"ใต้เท้า ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ" เมื่อสังเกตเห็นว่าทั้งสองเริ่มสบตากัน บิต๊กก็รีบหลบฉากออกมา
บิเจินพลันขวยเขินขึ้นมา ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการปฏิสัมพันธ์กับบุรุษแปลกหน้าในระยะใกล้เป็นครั้งแรก อีกทั้งบุรุษผู้นี้ยังมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสามีของนางในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นางจะรู้สึกประหม่า ขณะเดียวกันในใจของนางก็อดรู้สึกสนใจใคร่รู้ขึ้นมามิได้ ในแผ่นดินนี้มีคำร่ำลือเกี่ยวกับลิโป้มากมาย ในฐานะสตรีที่รู้หนังสือ นางย่อมไม่พลาดการติดตามข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ต้าฮั่น ไม่ว่าสตรีนางใดก็ยากจะต้านทานเสน่ห์ของวีรบุรุษผู้กล้า
"คุณหนูบิเจินมีงานอดิเรกเป็นอย่างไรบ้าง?" ลิโป้เป็นฝ่ายชวนคุยเพื่อลดความกระอักกระอ่วน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง บิเจินก็ตอบว่า "หนูเจียพอจะมีความสามารถในการดีดฉิน หมากล้อม พู่กัน วาดภาพ อยู่บ้างเจ้าค่ะ งานเย็บปักถักร้อยก็เช่นกัน"
"อืม ข้าเป็นเพียงคนหยาบกร้าน รู้จักแต่เพียงการต่อยตี" ลิโป้กล่าวอย่างกระดากอาย ต่อหน้าหญิงงามเช่นนี้ เขากลับไม่มีอะไรให้สามารถนำไปอวดนางได้
"ใต้เท้ามีฝีมือเยี่ยมยุทธ์ สามารถปราบซยงหนู เอาชนะเซียนเป่ย ทั้งยังต้านต้านทานอ้วนเสี้ยวได้สำเร็จ มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วแผ่นดิน ไม่ทราบมีคนตั้งมากมายเพียงใดที่อยากเป็นวีรบุรุษเช่นใต้เท้า" บิเจินกล่าว
"อย่างข้าน่ะหรือวีรบุรุษ?" ได้ยินคำนี้จากปากบิเจิน ลิโป้ก็รู้สึกว่าคำ "วีรบุรุษ" นี้ดูดีไม่เลว
"หากว่าใต้เท้ามิใช่วีรบุรุษ ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดคู่ควร?" บิเจินไต่ถาม
หลังจากสนทนากันได้สักพัก ลิโป้ก็กล่าวลาบิเจินก่อนจจะจากไป หลังจากบิเจินย่อคำนับส่งลิโป้จากไปแล้ว นางก็กลับเข้าห้องก่อนจะถอนหายใจยาวจนทรวงอกขยับขึ้นลงอย่างแรง
ในสายตาของลิโป้ บิเจินยังเป็นพียงเด็กหญิงไร้เดียงสา ดังนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าหลังจากกลับมาแล้ว กุยแกก็อธิบายเจตนาของบิต๊ก ที่แท้บิต๊กกลับมีความคิดจะยกบิเจินให้แต่งงานกับเขา ลิโป้อดรู้สึกสับสนขึ้นมาไม่ได้ บิเจินและเตียวเสี้ยนนั้นมีอายุไล่เลี่ยกัน พวกนางต่างก็มีอายุยังไม่ถึงสิบแปดปี กล่าวได้ว่ายังเป็นเด็กหญิงทั้งคู่ แล้วจะพูดคุยถึงเรื่องแต่งงานได้อย่างไร? อีกทั้งตัวเขาเพิ่งพบหน้าบิเจินเป็นครั้งแรก เรื่องสำคัญเช่นนี้จึงไม่ควรรีบร้อนตัดสินใจ
ในใจของเขารู้สึกประทับใจบิเจินไม่น้อย หากแต่เรื่องการแต่งงานนั้นออกจะเร็วเกินไป ในกรณีของเตียวเสี้ยน เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้จักกันมานาน ดังนั้นจึงมีความรู้สึกอันลึกล้ำต่อกัน ด้วยเหตุนี้ เหยียนหรานจึงสามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้สำเร็จ แต่เพราะเตียวเสี้ยนยังเยาว์วัยเกินไป ดังนั้นเรื่องการแต่งงานจึงถูกเลื่อนออกไปก่อน
ตอนนี้เขากลับต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์เดิมอีกครั้ง ในใจจึงไม่เห็นด้วย
กุยแกย่อมเข้าใจความคิดของลิโป้ ดังนั้นจึงเผยยิ้มก่อนจะกล่าวว่า "น้องสาวของบิต๊กนับเป็นยอดโฉมสะคราญแห่งชีจิ๋ว ในเมื่อเป็นความเต็มใจของบิต๊ก อีกทั้งนายท่านยังคงมีภรรยาเพียงคนเดียว หากว่านายท่านแต่งนางเข้าบ้าน บิต๊กก็จะรู้สึกคลายความกังวลและรับใช้นายท่านได้อย่างเต็มที่"
มุมปากของลิโป้กระตุกเบาๆ "เฟิ่งเซี่ยว เรื่องนี้ไม่อาจด่วนตัดสินใจ ข้าเพิ่งได้พบหน้าบิเจินเพียงหนเดียว จะรีบเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรักเป็นพื้นฐาน เอาไว้ค่อยพูดคุยหลังจากพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายเถอะ"
กุยแกจ้องมองลิโป้พลางอ้าปากค้าง เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรักเป็นพื้นฐาน? ในยุคสมัยเช่นนี้ ไม่ง่ายเลยที่บุรุษและสตรีจะได้พบหน้ากันก่อนแต่งงาน ผู้คนภายในเมืองชีจิ๋วต่างทราบว่าบิเจินนั้นมีรูปโฉมงามงด หากแต่มีเพียงไม่กี่คนที่เห็นนางจริงๆ เพราะโดยปกติแล้วสตรีมักเก็บตัวอยู่ในบ้านและไม่เผยโฉมโดยง่าย
"นายท่าน นี่...นี่..." แม้แต่กุยแกผู้ทรงปัญญาก็ยังไม่ทราบจะตอบลิโป้ว่าอย่างไร เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้เพิ่งคุยโอ่ต่อหน้าบิต๊กไว้อย่างไรบ้าง กุยแกก็รู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว
"เฟิ่งเซี่ยว เรื่องพูดคุยกับบิต๊กข้ายกให้ท่านก็แล้วกัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตของสตรีนางหนึ่ง ไม่อาจด่วนตัดสินใจจนผิดพลาดไป" ลิโป้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในที่สุดเขาก็หาข้ออ้างเอาตัวรอดมาจนได้
มองดูลิโป้ที่รีบร้อนจากไป กุยแกก็รู้สึกว่าเจ้านายของตนไม่ได้ลุ่มหลงสาวงามดั่งในข่าวลือเลยแม้แต่น้อย เรื่องที่ว่าเสี่ยงชีวิตไปยังฉางอันเพื่อช่วยสาวงามอะไรนั่นก็เป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ!
..................................
เล่าปี่ให้ความสนใจต่อตระกูลบิและตระกูลโจอย่างยิ่ง ทั้งสองตระกูลนี้ต่างก็หยั่งรากลึกอยู่ในชีจิ๋วมาช้านาน โดยเฉพาะกับตระกูลโจ พวกเขาค่อนข่างมีอิทธิพลอยู่ในกองทัพชีจิ๋ว หากว่าเล่าปี่ต้องการจะปกครองชีจิ๋วอย่างราบรื่น เขาก็จะต้องได้รับความร่วมมือจากอีกฝ่ายเสียก่อน ทว่าหลังจากส่งตันเต๋งไปหยั่งเชิงทั้งสองตระกูลดู ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่า บิเจิน น้องสาวของบิต๊กนั้นได้หมั้นหมายไว้แล้ว และบิต๊กเองก็ไม่ได้บอกว่าคู่หมั้นของนางเป็นผู้ใด
หลังจากนั้น เล่าปี่จึงเชื่อคำแนะนำของตันเต๋งและเลือกจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลโจ แม้ว่าตระกูลโจขาดรากฐานในหลายๆด้านอยู่บ้าง แต่การได้รับการสนับสนุนจากตระกูลโจก็ยังมีส่วนช่วยไม่น้อย เพื่อที่จะทำให้ชีจิ๋วมั่นคงโดยเร็ว การดึงตระกูลโจมาช่วยงานนับว่ามีผลอย่างมาก
โจหวน ซึ่งเป็นบุตรีของโจป้า นับเป็นสาวงามแห่งชีจิ๋วเช่นกัน หลังจากได้ทราบเจตนาของเล่าปี่ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โจป้าก็ตอบตกลง ในชีจิ๋วเวลานี้ ผู้มีอำนาจอันดับหนึ่งย่อมเป็นเล่าปี่อย่างไม่ต้องสงสัย มีเพียงการผูกสัมพันธ์กับเล่าปี่ไว้เท่านั้นจึงจะสามารถยกระดับฐานะของตระกูล
ทางด้านโจโฉที่อยู่ระหว่างการเคลื่อนทัพ เมื่อได้ข่าวว่าโตเกี๋ยมล้มป่วยเสียชีวิต และเล่าปี่ได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วแทน เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ "ข้ายังไม่ทันได้ล้างแค้น เล่าปี่ก็โผล่มานั่งตำแหน่งเจ้าเมืองชีจิ๋วเสียแล้ว ข้าจะฆ่าเล่าปี่เสีย จากนั้นก็ขุดศพโตเกี๋ยมขึ้นมาฆ่าซ้ำเพื่อระบายโทสะ!"
ด้วยเหตุนี้ กองทัพโจโฉจึงได้รับคำสั่งให้เคลื่อนทัพเต็มกำลัง โจโฉสั่งให้แฮหัวตุ้นและอิกิ๋มนำไพล่พลจำนวนหนึ่งหมื่นเป็นทัพหน้ารุดไปก่อน
ไพร่พลเรือนหมื่นของโจโฉปรากฏขึ้นที่นอกเมืองชีจิ๋ว เกิดเป็นภาพราวกับเกลียวคลื่นสีดำ ไพร่พลเหล่านี้เป็นไพร่พลที่โจโฉรับเข้ากองทัพหลังจากเอาชนะกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองแห่งเฉงจิ๋วที่ถูกขับไล่มายังกุนจิ๋ว ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนหนุ่มฉกรรจ์ที่แข็งแรงในกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง เป็นไพร่พลที่มีประสบการณ์ในการกรำศึกและได้สร้างผลงานไว้มากมายในการบุกโจมตีชีจิ๋ว
เมื่อเล่าปี่ทราบข่าวว่าแฮหัวตุ้นและอิกิ๋มยกทัพใกล้เข้ามาแล้วก็บังเกิดความวิตก แม้กำแพงของเมืองชีจิ๋วจะสูงและหนา ทั้งยังมีไพร่พลป้องกันเมืองอยู่เกือบสามหมื่น กระนั้นไพร่พลเหล่านี้เป็นเพียงทหารเกณฑ์ทั่วไป เต๊งไก๋ จูล่ง และขงหยงต่างก็นำไพร่พลที่เข้มแข็งไปประจำการอยู่ที่เมืองเสียวพ่าย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะขับไล่ทัพหน้าของโจโฉกลับไป
จูล่งที่เพิ่งมาถึงจวนเจ้าเมืองชีจิ๋ว เมื่อได้เห็นลิโป้ เขาก็ตาเป็นประกาย เขารีบเดินเข้าไปกุมหมัดคำนับอย่างสุภาพ "คารวะใต้เท้า" สำหรับลิโป้นั้น จูล่งรู้สึกเลื่อมใสจากก้นบึ้งหัวใจ บางทีในสายตาของผู้อื่นอาจจะประเมินลิโป้แตกต่างออกไป ทว่านับตั้งแต่ที่เขาได้ร่วมมือกับลิโป้บุกทำลายชนเผ่าเซียนเป่ย ทั้งสองต่างก็รู้สึกเลื่อมใสซึ่งกันและกันยิ่ง
เมื่อเห็นฉากนี้ ในแววตาของเล่าปี่ก็ฉายแววอิจฉา เล่าปี่รู้สึกชื่นชมจูล่งมาก ขณะที่จะเดินทางมาช่วยชีจิ๋วครั้งนี้ เขายังเอ่ยปากพูดถึงจูล่งโดยไม่เจตนา จุดประสงค์ก็เพื่อเอาชนะใจจูล่ง ในฐานะถงหลิ่ง(ผู้บัญชาการ)แห่งกองกำลังม้าขาว เขาได้ติดตามลิโป้ไปสู้รบกับชาวเซียนเป่ยในทุ่งหญ้า หากสามารถรับตัวยอดขุนพลเช่นนี้มาช่วยงาน เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าในอนาคตจะไม่มีทัพม้าชั้นยอดอยู่ใต้บัญชา
"ที่จูล่งเดินทางมาจากเสียวพ่าย คงเป็นเพราะกองทัพของโจโฉที่นอกเมืองกระมัง" ลิโป้ทักทายยิ้มๆ
จูล่งพูดคุยกับลิโป้อยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกตัว ดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปคารวะเล่าปี่
บรรยายกาศภายในโถงค่อนข้างเครียดเคร่ง ข่าวร้ายค่อยๆถูกรายงานขึ้นมาติดต่อกัน ทุกคนที่อยู่ที่นี่นต่างก็ทราบว่าไพร่พลของโจโฉนั้นห้าวหาญชาญศึกและยากจะจัดการ
"เวลานี้ทัพหน้าของโจโฉมาถึงนอกเมืองแล้ว ทั่วทั้งเมืองต่างกำลังเสียขวัญ ไม่ทราบว่ามีแม่ทัพท่านใดจะอาสานำทัพออกไปทำลายทัพหน้าของโจโฉเพื่อกอบกู้ขวัญกำลังใจกองทัพหรือไม่?"
เล่าปี่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองเอ่ยปากถาม
ลิโป้นั้นก็เหมือนกับกวนอูและเตียวหุยที่ก้มหน้ามองพื้น ตัวเขาเคยมีมิตรไมตรีกับโจโฉ และที่มายังชีจิ๋วในครั้งนี้ก็เพื่อเกลี้ยกล่อมให้โจโฉถอยทัพกลับ ต่อให้เกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จก็ไม่มีอะไรเสียหาย เขาจะไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับโจโฉเพยงเพราะสิ่งที่เรียกว่าความชอบธรรมอย่างแน่นอน ผู้อื่นอาจไม่ทราบ แต่เขาทราบดีว่าในอนาคตภายภาคหน้า โจโฉจะน่ากลัวเพียงใด
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved