แห้งกรังกระจายเป็นจุดๆ ผมเผ้าถูกปล่อยสยายยุ่งเหยิง ไม่เหลือเค้าลางความเป็นผู้นำแต่อย่างใด

ผู้นำซยงหนูถูกจับและกำลังจะถูกประหน้าต่อหน้าธารกำนัล นี่ย่อมเป็นข่าวที่น่าตื่นเต้นอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้คนที่รอดจากหายนะมาได้ย่อมไม่ต้องการพลาดฉากนี้

ชาวบ้านต่างมามุงดูด้วยความตื่นเต้น และหลิวเป้าที่นั่งคุกเข่าอยู่บนแท่นยกสูงก็ต้องทนรับเสียงก่นด่าสาปแช่งจากผู้คนทั้งหมด

เมื่อเสียงด่าทอเริ่มซาลง โจเส็งก็ก้าวออกมาประกาศด้วยเสียงอันดัง "หลิวเป้า ในฐานะผู้นำชนเผ่าซยงหนู ได้ยุยงปลุกปั่นชาวซยงหนูให้โจมตีเมืองเหม่ยจี้และเมืองก่วงเหยี่ยน ทำให้มีผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตายหลายพันคน ดังนั้นจึงสมควรรับโทษประหารชีวิต เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของผู้ตาย"

เพชฌฆาตดื่มเหล้าอึกใหญ่ก่อนจะพ่นอาบผิวดาบที่อยู่ในมือ จากนั้นจึงเงื้อดาบขึ้นสูง ผู้คนต่างชมดูอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ทราบผู้ใดเป็นคนขว้างไข่ออกไปเป็นคนแรก เพียงไม่นาน สารพัดผักและไข่เป็ดไข่ไก่ก็ปลิวเต็มฟ้า

ชาวบ้านต่างขว้างปาสิ่งของกันอย่างดุร้าย จนเพชฌฆาตที่รอทำหน้าที่ต้องถอยแล้วถอยอีก ตัวเขามาจากเมืองเหม่ยจี้ ดังนั้นความชิงชังที่มีต่อหลิวเป้าจึงเป็นที่คาดคะเนได้ เขาปรารถนาใคร่จะฟันใส่คนผู้นี้สักพันดาบ

เมื่อพวกชาวบ้านค่อยๆสงบลง เพชฌฆาตก็ก้าวออกมาอีกครั้ง เขาง้างดาบขึ้นอีกครั้งก่อนจะฟันฉับลง ศีรษะใบหนึ่งก็กระเด็นกลิ้งไปตามพื้น ขณะที่โลหิตก็ฉีดพุ่งจากร่างที่ไร้ศีรษะ

เมืองเหม่ยจี้และเมืองก่วงเหยี่ยนกลับคืนมาเป็นของชาวฮั่นอีกครั้ง ขณะที่ขุนนางดูแลพื้นที่อย่างจางซิวหนีหาย คนที่ออกหน้ามาช่วยเหลือก็มีเพียงแค่ลิโป้เท่านั้น เขายังได้อาศัยช่วงที่สถานการณ์กำลังวุ่นวายนำรูปแบบของเมืองจิ้นหยางมาปรับใช้กับเมืองทั้งสอง

เมื่อพวกชาวบ้านได้ทราบเรื่องก็แซ่ซ้องสรรเสริญ ทำให้ชื่อเสียงบารมีของใต้เท้าเจ้าเมืองลิโป้ได้เพิ่มสูงขึ้นไปอีกระดับ ครั้งนี้ ขอเพียงมีคนพูดจาว่าร้ายลิโป้ ก็ถูกรายงานต่อพวกทหารทันที

หลังจากได้ติดต่อคลุกคลีอยู่หลายวัน ชาวเมืองเหม่ยจี้ก็พบว่าทหารฮั่นเหล่านี้ไม่ดุร้ายแต่อย่างใด ทั้งยังมีความอดทนอดกลั้นในการการพูดคุยอธิบายกับชาวเมือง ทั้งยังติดประกาศแจ้งว่าพวกเขาจะให้ความช่วยเหลือหากว่าชาวเมืองพบเจอปัญหาใดๆ

เรื่องนี้ได้สร้างความสบายใจให้กับชาวบ้านที่บาดเจ็บอย่างมาก นับแต่โบราณมาผู้ที่เผชิญชะตาขมขื่นที่สุดก็คือเหล่าชาวบ้าน ในสายตาของบุคคลระดับสูงแล้ว ชนชั้นรากหญ้านั้นไม่มีค่าในสายพวกเขาแต่อย่างใด แม้พวกเขาจะคิดว่า ทั้งหมดต่างก็เป็นคนเหมือนกัน แต่ก็มีคนอยู่ไม่มากที่จะกังวลห่วงใยชาวบ้านจริงๆ

มาตราการรุนแรงของลิโป้ในเมืองเหม่ยจี้และเมืองก่วงเหยี่ยนไม่ได้ก่อผลสะท้อนมากสักเท่าใด หนึ่งนั้นเป็นเพราะได้รับความเชื่อใจจากชาวเมือง ขณะที่เหตุผลอีกข้อนั้น เป็นเพราะตระกูลใหญ่ต่างก็หลบหนีออกจากเมืองไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้ สำนักงานเมืองจึงสามารถเรียกคืนที่ดินกลับมาได้เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน พวกทหารก็จะบอกสิทธิพิเศษของการมีสมาชิกครอบครัวเป็นทหารอยู่ในกองทัพปิ้งโจวให้พวกชาวบ้านฟัง ทุกคนสามารถทดสอบเพื่อเข้าร่วมได้โดยไม่เกี่ยงว่าจะยากดีมีจน

เมื่อเป็นข่าวดี ก็ยิ่งแพร่กระจายไปได้รวดเร็ว เมื่อได้ทราบถึงสวัสดิการของทหารในกองทัพปิ้งโจว ผู้คนก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา หากเป็นเจ้าเมืองคนก่อนๆ พวกชาวบ้านก็คงจะไม่เชื่อ แต่เมื่อเป็นลิโป้ พวกเขาก็เชื่อสนิทใจ ชีวิตที่มั่นคงและที่นาก็ล้วนแต่เป็นเจ้าเมืองลิโป้ที่นำมาให้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะไม่เชื่อ

หลายคนสนใจจะเข้าร่วมกับกองทัพ คนหนุ่มมากมายกระทั่งเดินทางไปที่ค่ายทหารเพื่อร้องขอเข้าร่วมภายใต้การคะยั้นคะยอจากครอบครัว

เมืองเหม่ยจี้และเมืองก่วงเหยี่ยนอยู่ใกล้กับพื้นที่อาศัยของชนเผ่าซยงหนู หากดูแลจัดการได้เหมาะสม ก็จะสามารถพัฒนาที่ดินให้ใช้สอยประโยชน์ได้อีกมาก ชนเผ่าซยงหนูเป็นชนเผ่านักรบบนหลังม้า เสื้อผ้า ใบชา เครื่องเคลือบและอื่นๆล้วนเป็นของหายากสำหรับพวกเขา ดังนั้นสามารถใช้เมืองทั้งสองเป็นตลาดค้าขายกับชนเผ่าซยงหนู ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

และตลาดก็จำเป็นต้องมีกำลังทหารเฝ้าดูแล แน่นอนว่าผู้ที่เหมาะสมที่สุดก็ย่อมต้องเป็นคนจากท้องถิ่น พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ย่อมมีทั้งความคุ้นเคยและใจที่รักบ้านเกิด ควบคู่ไปกับสิทธิพิเศษของกองทัพปิ้งโจว เมื่อพวกเขาเข้าร่วมกับกองทัพแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่แน่นอนว่าจะต้องปฏิบัติหน้าที่สุดความสามารถ ที่ต้องทำก็แค่ต้องส่งขุนนางมาดูแล ส่วนพวกตระกูลที่หอบข้าวของหนีไปแล้วย้อนกลับมาใหม่น่ะหรือ? เสียใจด้วย บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเจ้ากลายเป็นของหลวงหมดแล้ว

ผู้ที่มีสิทธิมีเสียงก็คือผู้ที่มีกำลังทหารอยู่ในมือ นี่ก็คือความจริงตลอดกาล

ชนเผ่าซยงหนูออกจากเมืองไป พวกเขาย่อมไม่กล้าเล่นตุกติกกับลิโป้ พวกเขาได้คัดเลือกนักรบจำนวนสามพันคนที่มีทักษะขี่ม้ายอดเยี่ยมจากชนเผ่าต่างๆ โดยมีฮูลี่นำพวกเขามาส่งถึงเมืองเหม่ยจี้ให้ด้วยตนเอง ผู้บัญชาการนักรบทั้งสามพันคนนี้ก็คือบุตรชายของอวี๋ฟู่หลัว เรียกว่า ฮูฉูฉวน ซึ่งเป็นการแสดงความจริงใจของชนเผ่าซยงหนู

ลิโป้ได้ทำพิธีต้อนรับฮูลี่อย่างจริงจัง นักรบชาวซยงหนูเหล่านี้สามารถเป็นทหารม้าชั้นยอดได้โดยไม่ต้องฝึกฝน หากติดโกลนม้าเพิ่มเข้าไป ความสามารถในการขี่ม้าพวกเขาก็เทียบได้กับระดับแม่ทัพทั่วไปได้เลย หากตอนที่ต่อสู้กัน แล้วพวกเขาได้ติดตั้งโกลนม้า โอกาสที่ทหารม้าเฟยฉีจะชนะก็จะลดน้อยลง

พวกซยงหนูย่อมไม่ทราบว่าที่พวกเขาพ่ายแพ้อย่างย่อยยับก็เพราะเจ้าสิ่งของชิ้นเล็กๆนี้เอง และในเมื่อลิโป้เอาชนะพวกเขาได้แล้ว เขาก็ย่อมไม่ปล่อยให้พวกเขากลับมายิ่งใหญ่ได้อีก ที่ชนเผ่าซยงหนูต้องการมากที่สุดในเวลานี้ก็คือการอาศัยอยู่ในแผ่นดินฮั่นอย่างมั่นคง เชื่อว่าตราบที่สำนักงานเมืองสัญญาว่าจะให้พวกเขาสร้างเมืองอยู่อาศัยอย่างมั่นคงแล้ว ในระยะยาว วิถีชีวิตของพวกเขาก็จะค่อยๆถูกหลอมรวมเข้ากับชาวฮั่น

ฮูลี่รู้สึกมีความสุขอย่างมากที่สามารถพบปะพูดคุยกับท่านเจ้าเมืองโดยลำพัง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่อวี๋ฟู่หลัวไม่ได้รับ

"ประมุขฮูจัดส่งนักรบซยงหนูมาที่นี่ด้วยตัวเอง ขุนนางผู้นี้ต้องขอบคุณท่านแล้ว" ลิโป้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ปัจจุบันนั้น สองคนที่มีอำนาจมากที่สุดในชนเผ่าซยงหนูก็คือ อวี๋ฟู่หลัวและฮูลี่ ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว อำนาจของอวี๋ฟู่หลัวยังเทียบกับฮูลี่ไม่ได้ ตามแผนการของกาเซี่ยงนั้น พวกเขาจะตัดทอนอำนาจของฮูลี่และคอยสร้างสถานการณ์ให้อวี๋ฟู่แลัวกับฮูลี่คอยถ่วงดุลกัน ไม่ให้รวมกำลังกันเป็นปึกแผ่นได้

"ใต้เท้า นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำอยู่แล้วขอรับ" ฮูลี่ค้อมคำนับ

"ประมุขฮูไม่ต้องมากพิธี อยู่ต่อหน้าขุนนางผู้นี้ ท่านสามารถทำตัวตามสบาย ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไปนัก"

ทั้งสองเจรจากันเป็นเวลานาน ลิโป้ก็ตอบตกลงเรื่องที่จะจัดหาอาวุธให้ฮูลี่ เพียงแต่เขาก็ต้องการม้าศึกและปศุสัตว์เป็นการตอบแทน แน่นอนว่าฮูลี่ย่อมไม่เต็มใจ ปศุสัตว์ก็คือสิ่งที่สำคัญจนขาดไปไม่ได้สำหรับผู้คนบนทุ่งหญ้า แต่พวกเขาก็ต้องการอาวุธ

ด้วยจำนวนอาวุธที่มากพอ เขาก็มั่นใจว่าพลังต่อสู้ของทหารของเขาจะสามารถทิ้งห่างจากอวี๋ฟู่หลัวไปไกลจนไม่ต้องกังวลว่าอวี๋ฟู่หลัวจะลอบโจมตี

คืนนั้น ลิโป้ได้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่จวนนายอำเภอและเชิญฮูลี่มาเป็นแขก รวมถึงบรรดาแม่ทัพ ทำให้ฮูลี่รู้สึกมั่นใจมากขึ้น

เมื่อได้ทราบว่าใต้เท้าเจ้าเมืองที่ดูสง่างามผู้นี้แท้จริงแล้วได้สังหารทหารม้าซยงหนูไปเป็นจำนวนมากด้วยตัวคนเดียว เขาก็ยิ่งเลื่อมใสลิโป้ขึ้นไปอีกขั้น ชนเผ่าซยงหนูนั้นเทิดทูนผู้แข็งแกร่ง ในอดีตนั้นเจ้าเมืองส่วนใหญ่ล้วนชื่นชมขุนนางบุ๋น ทำให้ลิโป้คล้ายกลายเป็นคนนอกสำหรับพวกเขา แต่กับชาวซยงหนูนั้น พวกเขารู้สึกเลื่อมใสลิโป้มาก

"นายท่าน ตอนนี้ปัญหาเรื่องเมืองเหม่ยจี้และเมืองก่วงเหยี่ยนก็ได้รับการแก้ไขแล้ว และทั้งสองเมืองก็มีแม่ทัพโกซุ่นและแม่ทัพโจเส็งเฝ้าดูแล ข้าน้อยคิดว่าคงไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นอีก ใยนายท่านไม่ถือโอกาสนี้จัดการกู่โหลว และผิงติ้งไปเลยล่ะขอรับ จากนั้นเมืองซีเหอก็จะเป็นของนายท่านอย่างแท้จริง" กาเซี่ยงหัวเราะเบาๆ

"เหวินเหอ กองทัพใหม่ปิ้งโจวยังต้องการประสบการณ์ในการรบ ข้าได้ยินมาว่ามีพวกโจรโพกผ้าเหลืองอยู่ภายในเขตเมืองซีเหอ ไม่ทราบว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่หรือไม่?" ลิโป้พลันถามขึ้นมา