"ยิงธนู!" เซียวเหยียนสะบัดมือฟันลง ห่าธนูก็พุ่งลงไปที่หน้าประตูด่าน
การโจมตีจากธนูสร้างความเสียหายให้ชาวเซียนเป่ยได้อย่างมหาศาล พวกเขาไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะเหมือนทหารชาวฮั่น เกราะหนังของพวกเขาไม่อาจปกป้องคลอบคลุมทั้งร่างกาย ดังนั้นธนูจึงก่อความเสียหายให้กับชาวเซียนเป่ยได้มากที่สุด
หลังยิงธนูออกไปสองระลอก ชาวเซียนเป่ยก็บาดเจ็บล้มตายอย่างหนัก กระนั้นทหารเซียนเป่ยที่อยู่ทางด้านหลังก็จะหนุนเนื่องขึ้นหน้าต่อทันที ราวกับผู้คนที่ล้มตายไปนั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา
บังเกิดห่าธนูยิงขึ้นฟ้าก่อนจะตกลงบนกำแพงด่าน นี่คือการตอบโต้ของชาวเซียนเป่ย ชาวเซียนเป่ยที่อยู่หน้าประตูเงยหน้ามองดูฝนธนูกลุ่มนี้ ธนูกลุ่มนี้ทำให้พวกเขาปลอดภัยไปชั่วขณะ ต่อให้ต้องตายพวกเขาก็จะไม่ถอยหลังแม้สักก้าว มือธนูเซียนเป่ยน้าวสายธนูยิงออกไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือยิงไปที่เชิงเทินบนกำแพงเพื่อสะกดศัตรูเอาไว้ให้ทหารเซียนเป่ยฉวยโอกาสปีนขึ้นกำแพงไป
ทางด้านทหารเฝ้าด่านเองก็ล้มตายไปไม่น้อย ชาวเซียนเป่ยฝึกฝนการยิงธนูมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าสุ่มหยิบใครก็ออกมาก็สามารถยิงธนูได้ดีทั้งนั้น แม้พวกทหทารเฝ้าด่านจะมีลูกธนูอยู่มากมาย แต่เมื่อต้องคอยรับมือกับชาวเซียนเป่ยที่ปีนบันไดขึ้นมา พวกเขาก็แทบไม่มีโอกาสให้ยิงธนูตอบโต้
"ท่อนซุง!" เซียวเหยียนตะโกน จากนั้นพวกทหารก็ผลักท่อนซุงที่เตรียมเอาไว้ลงไปใส่ทหารเซียนเป่ย
กำแพงของด่านเยี่ยนเหมินมีความสูงราวห้าจั้ง เมื่อตกจากความสูงระดับนี้ ท่อนซุงย่อมมีพลังทำลายล้างมหาศาล พวกทหารที่โดนท่อนซุงกระแทกย่อมไม่มีโอกาสรอด
กลุ่มท่อนซุงกระแทกพวกทหารเซียนเป่ยที่กำลังปีนบันไดจนร่วงลงไป ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัส ทั้งบนและด้านล่างกำแพงเกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพของชาวเซียนเป่ย คนที่บาดเจ็บแต่ไม่ตาย ไม่นานก็จะถูกกลืนหายไปในกองวากศพเหล่านี้
พวกทหารบนด่านพยายามผลักท่อนซุงลงไป แต่ไม่นานก็ถูกยิงจนร่างปรุพรุน มือธนูชาวเซียนเป่ยยิงสังหารพวกเขาอย่างไร้ความปราณี
การโจมตีจากชาวเซียนเป่ยดำเนินไปอย่างต่อเนื่องยาวนาน หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ที่หน้าประตูด่านก็มีซากศพกองสุมซ้อน ทุกครั้งที่บุกตีด่าน ชาวเซียนเป่ยต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงกว่าฝ่ายฮั่นราวสามถึงห้าเท่า
สถานการณ์ของอำเภอหยุนจงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใด บนใบหน้าของตันเตาอาบย้อมด้วยโลหิต โลหิตทั้งหมดนี้เป็นของชาวเซียนเป่ย แม้สถานการณ์จะอันตราย แต่ก็ยังไม่หนักหนาเท่าด่านเยี่ยนเหมิน ชาวเซียนเป่ยไม่รู้กลยุทธ์ล่อซ้ายจู่โจมขวา พวกเขาเฮโลกันบุกเข้าโจมตีอย่างกล้าหาญ
ตันเตาอยู่ที่ประตูทิศตะวันออกมาสองวันสองคืนแล้ว ดวงตาของเขาแดงก่ำ ทหารเกณฑ์หนึ่งหมื่นนายที่นำมา ทั้งหมดล้วนเป็นเขาที่ฝึกฝนมากับมือ การลงสนามรบจริงจึงจะเป็นการฝึกฝนที่ดีที่สุด แม้ว่าจะมีมือดีอยู่จำนวนห้าพันนาย แต่พวกเขาก็ยังขาดประสบการณ์ในการทำศึกจริง
ซีเอ๋งเฝ้าอยู่ที่ประตูทางทิศใต้ภายใต้ความกดดัน เขารับคำสั่งให้มาดูแลหยุนจง แต่พอเผชิญกับการรุกรานของชาวเซียนเป่ยเข้าจริงๆ เขาก็สูญเสียไปสองตำบล ชาวบ้านถูกเข่นฆ่าล้มตายสาหัส
มาอยู่ที่หยุนจงได้เกือบหนึ่งปี ซีเอ๋งก็สามารถครองใจชาวบ้านราษฏร ความดีความชอส่วนหนึ่งต้องยกให้จวนเจ้าเมือง เพราะมีตัวอย่างจากเมืองจิ้นหยางให้ดู ตระกูลใหญ่ที่อยู่ที่นี่จึงเจียมเนื้อเจียมตัวยอมรับการจัดการ ดั้งนั้นซีเอ๋งจึงสามารถทำการเกณฑ์ทหารเพิ่มนับหมื่นและกำจัดทหารที่อ่อนแอและชราออกไปได้อย่างราบรื่น
ซีเอ๋งมั่นใจมากว่า หากให้เวลาเขาเพิ่มอีกสักหนึ่งปี เขาจะต้องทำให้หยุนจงแข็งแกร่งขึ้นได้แน่นอน แม้ชาวเซียนเป่ยจะยกกำลังมาโจมตี เขาก็สามารถรับมือได้อย่างไม่ลำบากกินแรง
ซีเอ๋งไม่ได้สะกดข่มตระกูลใหญ่ แต่ทำการปลอบโยน เขาไม่ได้ยื่นมือไปยุ่งกับผลประโยชน์ของเหล่าตระกูลใหญ่ ดังนั้นจึงไม่เผชิญแรงต้านจากพวกเขา เทียบกับการลงมืออย่างเฉียบขาดของลิโป้แล้ว ซีเอ๋งค่อนข้างผ่อนปรนกว่า เขาต้องการที่จะค่อยๆลดอำนาจของตระกูลใหญ่ไปทีละน้อย
เมื่อเซียนเป่ยบุกตีเมือง ตระกุลใหญ่เองก็ทำการสนับสนุนเป็นอย่างดี สร้างความดีความชอบ เพราะพวกเขาทราบดีว่า หากปล่อยให้ชาวเซียนเป่ยบุกตีเมืองแตก พวกเขาจะต้องเผชิญกับหายนะเช่นกัน
เทียบกับทั้งสองแห่งแล้ว ด่านหูกวนค่อนข้างสงบกว่า ประตูด่านยังปิดมั่นคง ไม่อนุญาตผู้ใดผ่านเข้าออก ขณะที่หน่วยสอดแนมก็ถูกส่งออกไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของทัพกิจิ๋วอยู่เป็นระยะ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้เฮาเสงและเซ้งเหลียมก็คือ งันเหลียงนำไพร่พลสามหมื่นตั้งค่ายอยู่ห่างจากพวกเขาไปราวห้าสิบลี้โดยไม่มีทีท่าว่าจะเข้าตี ความเงียบสงบเช่นนี้ไม่ได้ทำให้แม่ทัพทั้งสองรู้สึกผ่อนคลายแต่อย่างใด ด่านแห่งนี้มีทหารประจำการอยู่ห้าพันนาย เป็นจำนวนที่ไม่น้อย กระนั้นกว่าครึ่งของทหารที่มีกลับไม่เคยเข้าสู่สนามรบมาก่อน
"ปิ้งโจวเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงคับขัน แต่ลิโป้ก็ยังไม่ส่งทหารมาช่วยด่านหูกวน ดูแล้ว จะต้องเป็นกาเซี่ยงที่มองออกว่าทัพเราเพียงนำกำลังมาสะกด" ฮองกี๋เผยสีหน้าเย็นเยียบ
"ฮึ่ม แม่ทัพผู้นี้จะสั่งสอนให้พวกเจ้ารู้เองว่ากองทัพกิจิ๋วแข็งแกร่งเพียงใด" งันเหลียงแค่นเสียง
"สิ่งที่นายท่านต้องการคือการจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว บัดนี้ด่านหูกวนมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เมื่อการต่อสู้ระหว่างกองทัพปิ้งโจวและเซียนเป่ยดำเนินไปถึงช่วงชี้ชะตา ทัพเราก็จะลงมือทันที ด้วยความช่วยเหลือจากไส้ศึกภายในแล้วไซร้ ด่านหูกวนจะไม่แตกได้อย่างไร?" ฮองกี๋กล่าว
"ใต้เท้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ใยจึงไม่บุกโจมตีตอนนี้เลยเล่า?" งันเหลียงกล่าวอย่างอดรนทนไม่ได้ เขาไม่ค่อยชอบใจแผนการของเหล่าที่ปรึกษาสักเท่าใด เขาเป็นขุนศึกจำพวกยกกำลังออกไปรบซึ่งหน้า
"ท่านแม่ทัพไม่ต้องกังวล ครั้งนี้ลิโป้ตกอยู่ในอันตรายจริงๆแล้ว กระนั้นในด่านหูกวนก็ยังทหารประจำการถึงห้าพัน ย่อมต้องดำเนินการด้วยความระวัง"
งันเหลียงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของฮองกี๋ ดังนั้นจึงจัดส่งหน่วยสอดแนมออกไปหาข่าว
ด่านหูกวน งันเหลียงตั้งใจจะตีชิงมาให้ได้ ตอนที่ลิโป้ส่งกำลังมาช่วยกองซุนจ้านโดยการรุกรานกิจิ๋ว เขาก็จดบัญชีรายนี้เอาไว้ในใจมาตลอด ตอนนี้โอกาสคิดบัญชีได้มาถึงแล้ว เขาต้องการจะแสดงให้ลิโป้ได้รู้ว่า กองทัพของกิจิ๋วนั้นร้ายกาจปานใด และยังจะให้บรรดาแม่ทัพของกิจิ๋วได้เห็นว่าเขา งันเหลียงก็คือขุนพลอันดับหนึ่งของอ้วนเสี้ยว
บัดนี้สายตาของเหล่าเจ้าเมืองทั่วแผ่นดินกำลังจับจ้องมองมาที่ปิ้งโจว หลังจากตั๋งโต๊ะที่อยู่ไกลถึงฉางอันได้ทราบข่าว เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ลิโป้มีความแค้นกับเขา นี่คือความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปตอนที่ลิโป้ชิงสมบัติกว่าครึ่งของเขาไป เขาก็จดจำความแค้นี้เอาไว้ในใจมาโดยตลอด แม้เขาจะทำตามคำแนะนำของลิยูที่มอบตำแหน่งโหวให้ลิโป้ แต่ในใจของเขาก็ยังคงไม่พอใจเสมอมา
หลังจากแต่งตั้งลิโป้ขึ้นเป็นโหวแล้ว เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร ทำได้เพียเก็บงำความขุ่นเคืองเอาไว้
เมื่อเห็นว่าตั๋งโต๊ะมีความคิดจะบุกตีปิ้งโจว ลิยูก็รีบกล่าวแนะนำ "ท่านอุปราช บัดนี้ภายในฉางอันยังไม่สงบ ขุนนางและเหล่าตระกูลใหญ่ในราชสำนักล้วนกำลังรอคอยโอกาสเคลื่อนไหวลงมือ พวกเขาลอบติดต่อกับบรรดาเจ้าเมืองภาคกลาง ขอเพียงเราไม่เข้าไปซ้ำเติม ลิโป้ย่อมสำนึกขอบคุณท่าน หากสามารถผนึกกำลังกับทัพแกร่งอย่างปิ้งโจวได้ ท่านอุปราชก็ไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงบรรดาเจ้าเมืองทั่วแผ่นดินอีกต่อไป"
"เหวินโยว ลิโป้ผู้นี้มีจิตใจเยี่ยงหมาป่า" ตั๋งโต๊ะกล่าวเสียงหนัก
"ท่านอุปราช บรรดาเจ้าเมืองต่างต่อสู้แก่งแย่งชิงดี นี่ไม่ใช่ภาพที่ท่านอุปราชอยากจะเห็นหรือขอรับ? หากเวลานี้ท่านอุปราชทำการเคลื่อนไหว จะต้องไปกระตุ้นความทะเยอทะยานของเจ้าเมืองพวกนั้นเป็นแน่"
"อืม ที่เหวินโยวพูดมาก็จริง จะดีกว่านี้หากได้ตัวลิโป้มาเข้าร่วม" ตั๋งโต๊ะยอมรับในฝีมือการรบของลิโป้ ย้อนกลับไปตอนอยู่ที่ลั่วหยาง ความห้าวหาญชาญศึกของลิโป้ได้ประทับอยู่ในใจของเขามิรู้ลืม
"หากว่าลิโป้พ่ายแพ้ ท่านอุปราชก็จะต้องแสดงเจตนาดีต่อเขา ถึงตอนนั้นก็มีโอกาสแล้วขอรับ" ลิยูกล่าว
เร็วqนี้อ้องอุ้นวางแผนจะกำจัดตั๋งโต๊ะโดยการดึงตัวฮัวหยงมาอยู่ฝ่ายตน
ในฐานะแม่ทัพอันดับหนึ่งของกองทัพ ฮัวหยงย่อมมีความคิดจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงและกอบโกยเงินทองให้มากกว่านี้ แต่ช่วงนี้เห็นได้ชัดเจนว่าตั๋งโต๊ะพยายามกัดกันเขาออก สาเหตุก็คือ ตอนที่เขาไปยังจวนของตั๋งโต๊ะและสนทนากับอนุภรรยาของตั๋งโต๊ะเพียงสองประโยค ตั๋งโต๊ะก็ตำหนิติเตียนเขาอย่างหนัก ทั้งยังโทษว่าที่ซัวหยงหนีไปยังปิ้งโจวก็เพราะเขา
เรื่องนี้ทำให้ฮัวหยงช้ำใจมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของกองทัพ อนุภรรยาของท่านนับเป็นตัวอะไร? ยิ่งกว่านั้นเขายังเคยสร้างผลงานยิ่งใหญ่เอาไว้ แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้แต่งตั้งเป็นโหวด้วยซ้ำ
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved