ตอนที่ 69 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

หลังขบวนรถของซัวหยงออกจากเมืองไปได้ไม่นาน ฮัวหยงก็มาถึงประตูเมืองทิศตะวันออกพร้อมกองทหาร

"สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?" ฮัวหยงรีบถามอย่างร้อนรน

"เรียนท่านแม่ทัพ ทุกอย่างปกติดีขอรับ" ทหารยามกล่าวตอบ

"มีคนแปลกๆออกจากเมืองบ้างหรือเปล่า? แล้วได้ตรวจค้นรถม้าทุกคันโดยละเอียดไหม?" ฮัวหยงถามต่อ

ทหารยามนายนั้นรู้สึกกระอ่วนกระอ่วนอยู่ในใจ คนแปลกๆที่ออกจากเมืองงั้นหรือ? ในเมืองมีคนมากมายตั้งเท่าไร มีคนออกจากเมืองทุกวันแล้วเขาจะไปจำได้อย่างไร?

บางทีอาจเพราะตระหนักได้ว่าคำถามเมื่อครู่มีปัญหาอยู่บ้าง ดังนั้นฮัวหยงจึงกล่าวเสริม "มีรถม้าวิ่งออกจาเมืองไปหรือเปล่า?"

หลงจากนึกอยู่ครู่หนึ่ง ทหารยามก็กล่าวตอบตามจริง "เมื่อครู่มีรถม้าของใต้เท้าซัวหยงบอกว่าจะไปเยี่ยมเยียนสหายที่นอกเมือง แต่ข้าน้อยไม่กล้าตรวจสอบขอรับ"

"ดี แม่ทัพผู้นี้ทราบแล้ว" สีหน้าของฮัวหยงเผยแววประหลาดใจ ซัวหยงจะออกจากเมืองไปทำอะไรเวลานี้? หรือจะเป็นฝีมือของซัวหยง? เขาเองก็ไม่กล้าคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้า ซัวหยงเป็นคนที่ตั๋งโต๊ะให้ความสำคัญอย่างมาก แต่เพราะเรื่องของซิ่วเอ๋อร์ เขาจึงตัดสินใจว่าจะตรวจสอบดู ต่อให้ต้องถูกตั๋งโต๊ะด่าทอสักรอบก็ช่าง

"พวกเจ้ามากับข้า" ฮัวหยงนำทหารม้าสิบกว่าคนไล่ตามไปทางที่รถม้าของซัวหยงจากไป

ภายในเก๋งที่นอกเมือง กาเซี่ยงแต่งกายด้วยชุดธรรมดา กำลังนั่งรอพวกลิโป้อย่างใจเย็น ที่ข้างตัวของเขามีกล่องเล็กๆอยู่ใบหนึ่ง นอกจากรถม้าที่จอดอยู่หนึ่งคันแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก ด้วยสติปัญญาของเขาแล้ว ย่อมคาดเดาได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเวลาออกเดินทางอย่างกระทันหันของลิโป้ต้องเพราะมีเหตุแทรกซ้อน เรื่องราวก็คงไม่มีอะไรนอกจากมีคนล่วงรู้ตัวตนของลิโป้แล้ว

"เหวินเหอ นี่คือท่านซัวหยง ใต้เท้าซัว" ลิโป้กล่าวแนะนำต่อกาเซี่ยง

"คารวะใต้เท้าซัว" กาเซี่ยงกุมมือพลางโค้งคำนับ ในใจอดรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ท่านนี้เป็นถึงขุนนางบัณฑิตชั้นผู้ใหญ่ มีบัณฑิตตั้งมากเท่าใดที่อยากจะพบสักครั้งแต่ไม่ได้พบ ก่อนหน้านี้ตอนไปยังจวนตระกูลซัวเขาเองก็ไม่ได้พบ กาเซี่ยงถือว่านั่นเป็นความเสียใจอย่างใหญ่หลวงในชีวิต

"เหวินเหอไม่ต้องมากพิธี เฟิ่งเซียนให้การยกย่องเจ้าไม่น้อยเลย" ซัวหยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

"เหล่าซือ เหวินเหอ รีบเข้าไปในรถม้าก่อนเถอะ หลังไปถึงจิ้นหยางแล้ว พวกท่านค่อยพูดคุยกันตามต้องการ ฉางอันไม่ใช่ถิ่นของเรา" ลิโป้ผายมือเชิญทั้งสองขึ้นรถม้า

ซัวหยง กาเซี่ยง และลิโป้นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน ขณะที่ซัวเอี๋ยมและซิ่วเอ๋อร์ก็นั่งอยู่ในรถม้าอีกคัน

ซัวหยงและกาเซี่ยงนั่งถกถึงปัญหาด้านวิชาการบางอย่าง ลิโป้ทำได้เพียงนั่งฟังด้วยความมึนงง เมื่อยิ่งฟังก็ยิ่งปวดหัว ลิโป้จึงหาข้ออ้างออกไปข้างนอก

ทันทีที่เขาออกมาจากรถม้า ลิโป้ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ที่ด้านหลังรถม้าห่างออกไปไม่ไกลมีฝุ่นผงฟุ้งตลบ แสดงว่ามีคนไล่ตามมา แต่พิเคราะห์ดูจากปริมาณฝุ่นที่ลอยขึ้นแล้ว สมควรมีคนไม่มาก

"ระวังตัว มีศัตรูตามเรามา!" ลิโป้ตะโกนเตือน แม้ทางฝั่งเขาจะมีผู้คุ้มกันสามสิบกว่าคน แต่พลังต่อสู้ไม่ค่อยดีสักเท่าใด พวกเขาเป็นเพียงผู้คุ้มกันที่ประจำอยู่ภายในจวน ยามพบเห็นการนองเลือดของจริงยังไม่แน่ว่าจะวิ่งหนีไป ส่วนกองกำลังเฟยอิงนั้นเพียงลอบคุ้มครองเป็นการลับ หากไม่เกิดเหตุก็ไม่แสดงตัว ที่นี่ยังอยู่ใกล้กับฉางอันเกินไป หากมีอะไรเกิดขึ้นคงมีกองทัพไล่ตามมา แม้ทหารจากหน่วยเฟยอิงจะมีฝีมือล้ำเลิศ แต่พวกเขามีจำนวนน้อยเกินไป

"เฟิ่งเซียน เกิดอะไรขึ้น?" ซัวหยงยกม่านขึ้นถาม

"เหล่าซือไม่ต้องกังวล เพียงมีทหารม้าสิบกว่าคนไล่ตามพวกเรามา" ลิโป้กล่าวปลอบ

ซิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ภายในรถม้าพลินปริวิตก นางสังหรณ์ใจว่ากองกำลังที่ไล่ตามมานั้นมีเป้าหมายอยู่ที่นาง ต่อให้จะเตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่เมื่อเผชิญกับอันตรายขึ้นมาจริงๆ นางก็อยากจะกลับไปที่ฉางอันดีกว่าจะทำร้ายลิโป้

"น้องซิ่วเอ๋อร์ มีอะไรรึเปล่า?" ซัวเอี๋ยมเอ่ยถาม

"พี่สาวเอี๋ยม บางทีคงมีคนไล่ตามข้ามา ทำเช่นไรดี?"

"น้องซิ่วเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล บิดาข้าเป็นขุนนางของราชสำนัก ยังพอมีหน้ามีตาในฉางอันอยู่บ้าง" ซัวเอี๋ยมปลอบประโลม ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ เมื่อได้เห็นซิ่วเอ๋อร์ นางไม่เพียงแต่ไม่อิจฉา กลับรู้สึกสนิทสนมแทน โดยเฉพาะหลังจากได้ฟังเรื่องราวของนาง

เมื่อได้ทราบว่าแท้จริงแล้วผู้กล้าเฉียวมีนามว่าลิโป้ ซัวเอี๋ยมก็ไม่ได้ตัดพ้อต่อว่าลิโป้ที่หลอกลวงนาง แต่นางก็พบว่าเป็นเรื่องหายากอย่างยิ่งที่บุรุษผู้หนึ่งจะเสี่ยงชีวิตเพื่อหญิงสาวเพียงคนเดียวถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะหลังจากได้ทราบว่าลิโป้นั้นเป็นถึงเจ้าเมืองปิ้งโจว นางก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากกว่าเดิม

บางครั้งในใจยังอดรู้สึกอิจฉาซิ่วเอ๋อร์ขึ้นมาแวบหนึ่งมิได้

"นายท่าน ทหารม้ากลุ่มนั้นใกล้เข้ามาแล้วขอรับ" เตียนอุยเผยสีหน้าเคร่งขรึม

"เจ้าไปหยั่งเชิงดูก่อน ถ้าอีกฝ่ายถาม เจ้าก็บอกไปว่าใต้เท้าซัวจะไปเยี่ยมเยียนสหายและจะกลับเข้าเมืองในตอนเย็น ที่เหลือไม่ต้องกล่าวมากความ" ลิโป้กำชับ

"ขอรับ" เตียนอุยกุมหมัดรับคำก่อนจะหันหลังกลับไป หลังออกจากเมืองมาแล้ว เตียนอุยก็นำทวนคู่มาถือไว้ในมือตลอดเพื่อป้องกันเหตุแปรเปลี่ยน

"ผู้ที่มาโปรดหยุดก่อน" เตียนอุยยืนจังก้าขวางอยู่กลางทางพลางตะโกนด้วยเสียงอันดัง ทวนคู่ในมือทั้งสองจ่อลงพื้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด

"เจ้าเป็นใคร? ใยจึงมาขวางทหารของทางการ?" ฮัวหยงตะโกนถาม ในใจลอบตกตะลึง พินิจจากสภาวะของอีกฝ่ายแล้ว เกรงว่าฝีมือจะไม่ต่ำทราม กล้ามาหยุดยืนขวางทหารม้าที่ควบมาด้วยความเร็วเช่นนี้ได้ อีกฝ่ายจะต้องมั่นใจในฝีมือมาก

"ไม่ว่าพวกท่านจะเป็นทหารสังกัดไหน แต่รถม้าที่ด้านหน้าเป็นรถม้าโดยสารของท่านซัวหยงใต้เท้าซัว ไม่อาจปล่อยพวกท่านไปรบกวนใต้เท้าได้" เตียนอุยตะโกนตอบขณะใจเต้นระรัว ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นกลุ่มทหารม้า ย่อมตื่นเต้นตึงเครียดอยู่แล้ว

"แม่ทัพที่คุมประตูเมืองบอกข้าว่ามีรถม้าออกจากเมืองมาคันเดียว ไฉนที่ด้านหน้าจึงมีสองคันเล่า?" ฮัวหยงถามอย่างสงสัย ในใจยิ่งปักใจเชื่อว่าซิ่วเอ๋อร์จะต้องอยู่ภายในรถม้าหนึ่งในสองคันนั้น

"แม่ทัพผู้นี้ได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบ ครั้งนี้คงต้องล่วงเกินใต้เท้าซัวแล้ว หวังว่าใต้เท้าจะอภัยให้ข้าด้วย" กล่าวจบก็ยกชูง้าวพลางตะโกน "ค้น!"

ดวงตาเตียนอุยเบิกกว้าง ทวนคู่ในมือยกขึ้นตั้งท่า สายตาจ้องมองฮัวหยงอย่างเย็นชา พวกทหารยามของจวนตระกูลซัวไม่เคยเห็นการสู้รบจริงมาก่อน เมื่อเผชิญกับกลุ่มทหารม้าที่โถมเข้ามาอย่างดุร้าย พวกเขาก็แข้งขาสั่น หลายคนรีบหลบเข้าข้างทางด้วยความกลัว

"โอหังนัก!" เห็นเตียนอุยจ้องมองมาอย่างท้าทาย ฮัวหยงก็เดือดดาล เขายกเท้ากระตุ้นท้องม้าเข่นฆ่าเข้าใส่เตียนอุย

ฉับพลันนั้นสภาวะของคนและม้าก็รวมเป็นพลังอันน่าหวาดหวั่น สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งได้ถึงสามส่วน ขณะที่ฝ่ายยืนอยู่บนพื้นนั้นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ไม่เพียงแต่ในด้านความสูงเท่านั้น แต่ในด้านพละกำลังก็ด้วย

เตียนอุยแค่นเสียงเย็น เขายันเท้าขวากับพื้นก่อนพุ่งเข้าหาฮัวหยง

ง้าวและทวนคู่พุ่งเข้าปะทะกัน สีหน้าของเตียนอุยยังคงสงบเช่นปกติ ขณะที่ในใจฮัวหยงบังเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา อีกฝ่ายกล้าแข็งไปแล้ว หากเขาไม่ได้อยู่บนหลังม้า เกรงว่าคงไม่มีโอกาสเอาชนะอีกฝ่ายได้

หลังง้าวและทวนคู่พุ่งเข้าปะทะกันอีกสามกระบวนท่า ฮัวหยงก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน ในฐานะแม่ทัพบู๊คนหนึ่ง เขาย่อมไม่กลัวว่าจะต้องสู้ศัตรู ฮัวหยงชื่นชอบความรู้สึกยามที่ควบม้าโถมเข้าตัดหัวศัตรูที่กำลังตกตะลึงยิ่ง

แม้ว่าเตียนอุยจะยืนสู้บนพื้น แต่เขาก็มีพละกำลังเหนือกว่าฮัวหยงมาก เขากระทั่งยังเป็นฝ่ายมีเปรียบกว่า

ตอนที่กลุ่มทหารม้าพุ่งมาทางรถม้า ลิโป้ก็ฉุกคิดว่าผิดท่า อีกฝ่ายมุ่งเป้ามาที่รถม้าอย่างชัดแจ้ง ถึงแม้ผู้คุ้มกันบางส่วนทำท่าจะเข้าไปขวางเอาไว้ แต่ก็คงคาดหวังอะไรไม่ได้

ชั่วไม่กี่อึดใจ ฮัวหยงและเตียนอุยก็สู้กันไปแล้วกว่าสามสิบกระบวน ยิ่งได้ประมือ ฮัวหยงก็ยิ่งตกใจ คู่ต่อสู้ของเขาคล้ายมีกำลังวังชาไม่หมดไม่สิ้น ต่อให้เขาอาศัยสภาวะจากม้าศึก กระนั้นก็ยังไม่อาจช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบแม้แต่น้อย เมื่อใจร้อนรนเป็นห่วงความปลอดภัยของซิ่วเอ๋อร์ ฮัวหยงก็รั้งบังเหียนก่อนจะควบม้าเปลี่ยนทิศไปทางรถม้า

ลิโป้สบถอยู่ในใจ ขณะเร่งอธิบายสถานการณ์ที่ด้านนอกอย่างรวบรัดต่อซัวหยง

กาเซี่ยงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นมาว่า "ขอใต้เท้าซัวกล่าววาจาตามนี้ ส่วนนายท่านขอให้หลบอยู่ภายในรถม้า อย่าได้ปรากฏตัวออกไป"

ซัวหยงพยักหน้าก่อนจะลงจากรถม้าภายใต้การช่วยประคองของผู้คุ้มกัน