ตอนที่ 102 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"นี่....." กัวไท่อับจนถ้อยคำ

"หากแม่ทัพกัวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตในจิ้นหยางแล้วรู้สึกไม่ชมชอบ แม่ทัพกัวก็สามารถทำงานเพื่อผู้คนในฐานะเจ้าหน้าที่ทางการได้" ลิโป้กล่าวเชิญ เมื่อสามารถเป็นผู้นำกลุ่มโจรคลื่นขาวอันเลื่องชื่อในประวัติศาสตร์ได้ ความสามารถของกัวไท่ย่อมไม่ต่ำทราม สามารถนำไพร่พลจำนวนมากในหุบเขาไป๋ปอต่อกรกับทางการได้โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ ย่อมต้องเป็นขุนศึกที่มีฝีมือผู้หนึ่ง

"กัวไท่คำนับนายท่าน!" กัวไท่ค้อมคำนับ

.................

ด้วยความทุ่มเทของช่างฝีมือนับร้อยตลอดครึ่งเดือน โถงเหยียนอู่ก็ถูกก่อตั้งขึ้นตรงกันข้ามกับโถงรับสมัคร

ที่นี่โอ่อ่าอลังการแตกต่างจากโถงรับสมัคร ที่หน้าทางเข้ามีก้อนหินขนาดใหญ่สองก้อนตั้งขนาบทางเดิน แต่ละก้อนมีน้ำหนักราวสองร้อยจิน อีกทั้งที่ข้างประตูยังติดป้ายประกาศเอาไว้

ชาวเมืองจิ้นหยางหันมาใส่ใจกับป้ายประกาศจากสำนักงานเมืองกันมากขึ้น ก็เพราะป้ายประกาศเหล่านี้ที่ทำให้พวกเขามีที่ดินทำกิน มีอาหารเหลือกินเหลือใช้และเริ่มมีเงินเก็บ

"ประกาศจากสำนักงานเมือง ผู้ใดก็ตามที่สามารถยกหินที่หน้าประตูทางเข้าขึ้นได้จะได้รับการตรวจสอบประเมิน หากสำนักงานเมืองตรวจสอบแล้วพบว่าคนผู้นั้นเป็นผู้มีคุณธรรม คนผู้นั้นก็จะได้รับการว่าจ้าง โดยจะมีตำแหน่งอย่างต่ำที่สุดคือ หัวหมู่" โดยบริเวณนั้นยังได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอ่านประกาศให้ผู้คนทั่วไปได้เข้าใจ

แม้สำหรับกองทัพของเจ้าเมืองคนอื่นๆแล้ว นี่จะเป็นตำแหน่งเล็กๆ หากแต่ภายในกองทัพปิ้งโจวนั้น พลทหารทั่วไปจะต้องเสียหยาดแรงกายพากเพียรเพื่อจะให้ได้ตำแหน่งนี้มา แม้จะเป็นตำแหน่งหัวหน้าทหารที่ต่ำที่สุด แต่ก็เป็นตำแหน่งผู้นำกลุ่มที่สามารถหนุนเสริมประสิทธิภาพในการสู้รบของทหาร

เมื่อเข้าค่ายทหารแล้ว หากต้องการจะเป็นนายทหารระดับผู้นำ เว้นเสียแต่ลิโป้จะแต่งตั้งให้ด้วยด้วยตนเองแล้วก็ไม่มีทางที่อยู่ๆจะกระโดดข้ามขั้นไปได้ หากต้องการจะสร้างชื่อภายในกองทัพ ก็มีแต่ต้องสะสมผลงานเพื่อไต่เต้าขึ้นไปทีละขั้นเท่านั้น

"หัวหมู่งั้นรึ? ก็แค่ตำแหน่งเล็กๆตำแหน่งหนึ่ง" ชายหนุ่มผู้หนึ่งแค่นเสียงอย่างดูถูก

ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ มือพลันเอื้อมไปคว้าแขเสื้อของชายหนุ่มผู้นั้นไว้ "เจ้าคงไม่ใช่ชาวเมืองจิ้นหยางสินะ?"

ชายหนุ่มนั้นพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน "เจ้ารู้ได้อย่างไร?"

"เพราะเมื่อครู่เจ้าบอกว่าหัวหมู่ก็แค่ตำแหน่งเล็กๆ ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญก็แล้วกัน บุตรชายข้าเป็นหัวหมู่อยู่ในกองทัพปิ้งโจว กว่าจะได้ตำแหน่งนี้มา บุตรชายข้าต้องรับแผลมาสามที่ ตัดหัวข้าศึกอีกสองหัว" ยิ่งพูดก็ยิ่งมีสีหน้าตื่นเต้น

"ท่านผู้เฒ่าใจเย็นก่อน ข้าจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว"

เมื่อเห็นชายหนุ่มยังพอสั่งสอนได้อยู่บ้าง ชายชราก็ปล่อยเขาไป กองทัพปิ้งโจวมีฐานะสูงส่งในใจของชาวเมือง พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้ใครมาพูดจาซีซั้วเช่นนี้ เพราะสุดท้ายแล้วทหารที่อยู่ในกองทัพปิ้งโจวก็ล้วนแต่เป็นลูกหลานของพวกเขาทั้งนั้น

โถงเหยียนอู่พลันคึกคักขึ้นมา คนหนุ่มและกำยำหลายคนจ้องมองก้อนหินที่หน้าทางเข้าราวกับกำลังจ้องมองสาวงาม สามารถแสดงความโดดเด่นต่อหน้าผู้คนมากมาย ในภายหน้าก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะหาภรรยาไม่ได้ อีกทั้งยังสามารถยกระดับฐานะของครอบครัวได้อีกด้วย

หลายคนต้องการเข้าไปทดลองยกหินอย่างกระตือรือร้น เพียงแต่หินเหล่านี้หนักสองร้อยกว่าจิน จะยกขึ้นง่ายๆได้อย่างไร? แม้แต่ผู้ที่ได้ตำแหน่งหัวหมู่ของกองทัพในตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะยกขึ้น

การยกและยกขึ้นนั้นแตกต่างกันอยู่ การยกได้นั้นไม่ได้หมายความว่าจะยกหินขึ้น นี่เป็นการทดสอบพละกำลังทั้งร่างกาย

ภายในจวนเจ้าเมือง ลิโป้มองดูซิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้ามอย่างเหม่อลอย แม้จะได้พบเจอมาแล้วหลายครั้ง กระนั้นซิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงให้ความรู้สึกอันน่าทึ่งแก่ผู้พบเห็นเสมอ

ไม่ว่าสีหน้าแบบของซิ่วเอ๋อร์ล้วนชวนให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มงมงายได้ทั้งสิ้น

"ซิ่ว...ซิ่วเอ๋อร์" ลิโป้กล่าวติดขัด เขาย่อมทราบจุดประสงค์ที่เหยียนหรานให้พวกเขาอยู่ด้วยกันโดยลำพัง

ซิ่วเอ๋อร์นึกถึงคำพูดของเหยียนหรานแล้วก็พลันหน้าแดงขึ้นมา นางชมชอบลิโป้ แม้แต่เรื่องนี้เตียนอุยก็ยังมองออก แต่ซิ่วเอ๋อร์เป้นเพียงสาวน้อยนางหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากบอกต่อลิโป้ได้อย่างไร?

ลิโป้แข็งทื่อเป็นท่อนไม้อีกครั้ง ในชีวิตก่อนเขายังไม่เคยได้จับมือผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นใต้เท้าเจ้าเมืองเวลานี้จึงกลายเป็นทำอะไรไม่ถูกไปเสียแล้ว

"ภายหน้าพี่ใหญ่สามารถเรียกข้าว่าเสี้ยนเอ๋อร์ก็ได้ค่ะ ท่านพ่อบุญธรรมอย่างท่านซือถูก็มักจะเรียกข้าแบบนั้น" เมื่อนึกถึงอ้องอุ้น สีหน้าของนางก็สงบลง ไม่ว่าอย่างไรอ้องอุ้นก็ดูแลนางเป็นอย่างดี แต่นางกลับหนีตามลิโป้มาเสียอย่างนั้น อีกทั้งเมื่อกลับมาถึงปิ้งโจวแล้วก็ยังไม่ได้เขียนจดหมายไปหา

"หรานเอ๋อร์บอกว่า...." ลิโป้พลันรู้สึกว่าการพูดเรื่องแบบนี้กับเด็กสาวยังยากยิ่งกว่าเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบเสียอีก

"พี่ใหญ่ลิไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดหรอกค่ะ เสี้ยนเอ๋อร์เข้าใจแล้ว" เตียวเสี้ยนก้มหน้างุดขณะม้วนพันชายเสื้ออย่างขวยเขิน

นางชื่นชอบลิโป้มาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเมื่อเหยียนหรานมาพูดคุยกับนางเรื่องนี้ นางจึงตอบตกลง

"ซิ่ว....เสี้ยนเอ๋อร์ ข้าเองก็มีภรรยาอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ ข้าทำผิดต่อเจ้าจริงๆ" ลิโป้ถอนหายใจ ซิ่วเอ๋อร์กลายเป็นเตียวเสี้ยน เรื่องนี้เขาย่อมไม่ปฏิเสธ ถึงอย่างไรนี่ก็คือยอดหญิงงามในประวัติศาสตร์ เขาย่อมไม่ต้องการเห็นนางตกไปอยู่ในมือผู้อื่นเช่นกัน

"ขอเพียงสามารถอยู่ร่วมกับพี่ใหญ่ลิได้ ไม่ว่าต้องทนทุกข์เท่าใด เสี้ยนเอ๋อร์ก็ยินดีรับไว้ค่ะ" เตียวเสี้ยนกล่าวด้วยใบหน้าแดง สามารถกล่าวคำพูดแบบนี้ได้ นางต้องพยายามอย่างมาก สตรีทั่วไปน้อยมากที่จะกล้าเผยความในใจต่อหน้าบุรุษเช่นนี้

ไม่ว่าลิโป้จะความรู้สึกช้าในเรื่องนี้สักเพียงใด เขาก็เข้าใจได้ว่าเตียวเสี้ยนนั้นตอบตกลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงกุมมือเตียวเสี้ยนเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดี "เสี้ยนเอ่อร์ไม่ต้องกังวล ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลือของข้าดูแลเจ้าไม่ให้ขาดตกบกพร่อง"

เตียวเสี้ยนที่ขัดขืนด้วยความเขินอาย เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ คนก็กลายเป็นอ่อนยวบ ปล่อยให้ลิโป้กุมมือนุ่มนิ่มเอาไว้

เมื่อมีเรื่องมงคลเกิดขึ้นก็มักจะทำให้ผู้คนเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ เตียวเสี้ยนบอกความในใจ อีกทั้งโถงเหยียนอู่ยังรับสมัครหัวหมู่เข้ามาได้เป็นจำนวนมาก สองเรื่องนี้ทำให้ลิโป้อารมณ์ดีถึงขีดสุด ส่วนเรื่องจัดงานแต่งขึ้นนั้น ลิโป้ยังไม่รีบ เตียวเสี้ยนเพิ่งจะสิบห้าสิบหกเท่านั้น ผู้คนในยุคนี้อาจจะมองว่าถึงเวลาออกเรือนแล้ว แต่ในสายตาของลิโป้นั้น นางยังเป็นเพียงเด็กสาวที่เพิ่งเจริญวัย หากแต่งงานกับนางตอนนี้ ลิโป้ก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงอยากจะรอไปก่อน

ลิโป้สวมชุดลำลองเหมือนชาวบ้านทั่วไปขณะเดินสำรวจภายในเมืองจิ้นหยาง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศภายในเมืองจิ้นหยางได้เปลี่ยนไปแล้ว

โรงเรียนถูกก่อตั้งขึ้นไม่ไกลจากจวนเจ้าเมือง ซึ่งก็คือตำแหน่งศูนย์กลางของเมืองจิ้นหยาง เป็นการแสดงให้เห็นว่าสำนักงานเมืองให้ความสำคัญกับโรงเรียนยิ่ง เพียงแต่ลิโป้ไม่ได้ประกาศต่อผู้คนในใต้หล้าว่าได้เปิดโรงเรียนขึ้นแล้ว

อันที่จริงเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศออกไปด้วยซ้ำ ในบรรดาเจ้าเมืองมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ทราบเรื่องนี้ และเจ้าเมืองทั้งหลายก็รู้สึกยินดีพลางรอชมเรื่องสนุก

ตระกูลใหญ่และตระกูลขุนนางครอบครองทรัพยากรส่วนใหญ่ของใต้หล้าเอาไว้ เจ้าสามารถละเลยความรู้สึกของราษฏร แต่ไม่อาจละเลยความรู้สึกของตระกูลใหญ่เหล่านี้

โดยพื้นฐานแล้วลิโป้แทบจะประกาศความเป็นศัตรูกับเหล่าตระกูลใหญ่อย่างเปิดเผย เหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายไม่ต้องลงมือใดๆ เพียงรอชมความครื้นเครงอยู่ด้านข้างก็เพียงพอแล้ว

เสียงท่องอ่านหนังสือทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความสงบสุข

"เฟิ่งเซียนก็มาด้วยรึ? เฒ่าชราผู้นี้ได้ยินมาตลอดว่าเฟิ่งเซียนได้ก่อตั้งโรงเรียนเพื่อเฟ้นหาผู้มีความสามารถ เพียงแต่ไม่มีเวลามาดูสักที คิดไม่ถึงว่าวันนี้เฟิ่งเซียนเองก็จะมาทีนี่ด้วย" ซัวหยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

"เหล่าซือมาเยี่ยมชมที่โรงเรียน ก็นับเป็นวาสนาของโรเงรียนแห่งนี้แล้ว หากบัณฑิตในแผ่นดินได้ทราบคงไม่คิดดูถูกโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ฮ่าๆ" ลิโป้หัวเราะอย่างเบิกบานใจ

"เฟิ่งเซียนเอย จงอย่าได้ประมาทเหล่าตระกูลใหญ่ในใต้หล้าเชียว" ซัวหยงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง "ดังเช่นตระกูลเว่ยแห่งเหอตง ตระกูลเว่ยเป็นทายาทของแม่ทัพเว่ยชิง มีประวัติความเป็นมามากกว่าร้อยปี แล้วเจ้าทราบหรือไม่ ว่าผู้ใดคอยหนุนหลังพวกเขา?"