ตอนที่ 135 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

เมื่อเชวี่ยจีทราบว่าทัพฮั่นมีทหารไม่ถึงสามพันคน ในใจก็บังเกิดความรู้สึกเหยียดหยามขึ้นมา เขาโยนคำเตือนของซูลี่ทิ้งก่อนจะเร่งเดินทัพไปยังภูเขาต้านหานทั้กลางงวันและกลางคืน

แม้จะยังไม่พบเห็นร่องรอยของทัพฮั่น เชวี่ยจีก็มีความรู้สึกว่ากองของเขาอยู่ห่างจากทัพฮั่นไม่ไกลแล้ว ดังนั้นจึงเพิ่มหน่วยลาดตระเวนคอยระวังโดยรอบ

แม้ทัพเซียนเป่ยจะกำลังหยุดพักกันอยู่ แต่พวกเขาก็ผูกม้าศึกไว้ใกล้ตัว สามารถจับอาวุธขึ้นม้าได้ทุกเมื่อ ด้วยจำนวนที่มากกว่าอีกฝ่ายหลายเท่า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หวั่นเกรงใดๆ เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน

เตียนอุยเคยฝึกฝนอยู่ในภูเขาลู่เหลียงมานาน ดังนั้นจึงคุ้นชินกับยุทธวิธีของหน่วยเฟยอิง การเคลื่อนที่ของเขาจึงเงียบเชียบปราศจากสุ้มเสียงใด

"เหอะ ผีตายซากสองตน" ลิโป้หันไปส่งสัญญาให้เตียนอุยว่าแบ่งกันจัดการคนละเป้าหมาย

"นายท่าน พวกเซียนเป่ยนี่หลับลึกจริงเชียว แม้ตายแล้วยังไม่รู้สึกตัวเลย" เตียนอุยกระซิบ

"หากเจ้าเร่งเดินทางโดยไม่หยุดพัก แม้แต่อยู่บนหลังม้าเจ้าก็หลับได้" ลิโป้กระซิบตอบ

จูล่งเพียงติดตามทั้งสองอย่างเงียบๆ ในฐานะแม่ทัพชั้นแนวหน้าแล้ว เขาย่อมมั่นใจในฝีมือของตนเอง และเขาจะไม่ปล่อยให้ศัตรูรู้สึกตัว

ลิโป้ตบไหล่ทั้งสองคนเบาๆ จากนั้นจึงชี้ไปยังนักรบเซียนเป่ยสองคนที่กำลังนั่งอยู่ในพงหญ้าไม่ไกล

จูล่งผงะ เขาฝึกซ้อมฝีมืออยู่เป็นประจำ แน่นอนว่าการสังเกตรอบด้านก็ด้วย ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่าการละเลยเพียงชั่วขณะจะทำให้เขามองไม่เห็นนักรบเซียนเป่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าทั้งสอง

ลิโป้ชี้นักรบเซียนเป่ยทั้งสองก่อนจะพยักหน้าให้จูล่งและเตียนอุย จากนั้นตัวเขาเองจึงกวาดมองโดยรอบอย่างระมัดระวัง การลอบเร้นเข้ามาเช่นนี้ หากถูกชาวเซียนเป่ยพบเห็นก่อนปฏิบัติการก็จะมีโอกาสล้มเหลวสูงยิ่ง แม้ทหารม้าเฟยฉีจะเก่งกาจ แต่ถึงอย่างไรทัพเซียนเป่ยก็มีมากถึงหนึ่งหมื่นคน

ขณะที่นักรบเซียนเป่ยทั้งสองเผลอไผล เตียนอุยและจูล่งก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าใกล้ก่อนจะบิดคอนักรบเซียนเป่ยทั้งสองอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้แจ้งเตือนต่อทัพใหญ่

ลิโป้ยกนิ้วโป้งให้จูล่ง จูล่งผู้นี้ช่างเก่งกาจโดยแท้ กอปรกับมีใบหน้าอันหล่อเหลา ดังนั้นไม่ว่าไปที่ใดก็ล้วนแต่โดดเด่นเหนือผู้อื่น

ขณะที่นักรบเซียนเป่ยคนหนึ่งกำลังหลับใหล พลันเขาก็ถูกปลุกขึ้นจากความเย็นเยียบที่ช่วงคอ มองดูใบหน้าอันแปลกแยกจากชาติพันธุ์ของตนแล้วในใจก็บังเกิดความกลัวถึงขีดสุด เขาทราบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็คือชาวฮั่น คือศัตรู หากแต่เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องใด

"ไว้ชีวิตด้วย" นักรบเซียนเป่ยร้องขอชีวิตเป็นภาษาต้าฮั่น

"เจ้าพูดภาษาต้าฮั่นได้?" ลิโป้ถามเบาๆ

"ท่านแม่ทัพโปรดไว้ชีวิต บรรพบุรุษของข้าน้อยถูกพวกเซียนเป่ยกวาดต้อนมา ดังนั้นข้าน้อยจึงพูดภาษาต้าฮั่นได้ขอรับ"

นักรบเซียนเป่ยผู้นี้คล้ายค้นพบหนทางรอด เขาพลันรู้สึกโชคดีที่บรรพบุรุษของตนเป็นชาวฮั่น

"ข้าถามเจ้าตอบ หากมีความผิดปกติใด ข้าจะฆ่าเจ้าทันที" เมื่อเห็นว่านักรบเซียนเป่ยผู้นี้พยักหน้าแล้ว ลิโป้ก็ถามคำถาม "ใครคือผู้นำทัพ? ในกองทัพมีคนอยู่เท่าไร?"

"ผู้นำทัพคือท่านเชวี่ยจีจากเซียนเป่ยตะวันออก มีทหารม้าทั้งหมดหนึ่งหมื่นคนขอรับ" นักรบเซียนเป่ยตอบตามจริง

ลิโป้ซักถามข้อมูลเพิ่มเติมขณะรอข่าวจากหน่วยสอดแนมของฝ่ายตน ขณะที่นักรบเซียนเป่ยไม่ทันระวังก็ถูกกระบี่ที่เคยพาดอยู่บนคอสังหาร มีบรรพบุรุษเป็นชาวฮั่นแล้วอย่างไร ขอเพียงเจ้าเคยรุกรานชายแดนต้าฮั่น เจ้าก็นับเป็นศัตรูของแผ่นดินแล้ว

ทหารเซียนเป่ยทุกนายล้วนแต่กำลังอ่อนล้า แม้แต่ม้าศึกของพวกเขาก็แทบจะทานทนไม่ไหว กอปรกับพวกเขาหยามเหยียดชาวฮั่น ดังนั้นนักรบที่เฝ้าเวรยามจึงสนาทนาพลางพักผ่อนอย่างปลอดโปร่ง ไม่ได้ยึดถือหน้าที่เฝ้ายามเป็นจริงเป็จังแต่อย่างใด

เมื่อเชวี่ยจีเป็นนักรบเลื่องชื่อในหมู่ชาวเซียนเป่ยได้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีฝีมือ มิเช่นนั้นคงไม่โดดเด่นจนได้รับการรับเลือกให้เป็นแม่ทัพนำกำลังครั้งนี้

ลิโป้ออกจากค่ายพลางส่งสัญญาณถอนตัว

ห่างจากทัพเซียนเป่ยราวสองลี้ เมื่อกลับมาแล้ว ลิโป้ก็สั่งให้ทหารเตรียมพร้อมทำศึก ผ้าที่หุ้มกีบเท้าม้าถูกเอาออก ทหารทุกนายตรวจสอบคันธนู ลูกธนูและอาวุธโดยละเอียด เมื่อตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งหมดก็นิ่งเงียบรอคำสั่ง

"บัดนี้ทัพเซียนเป่ยอยู่ที่เบื้องหน้าของพวกเราแล้ว ขอเพียงทำลฃายทัพนี้ลงได้ วิกฤตของปิ้งโจวก็จะคลี่คลาย!" จากนั้นลิโป้จึงชูอาวุธพลางตะโกน "บุก!"

เมื่อได้เข้าร่วมกับทัพเฟยฉี พวกเขาก็ถูกปลูกฝังให้ต่อสู้เพื่อปิ้งโจว ทหารในทัพส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ยากจน หลังจากได้ประจักษ์กับตาตนเองว่าชาวเซียนเป่ยโหดเหี้ยมเพียงใด ไม่ต้องให้แม่ทัพของพวกเขากล่าวปลุกใจ พวกเขาก็พร้อมจะเข้าสู้กับชาวเซียนเป่ยจนถึงที่สุดแล้ว

สภาวะการโถมบุกของทัพม้าจำนวนสองพันกว่าคนนั้นน่าตกใจยิ่ง ความเงียบสงัดยามวิกาลพลันถูกเสียงกีบเท้าม้าทำลายจนสิ้น

ขณะที่เชวี่ยจีกำลังพักผ่อน จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดิน สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก นี่เป็นการโถมบุกของทัพม้า หากจะมีทัพม้าใดในภาคกลางที่มีสภาวะเช่นนี้ได้ นั่นจะต้องเป็นทัพฮั่นที่ออกอาละวาดไปทั่วทุ่งหญ้าอย่างแน่นอน

"เตรียมตัวทำศึก!" เชวี่ยจีตะโกน เขาหยิบดาบใหญ่ก่อนจะวิ่งไปขึ้นม้า จากนั้นจึงเร่งระดมกลุ่มองค์รักษ์ เชวี่ยจีเชื่อมั่นในองค์รักษ์เหล่านี้ยิ่ง ส่วนทหารม้าที่เหลือนั้นเป็นเพียงการจัดสรรกำลังจากทัพต่างๆ ความสามารถในการสั่งการของเชวี่ยจีจึงมีผลอย่างจำกัด ยามนี้มีเพียงพึ่งพากองกำลังที่สั่งการได้โดยสมบูรณ์เท่านั้นถึงจะมีประโยชน์

ทหารม้าเซียนเป่ยสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ แรงสั่นสะเทือนบนพื้นดินทำให้พวกเขาลืมตาตื่นโดยพลัน ต่างคนต่างรีบวิ่งไปหาม้าศึกของตน เมื่อการศึกมาอยู่ตรงหน้า ชาวเซียนเป่ยก็แสดงความช่ำชองในการรบออกมา

เพียงแต่ทัพม้าทั้งหนึ่งหมื่นคนนี้มาจากกองกำลังต่างๆ ดังนั้นระบบบังคับบัญชาจึงไม่เป็นเอกเทศ เผชิญกับการโจมตีอย่างฉับพลันของศัตรู กองทัพจึงดูวุ่นวายอยู่บ้าง ความมืดรอบด้านทำให้พวกเขาไม่อาจคาดคะเนจำนวนของฝ่ายศัตรู ดังนั้นในใจจึงบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ระยะทางสองลี้สามารถบรรลุถึงได้ในไม่กี่อึดใจ มองดูทัพเซียนเป่ยที่วุ่นวายอยู่บ้างแล้ว ลิโป้ก็แค่นเสียงพลางกระตุ้นม้าคู่ใจโถมทะยานออกไป

ทหารม้าเฟยฉีคล้ายพยัคฆ์ลงจากเขา ไม่ต้องให้แม่ทัพของพวกเขาสั่งการ ทั้งหมดก็นำคันธนูออกมาขึ้นสายก่อนจะยิงฝนธนูไปยังทัพเซียนเป่ยที่ยังคงไร้ระเบียบแบบแผน

หลักสูตรเบื้องต้นของทหารม้าเฟยฉีคือการประสานงาน การประสานงานกันในระหว่างที่ควบม้าห้อตะบึงนั้นนับเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทหารม้า และการประสานงานของทัพเฟยฉีนั้นก็บรรลุถึงระดับที่แม้แต่กองกำลังม้าขาวก็ยากจะเลียนแบบ

ใช้เวลาไม่นาน องค์รักษ์ของเชวี่ยจีก็มารวมตัวกัน เชวี่ยจีคอยสั่งการอยู่ทัพกลาง เขาพยายามจัดกำลังทหารม้าเข้าสู้ศึกกับทหารม้าทัพฮั่น แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเซียนเป่ย แต่พวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน เพียงแต่การเร่งเดินทัพหลายวันมานี้ทำให้ทั้งหมดรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนกำลัง

เผชิญกับทัพฮั่นที่โถมเข้ามาอย่างดุดัน เมื่อไม่ทราบว่าศัตรูมีกำลังมากน้อยเท่าใด เหล่านักรบเซียนเป่ยก็อดจะรู้สึกเสียขวัญขึันมาไม่ได้ หลายคนเร่งควบม้าปลีกตัวหลบหนีจากไป การโถมพุ่งของทัพฮั่นได้เผยความได้เปรียบสำคัญที่พวกเขาไม่มีออกมา นั่นก็คือ ขบวนทัพ