เตียวหุยกวัดแกว่งทวนสังหารข้าศึกด้วยความสำราญใจ การนำทัพม้าโถมพุ่งใส่ทัพศัตรูนั้นช่างให้ความรู้สึกดีเสียจริง เวลานี้เขารู้สึกราวกับมีทหารม้าราวสามพันคนอยู่ในมือ นี่เป็นความมั่นใจที่เกิดจากการบัญชาทัพม้า ก่อนหน้านี้เล่าปี่มักจะถูกจำกัดอยู่แต่ในพื้นที่เล็กๆ มีไพร่พลไม่ถึงหมื่น ดังนั้นม้าศึกจึงมีเพียงพอให้กับระดับแม่ทัพขี่เท่านั้น การได้รับทหารม้ามาจากเมืองชีจิ๋วนับว่าจุดประกายความฝันของพวกเขาสามพี่น้อง
เคาทูจ้องมองเตียวหุยที่กำลังเข่นฆ่าอย่างมันส์มือด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พร้อมกับกู่ร้องคำหนึ่ง เขาก็กระชับง้าวในมือพลางโถมพุ่งเข้าหาเตียวหุย
เตียวหุยเองก็สังเกตเห็นเคาทูแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองต่อสู้กัน เตียวหุยใช้เท้ากระตุ้นท้องมาตรงเข้ารับหน้าเคาทู
เมื่อผู้งมงายยุทธ์โคจรมาพบกันอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่สนใจใยดีสถานการณ์โดยรอบ แน่นอน ทางฝั่งเคาทูย่อมเป็นเพราะมั่นใจในขีดความสามารถของทหารม้าเสือดาว สำหรับเตียวหุยนั้น เขาเพียงคิดแต่จะลุยเดี่ยวท่าเดียว
ทวนง้าวพุ่งเข้าปะทะ ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ทั้งสองก็ประมือกันไปแล้วสามสิบกว่ากระบวน เตียวหุยที่กำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารโจโฉ ไม่รู้ว่าตอนนี้ทหารม้าใต้บัญชาของเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เมื่อกวาดสายตามองดู เขาก็ต้องตกตะลึง ทหารม้าที่เดิมทีมีอยู่หลายร้อยคน มาตอนนี้หลงเหลือเพียงสองร้อยกว่าคน หลายคนกำลังต่อสู้กับทหารม้าเสือดาวแย่างยากลำบาก
"ฝากศีรษะของเจ้าเอาไว้ก่อน ภายหน้าเหล่าแหยจะมาเอาชีวิตสุนัขเจ้า!" เตียวหุยคำรามก่อนจะควบม้าถอยกลับเข้าไปในเมือง
เคาทูนำกำลังติดตามเข่นฆ่าระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าธนูเริ่มระดมยิงมาทางเขา อีกทั้งกวนอูยังนำทหารออกมาต้านรับ เคาทูก็สั่งให้ทหารของเขาถอนกำลังกลับ
แม้ว่าจะสูญเสียทหารม้าไปกว่าครึ่ง หากแต่การรบครั้งนี้ก็สร้างขวัญกำลังใจให้ไพร่พลชีจิ๋ว หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่ตั้งรับถ่ายเดียว ได้แต่มองดูอีกฝ่ายค่อยๆถมดินใส่คูเมือง ในใจย่อมกระหายอยากจะเอาชนะ
โดยไม่ใส่ใจกับขวัญทหารภายในเมือง กองทัพของโจโฉเริ่มทำการล้อมตีเมืองอีกครั้ง เป็นการล้อมตีจากสามทิศทาง โดยมุ่งเน้นโจมตีไปที่กำแพงเมืองทางทิศตะวันออก ส่วนอีกสองทิศที่เหลือเพียงโจมตีหลอกล่อ กำแพงเมืองแต่ละทิศมีไพร่พลจำนวนหนึ่งหมื่นบุกเข้าโจมตี เว้นก็แต่ทางทิศตะวันตกของเมืองที่ไร้ซึ่งร่องรอยทหารของโจโฉ
การล้อมสามละเว้นหนึ่งสามารถบั่นทอนขวัญกำลังใจของฝ่ายป้องกันเมืองได้อย่างมาก ภายใต้การเหลือทางรอดไว้ให้สายหนึ่ง ทหารป้องกันเมืองก็จะไม่ทุ่มชีวิตสู้รบ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมีโอกาสรอด
ไพร่พลจำนวนสามหมื่นแม้จะดูเหมือนมาก แต่หลังจากต้องแบ่งไปป้องกันตามทิศต่างๆ ไพร่พลจึงดูไม่หนาตา
นับเป็นครั้งแรกที่ลิโป้ได้ติดตามดูการล้อมตีเมืองอย่างใกล้ชิด
ไพร่พลแถวหน้าของโจโฉยกชูโล่พลางเคลื่อนที่เข้าใกล้กำแพงเมือง ที่ด้านหลังของพวกเขาคือขบวนมือธนู ในมือถือคันธนู ที่เอวพกพาดาบ พวกเขาคอยหลบอยู่หลังพลโล่พลางรุกคืบเข้าใกล้กำแพงเมืองไปทุกขณะ
ที่ด้านหลังของขบวนพลธนูเป็นหอตีเมือง แต่ละหอมีพลธนูประจำการอยู่สิบกว่าคน โดยตัวหอมีส่วนสูงเท่ากับกำแพงเมือง ด้วยวิธีการนี้ พลธนูจะสามารถแสดงอำนาจทำลายล้างออกมาได้เต็มที่ ทำให้ความได้เปรียบที่ทหารป้องกันเมืองมีลดลงไปมาก หอตีเมืองนับเป็นอุปกรณ์ตีเมืองที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในยุคนี้ แม้จะเคลื่อนที่ได้ช้ายิ่ง แต่เมื่อเคลื่อนตัวเข้าใกล้กำแพงเมืองได้ก็จะมีส่วนช่วยในการบุกชิงกำแพงเมืองอย่างมาก
ทหารบางส่วนแบกบันไดเทียมเมฆไว้บนบ่าโดยไม่ได้พกพาอาวุธแต่อย่างใด หน้าที่ของพวกเขามีเพียงพาดบันไดกับกำแพงเมือง ส่วนหน้าที่การบุกเข้าตีนั้น ยกให้กับหน่วยทหารทางด้านหลัง
ภายในทัพกลาง ยังมีสิ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยหนังวัว ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุใด
ลิโป้เฝ้าสังเกตดูอย่างละเอียด ในสายตาของเขา ของเหล่านี้ล้วนจัดทำขึ้นได้หยาบอย่างยิ่ง แต่ในยุคโบราณเช่นนี้ เว้นแต่จะมีปืนใหญ่ยิงถล่มประตูเมืองโดยตรงแล้ว ก็มีแต่ต้องบุกตีเช่นนี้ บางทีอาจต้องปิดล้อมจนกระทั่งฝ่ายป้องกันเมืองเสบียงหมด หรือหากโชคดี ก็อาจจะสามารถยึดกำแพงเมืองได้ภายในหนึ่งปี
กวาดตามองดูสถานการณ์ที่โดยรอบ ลิโป้ก็พบว่าทหารป้องกันเมืองดูวิตกกังวลอย่างหนัก มือที่ยึดกุมอาวุธกระทั่งสั่นเทาเบาๆ สำหรับหลายๆคนแล้ว นี่นับเป็นศึกแรกของพวกเขา มีการยืนอยู่บนชัยภูมิอันมีเปรียบจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดไปได้บางส่วน แต่ที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นศึกที่ต้องเสี่ยงตาย หากไม่ระวังไว้ดี ชีวิตของพวกเขาก็จะถูกเก็บเกี่ยวไปโดยไม่รู้ตัว
รอบข้างมีทหารม้าเฟยฉีวางกำลังอารักขาอย่างขันแข็ง มียี่สิบคนที่ถือโล่ใบใหญ่ หน้าที่ของพวกเขาคือคอยต้านทานการโจมตีให้กับลิโป้
ตันเต๋งมองดูทหารเฟยฉีที่แม้จะมีศัตรูอยู่โดยรอบก็ยังเผยยิ้มเหยียดหยามออกมาด้วยความสะท้อนใจ ก่อหน้านี้เขาเคยคิดว่าลิโป้นั้นเป็นเพียงแม่ทัพบู๊อันหยาบกร้าน ที่ขอเพียงการกระตุ้นเล็กน้อยก็จะกระโดดเข้าร่วมต่อกรกับโจโฉ ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าลิโป้ไม่ได้โง่เขลาแม้แต่น้อย คำที่เล่าลือต่อๆกันมานั้นผิดกลับความจริงลิบลับ
เสียงกลองศึกดังกระหึ่ม กองทัพโจโฉรุกคืบเข้าใกล้ ภายใต้การคุ้มครองของพลโล่ พลธนูทางด้านหลังก็เริ่มขยับเข้าใกล้กำแพงเมืองไปเรื่อยๆ
"ยิงได้!" เล่าปี่ตะโกนสั่งการ ลูกธนูพลันพุ่งลงจากกำแพงเมืองประดุจห่าฝน แม้จะมีโล่คอยบดบัง แต่เมื่อเผชิญกับฝนธนูอันแน่นขนัด พลธนูฝ่ายโจโฉหลายคนก็ถูกยิงจนกลายเป็นตัวเม่น ในการศึกสงครามนั้น หากได้รับบาดเจ็บจนล้มลง ที่รออยู่ปลายทางก็แทบจะมีเพียงความตาย
ความได้เปรียบด้านชัยภูมิเริ่มแสดงออกมาให้เห็นในยามนี้เอง เมื่อยิงจากที่สูงไปหาต่ำ ลูกธนูที่พุ่งออกไปจึงมีความรุนแรงมากกว่ายามปกติ
พลธนูฝั่งโจโฉเองก็เริ่มยิงตอบโต้กลับไป เพียงแต่เป็นการยิงจากที่ต่ำขึ้นไปหาที่สูง ทำให้ความแม่นยำลดลงไปมาก หากไม่กะระยะให้ดี ลูกธนูที่ยิงออกไปก็จะอ่อนกำลังจนไม่อาจทำร้ายเป้าหมาย
พวกทหารที่แบกบันไดเริ่มเร่งฝีเท้าวิ่งโถมเข้าหากำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
เสียงกลองศึกเปลี่ยนเป็นจังหวะกระชั้นเร่งร้อน กองทัพโจโฉเคลื่อนพลบุกโจมตี ไพร่พลที่ถือหอกดาบพากันวิ่งตามหลังพลทหารที่แบกบันไดไป
หอตีเมืองเคลื่อนที่ได้ช้ายิ่ง เมื่อเริ่มเข้าใกล้กำแพงเมือง พละนูที่อยู่บนหอก็เริ่มแสดงพลังออกมา บนกำแพงเมืองที่มีทหารป้องกันเมืองยืนอยู่แน่นขนัด ที่พวกเขาต้องทำก็แค่ยิงธนูออกไป
ทหารป้องกันเมืองเริ่มบาดเจ็บล้มตายสาหัส โดยเฉพาะหลังจากที่หอตีเมืองรุดเข้าใกล้กำพงเมือง ของสิ่งนี้นับเป็นของแสลงสำหรับทหารฝ่ายป้องกันเมือง นอกจากต้องคอยระวังมือธนูที่อยู่บนหอ พวกเขายังต้องระวังมือธนูจากด้านล่างกำแพง ระวังทหารที่ปีนบันไดขึ้นมา เผชิญกับการคุกคามจากสามทาง ทหารที่เพิ่งเข้าร่วมศึกเป็นครั้งแรกก็ตื่นตระหนกจนมือไม้ปั่นป่วน
เล่าปี่นับเป็นผู้ที่เจนศึกคนหนึ่ง เขาเคยนำกำลังออกปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองอยู่หลายปี ดังนั้นจึงมีความเจนจัดในด้านนี้
ทันทีที่บันไดเทียมเมฆถูกพาดเข้ากับกำแพงเมือง ทหารราวสามถึงห้าคนก็จะกรุกันเข้าไปผลักบันไดออก ผู้ที่ขึ้นกำแพงเมืองมาไม่ทันก็จะร่วงลงไปฟาดพื้น แต่หากปีนบันไดขึ้นเมืองไปได้ทัน ที่รอต้อนรับพวกเขาอยู่ก็คือลูกธนู เมื่อบันไดล้มลงไปยังสร้างปัญหาให้กับไพร่พลกองทัพโจโฉที่อยู่ด้านล่าง
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved