กอปรกับมีอ้องอุ้นคอยยุยง ฮัวหยงจึงยิ่งมายิ่งรู้สึกไม่พอใจต่อตั๋งโต๊ะ ทุกครั้งที่ได้เห็นร่างอ้วนท้วมของตั๋งโต๊ะเขาก็รู้สึกสะอิดสะเอียน แต่เพราะตั๋งโต๊ะมีบารมีอยู่ในใจของเขามาหลายปี ดังนั้นเขาจึงยังไม่มีความคิดกระทำการเกินเลยไปนัก
นับตั้งแต่ซิ่วเอ๋อร์หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่าเตียวเสี้ยนหายตัวไปอย่างลึกลับ ฮัวหยงก็ยิ่งมีอารมณ์ขุ่นมัว เขามักจะไปร่ำสุราหารือกับอ้องอุ้นอยู่บ่อยๆ
ภายใต้การกล่าวชี้แนะของอ้องอุ้น ยิ่งมาฮัวหยงก็ยิ่งไม่พอใจตั๋งโต๊ะมากขึ้นทุกวัน
ตั๋งโต๊ะที่เอาแต่เสพสุขไม่ทราบเลยว่า บัดนี้แม่ทัพอันดับหนึ่งของเขาแม่ทัพฮัวหยงได้เริ่มเดินอยู่บนเส้นทางที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาแล้ว วันๆเขาเอาแต่โอบกอดสาวงามอยู่ในตำหนักเหมยอู่ ภายในตำหนักนั้นอุดมไปด้วยเสบียงอาหารราวกับอาณาจักรส่วนตัว ไม่มีผู้ใดกล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา ด้วยมีลิฉุยกับกุยกีนำทหารหมีบินสามพันนายคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา ดังนั้นที่นี่จึงปลอดภัยกว่าในเมืองฉางอันหลายเท่า
ไม่ใช่ว่าตั๋งโต๊ะไม่ต้องการอยู่ในเมืองฉางอัน แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะเหล่าขุนนางในราชสำนักมักจะลอบเคลื่อนไหวลงมือ เขาจึงกังวลว่าขุนนางเหล่านี้จะสุมหัวรวมกันจนเกิดเหตุการณ์ที่เป็นภัยต่อชีวิตของเขา ดังนั้นใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในตำหนักเหมยอู่ย่อมดีกว่า ยิ่งกว่านั้น สถานที่อยู่อาศัยของฮ่องเต้น้อยในฉางอันอย่างพระราชวังนั้นยังไม่ค่อยสบายเท่าสักใด
วันต่อมา ซุนรุ่ยก็นำทหารม้าสิบคนมายังตำหนักเหมยอู่เพื่อเข้าพบตั๋งโต๊ะ
ซุนรุ่ยติดต่อกับลูกน้องของตั๋งโต๊ะด้วยความเคารพนอบน้อม
"ขุนนางซุนมาหาตั้งแต่เช้า มีเรื่องใดรึ?" ตั๋งโต๊ะเอ่ยถาม
ซุนรุ่ยค้อมคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะตอบว่า "เรียนท่านอุปราช ฝ่าบาทรู้สึกว่าพระองค์ไม่ยอดเยี่ยมเท่าใต้เท้า อีกทั้งบัดนี้ราชสำนักฮั่นยังระส่ำระส่าย บรรดาเจ้าเมืองกุมกำลังอำนาจทางทหารไว้ในมือ ไม่ยินยอมรับคำสั่งจากราชสำนัก พระองค์รู้สึกกังวลต่อเรื่องนี้ยิ่ง ความกล้าหาญของท่านอุปราชเป็นที่ลือเลื่องทั่วแผ่นดิน ฝ่าบาทต้องการจะเลียนเอาอย่างหยางและชุ่นโดยการยกราชบัลลังก์ให้กับท่านอุปราช ก่อนที่จะจากมา ฝ่าบาทได้กำชับว่าไม่ให้ท่านอุปราชปฏิเสธ"
ตั๋งโ๖๊ะตาลุกวาว แต่ก็สะกดความตื่นเต้นยินดีเอาไว้ "ขุนนางซุนกล่าวหนักไปแล้ว แม้ว่าฝ่าบาทจะยังทรงพระเยาว์ แต่ก็ปราดเปรื่อง ในภายหน้าพระองค์จะต้องเป็นผู้ปกครองที่ชาญฉลาดอย่างแน่นอน ยิ่งเรื่องการฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นนั้นก็ยิ่งไม่มีปัญหา"
"ท่านอุปราชอย่าได้ปฏิเสธอีกเลยขอรับ ขุนนางในราชสำนักส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า มีเพียงท่านอุปราชขึ้นนั่งบัลลังก์เท่านั้น ราชวงศ์ฮั่นจึงจะสงบสุข"
ยิ่งฟังตั๋งโต๊ะก็ยิ่งยิ้มกว้าง เขาเบื่อที่จะเป็นเพียงข้าราชบริพารและอยากขึ้นเป็นฮ่องเต้มานานแล้ว หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าบรรดาเจ้าเมืองจะรวมกำลังกันโจมตี เขาก็คงแย่งชิงบัลลังก์ไปนานแล้ว บัดนี้ฮ่องเต้น้อยยกราชบัลลังก์ให้กับเขาอย่างเชื่อฟัง ทำให้เขาไม่ต้องเปลืองความคิดเปลืองคำพูด ส่วนขุนนางในราชสำนักเหล่านั้น แม้ตั๋งโต๊ะจะเกรงกลัวอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวเป็นจริงเป็นจังอะไร ต้องทราบว่ากองทัพที่ประจำการอยู่ในฉางอันเวลานี้ก้ล้วนแต่เป็นทหารของเขา กล่าวได้ว่าชีวิตของขุนนางเหล่านั้นล้วนแต่อยู่ในกำมือของเขา
ตั๋งโต๊ะเชื่อคำกล่าวของซุนรุ่ย นับตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่ลั่วหยางจนถึงปัจจุบัน ซุนรุ่ยก็คอยจัดการเรื่องราวให้กับเขาหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงไว้วางใจซุนรุ่ย
"ซือถูอ้องอุ้นเล่า เขาว่าอย่างไรบ้าง?" ตั๋งโต๊ะเอ่ยถาม
เมื่อเห็นรอยยิ้มยินดีที่ปกปิดไม่มิดบนใบหน้าตั๋งโต๊ะ ดวงตาของซุนรุ่ยก็ฉายแววมุ่งมั่น เขารีบกุมมือกล่าวว่า "ใต้เท้าซือถูกล่าวว่าท่านอุปราชเหมาะสมที่จะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์และกลายเป็นมหาบุรุษขอรับ"
เมื่อได้ยินจากซุนรุ่ยว่าอ้องอุ้นไม่คัดค้าน ขุนนางในราชสำนักต่างก็เห็นด้วย ตั๋งโต๊ะก็ร้อนใจขึ้นมา นี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้สวมมงกุฎจักรพรรดิ เทียบกับการเป็นอุปราชแล้วก็แตกต่างราวฟ้ากับเหว
เขาสั่งให้ลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียวนำทหารหมีบินอยู่เฝ้าตำหนัก จากนั้นตั๋งโต๊ะจึงออกเดินทางไปยังฉางอัน
เนื่องเพราะประสบกับโชควาสนาหล่นทับ ตั๋งโต๊ะจึงมีความสุขมาก เขากล่าวต่อซุนรุ่ยว่า "หากข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะได้เป็นขุนนางจื๋อจินอู๋(เจ้ากรมนครบาล)"
ซุนรุ่ยรีบกล่าวขอบคุณ สีหน้าเพิ่มความยินดีขึ้นหลายส่วน
เมื่อเห็นซุนรุ่ยยินดีที่จะได้เห็นเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ ตั๋งโต๊ะก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้าง ในใจรู้สึกเบิกบานเป็นที่สุด ในใจจึงลอบคิดขึ้นว่า 'ไม่ว่าผู้ใดก็ใฝ่ฝันจะเป็นฮ่องเต้กันทั้งนั้น'
ตั๋งโต๊ะนั่งรถม้าออกจากตำหนัก หน้าหลังมีทหารองค์รักษ์คุ้มครองอย่างแน่นหนา เมื่อชาวบ้านตามทางพบเห็นขบวนทหารอันใหญ่โต พวกเขาก็รีบหลีกทางให้ กองทัพเสเหลียงมีชื่อเสียงยู่ในฉางอันมาก ปฏิกิริยาแรกของบรรดาชาวบ้านและพ่อค้าเมื่อพบเห็นพวกเขาคือการหลบลี้หนีหน้า
ตั๋งโต๊ะให้ความสำคัญกับการทำนุบำรุงกองทัพ มีเพียงกุมอำนาจทางทหารอยู่ในมือ เขาจึงสามารถวางใจ และเขาก็ค่อนข้างตามใจทหารใต้บัญชา เรื่องนี้นำไปสู่การทำให้ทหารของเขามีวินัยหย่อนยานเที่ยวรีดไถชาวเมืองในฉางอัน
หลังจากตั๋งโต๊ะเข้าสู่เมืองหลวงและกำลังเดินทางไปยังท้องพระโรง บรรดาขุนนางต่างก็พากันออกมาต้อนรับเขา
เมื่อมาถึงประตูวังทิศเหนือ จู่ๆก็มีทหารมาขวางประตูเอาไว้ ตั๋งโต๊ะมองเห็นอ้องอุ้นและขุนนางคนอื่นๆยืนอยู่เหนือประตูวัง ที่บั้นเอวพวกเขาล้วนพกพากระบี่ ดังนั้นตั๋งโตีะจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความประหลาดใจ "พกพากระบี่เช่นนี้ พวกเจ้ามีจุดประสงค์ใด?"
ซุนรุ่ยที่เป็นสารถีไม่ได้เอ่ยตอบ เขายังคงบังคับรถม้าตรงไปทางประตูวัง
ตั๋งโต๊ะฉุกคิดว่าผิดท่า ทราบแล้วว่าซุนรุ่ยวางกับดักตนเอง ดังนั้นจึงรีบตะโกนขึ้นว่า "ฆ่าพวกมัน"
อ้องอุ้นยกมือกุมด้ามกระบี่พลางตะโกนด้วยเสียงอันดัง "โจรกบฏอยู่นี่แล้ว ทหารหาญอยู่ที่ใด?"
ทันใดนั้นก็มีทหารร้อยกว่านายโผล่ออกมาจากสองข้างทาง ทั้งหมดเล็งหอกไปยังรถม้าก่อนจะแทงเข้าไป ตั๋งโต๊ะถูกแทงเข้าที่แขน ดังนั้นเขาจึงรีบร้องตะโกน "ฮัวหยงอยู่ไหน?"
ฮัวหยงพลันตะโกนมาจากทางด้านหลังของรถม้า "มีคำสั่งให้ลงโทษโจรกบฏ!" กล่าวจบก็ยกง้าวฟันใส่ตั๋งโต๊ะที่กำลังนิ่งตะลึง
ซุนรุ่ยชักกระบี่ก้าวออกไปตัดศีรษะของตั๋งโต๊ะก่อนจะยกชูพลางตะโกน "ตั๋งโต๊ะถูกสำเร็จโทษแล้ว! หากผู้ใดต่อสู้ขัดขืน ก็จะถือว่าเป็นโจรกบฏเช่นกัน!"
เหล่านายกองที่ติดตามตั๋งโต๊ะมา เมื่อเห็นว่าตั๋งโต๊ะตายด้วยน้ำมือฮัวหยง พวกเขาก็รีบทิ้งอาวุธทันที
ตั๋งโต๊ะที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในราชสำนักกลับตายก่อนจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้
เมื่อลิยูทราบว่าเกิดเหตุแปรเปลี่ยนขึ้นที่พระราชวัง เขาก็รีบรวมกำลังกับลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียวเร่งหลบหนีกลับไปยังเสเหลียงตลอดทั้งคืน
ฮัวหยงรวบรวมไพร่พลในเมืองแล้วจึงเข่นฆ่าไปทางตำหนักเหมยอู่ กวาดล้างเครือญาติทั้งหมดของตั๋งโต๊ะและยึดเสบียงจำนวนนับไม่ถ้วนในตำหนักมา
หลังจากตั๋งโต๊ะตาย ฉางอันก็ฟื้นคืนความมีชีวิตชีวา ตั๋งโต๊ะเป็นทรราชยื เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีทั่วแผ่นดิน
หลังจากลิฉุยและคนอื่นๆนำกำลังหลบหนีกลับไปที่เสเหลียง พวกเขาก็ส่งคนมาร้องขออภัยโทษจากราชสำนัก หากแต่ก็ถูกอ้องอุ้นปฏิเสธไป
ภายใต้การชี้แนะของลิยู แม่ทัพทั้งสี่ก็รวบรวมไพร่พล ตระเตรียมยาตราทัพเข้าสู่ฉางอันเพื่อล้างแค้นให้กับตั๋งโต๊ะ มีข่าวลือหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วเสเหลียง นั่นคือ "อ้องอุ้นต้องการจะล้างเลือดเสเหลียง"
ภายใต้ความวิตกกังวล แม่ทัพทั้งสี่จึงรวบรวมไพร่พลได้กว่าหนึ่งแสนคน ทั้งสี่แบ่งกำลังแยกกันโจมตีฉางอัน เมื่อลู่เฝิงและจงหลังเจี้ยง(ขุนพลราชองค์รักษ์)อย่างงิวฮู ผู้เป็นบุตรเขยของตั๋งโต๊ะทหราบข่าว พวกเขาก็เตรียมจะนำทหารห้าพันบุกตีฉางอันเพื่อล้างแค้นให้ตั๋งโต๊ะ ลิฉุยได้นำกำลังมาสมทบกับเขาแล้วให้เขาเป็นทัพหน้าบุกตีฉางอัน
ด้วยความทุ่มเทของลิบ้องและหวังฟาง ประตูเมืองก็ถูกตีแตก สี่ทัพผสานกำลังกันบุกเข้าฉางอัน
เมื่อเห็นว่าฉางอันไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป ฮัวหยงก็นำกำลังหลบหนีออกจากเมือง
หลังจากยึดครองฉางอันได้แล้ว ลิฉุยและกุยกีก็ปล่อยให้พวกทหารปล้นสะดมได้ตามอำเภอใจ ทำให้มีขุนนางมากมายตายในเหตุการณ์ครั้งนี้
จู่ๆทันใดนั้นเองก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ณ วังที่ประทับของฮ่องเต้ ลิฉุย กุยกีและคนอื่นๆรีบนำกำลังไปยังพระราชวังเพื่อดับไฟ
ที่แท้ก็เป็นฝีมือของงิวฮูที่เข้าไปในพระราชวังก่อนจะวางเพลิงตามคำแนะนำของลิยู
เปลวเพลิงนี้ได้ทำให้ผู้คนทั่วแผ่นดินพากันนั่งไม่ติด ไม่มีผู้ใดสามารถการันตีได้ว่าองค์ฮ่องเต้นั้นสามารถรอดออกมาได้หรือไม่ ราชวงศ์ฮั่นต้องเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่เพราะการวางเพลิงของงิวฮู
ตั๋งโต๊ะดีต่อลิยูยิ่ง ดังนั้นการตายของตั๋งโต๊ะจึงทำให้ความแค้นบดบังสติสัมปชัญญะไป ลิยูเพียงต้องการเข่นฆ่าขุนนางในเมืองฉางอันให้หมดสิ้น ส่วนเรื่องการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้จะสร้างความสะท้านให้ทั่วแผ่นดินหรือไม่นั้น เขาหาได้ใส่ใจไม่
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved