มองดูกองทัพที่ค่อนข้างมีระเบียบแบบแผนที่นอกเมือง บุนเพ่งก็สลัดความคิดดูแคลนทิ้งไป หันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะประตูเมือง โจโฉเคยเป็นเจ้าเมืองกุนจิ๋วมาก่อน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจรับรองได้ว่าภายในเมืองจะไม่มีคนของโจโฉอยู่เลย
โจโฉที่เพิ่งผละจากศึกชีจิ๋วมา เริ่มเปิดฉากโจมตีอีกครั้ง เขาต้องการทวงกุนจิ๋วคืนมาจากเล่าเปียว สำหรับการขึ้นครองราชย์ของเล่าเปียวนั้น แน่นอนว่าเขาย่อมคัดค้าน
ในขณะเดียวกัน หลังจากเล่าหงี เจ้าเมืองอิวจิ๋วตกตาย กองซุนจ้านก็ถือโอกาสนี้เข้าควบคุมอิวจิ๋ว อย่างไรก็ดี ยังมีคนอีกมากที่ยังคงจงรักภักดีต่อเล่าหงี โดยเฉพาะชาวอูชวนที่สำนึกขอบคุณต่อเล่าหงี ทุกครั้งที่คมดาบของกองซุนจ้านจ่อมาถึง ก็เป็นเล่าหงีเองที่ยื่นมือเข้าช่วย หากกองซุนจ้านได้ปกครองอิวจิ๋ว เช่นนั้นชาวอูหวนยังจะได้อยู่ดีกินดีอีกหรือ? ดังนั้นคนกลุ่มแรกที่ไม่อาจนิ่งเฉยดูดายก็คือ ชนเผ่าอูหวน
ชาวอูหวนตั้งเหยียนโร่วเป็นแม่ทัพใหญ่ นำชาวเผ่าอูหวนเข้าต่อสู้กับกองซุนจ้าน
การตายของเล่าหงีสร้างความโกรธแค้นให้กับเหยียนโร่วยิ่ง เล่าหงีเป็นผู้ที่มีสิทธิ์จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้มากที่สุด มิคาด เล่าหงีกลับถูกหมาป่าใจทะเยอทะยานอย่างกองซุนจ้านสังหารเอาได้ หากไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เล่าหงีแทบจะได้เป็นฮ่องเต้แน่นอนแล้ว
เหยียนโร่วไม่ถูกกับกองซุนจ้าน เรื่องนี้เป็นที่ทราบดีในอิวจิ๋ว อย่างไรก็ดี ขุมกำลังของเขาค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้นเขาจึงนึกถึงอ้วนเสี้ยวแห่งกิจิ๋วขึ้นมา เล่าหงีเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับอ้วนเสี้ยว อีกทั้งอ้วนเสี้ยวยังเป็นปริปักษ์กับกองซุนจ้าน หากกิจิ๋วเต็มใจส่งกำลังมาช่วยเหลือ โอกาสที่จะเอาชัยเหนือกองซุนจ้านก็จะมีมากขึ้น
ภายใต้การนำของเหยียนโร่ว เขาก็สามารถรวบรวมไพร่พลได้ราวสามหมื่นคน จากนัน้จึงเคลื่อนทัพรุกเข้าใส่กองซุนจ้าน
สภาพของอ้วนเสี้ยวที่อยู่ในกิจิ๋วเองก็ไม่ได้ดีสักเท่าใด หลังจากที่พวกเตียวเอี๋ยนปล้นสะดมเสร็จ พวกเขาก็กลับไปยังภูเขาดำ อ้วนเสี้ยวทอดตามองเมืองเย่เฉิงด้วยตาแดงฉาน แม้อยากจะร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา อำเภอและหัวเมืองโดยรอบเองก็ถูกปล้นสะดม ทำให้พวกเขาสูญเสียหญ้าเสบียงไปเป็นจำนวนมาก มิหนำซ้ำ เตียวเอี๋ยนยังกวาดต้อนคนหนุ่มฉกรรจ์กลับไปด้วย
อ้วนเสี้ยวเคียดแค้นเตียวเอี๋ยนเทียบเท่ากับที่โจโฉเคียดแค้นเล่าเปียว ทั้งสองต่างก็ต้องการครอบครองดินแดนกว้างใหญ่กว่านี้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเพลิงไหม้ที่สวนหลังบ้านดุจเดียวกัน สำหรับจดหมายขอความช่วยเหลือจากเหยียนโร่วนั้น อ้วนเสี้ยวยังไม่มีความคิดจะเข้าไปยุ่งกับอิวจิ๋วสักพัก เวลานี้ที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือการกวาดล้างกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองแห่งภูเขาดำ ขจัดภัยร้ายที่แฝงเร้นของกิจิ๋วให้สิ้นซาก มิเช่นนั้นหากเตียวเอี๋ยนลอบตลบหลังอีกจะทำอย่างไร? นอกจากนั้น หากปล่อยให้กองซุนจ้านกับเหยียนโร่วต่อสู้กันไป ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะ ที่ได้ประโยชน์ก็คือกิจิ๋ว
......................................
เหลือเวลาอีกราวครึ่งวันก่อนจะเข้าสู่พื้นที่หลงเสีย ขบวนค่อยๆเดินทางอย่างไม่รีบเร่ง จากการตรวจสอบของหน่วยเฟยอิง ลิโป้ก็ได้รับข้อมูลและทำให้เข้าใจเกี่ยวกับกองทัพของจงป้ามากขึ้นราวกับว่าเขาเป็นตัวจงป้าเสียเอง
ตัดสินจากนิสัยของจงป้าแล้ว เขาไม่เต็มใจจะอยู่อย่างอับเฉา ไม่พอใจกับอำนาจที่อยู่ในมือ คนนี้มีความซื่อสัตย์ มีธาตุแท้ของวีรบุรุษ มิเช่นนั้น เซียงหูและคนอื่นๆที่รู้จักกันในนามสี่ขุนโจรแห่งภูเขาไทสันคงไม่มาสวามิภักดิ์ต่อเขา ที่ทำให้ลิโป้วิตกกังวลมากที่สุดก็คือไพร่พลในมือจงป้า
พวกเขาไม่เหมือนกับค่ายโจร ไพร่พลเหล่านี้เป็นทัพทหารของชีจิ๋วขนานแท้ แม้จะหันมาอยู่ในวิถีโจร กระนั้นธาตุแท้ภายในยังคงเป็นทหารไม่แปรเปลี่ยน และหากได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสม ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขาอาจจะถึงขั้นเหนือกว่ากองทัพชีจิ๋วของเล่าปี่เสียด้วยซ้ำ
จงป้าเป็นผู้บัญชาการทัพที่ดี ในช่วงตั้งต้น เขานำทัพออกปราบโจรโพกผ้าเหลืองภายในชีจิ๋วและสร้างชื่อเสียงขึ้นมา เมื่อพูดถึงจงป้า ย่อมไม่มีผู้ใดในชีจิ๋วที่จะไม่รู้จักเขา
ด้วยทัพม้าชั้นยอดอย่างเฟยฉี ลิโป้ก็มั่นใจว่าจะสามารถกำราบทัพหลงเสีย ทว่าน่าเสียดายที่ในขบวนของเขายังมีรถม้าของตระกูลบิอยู่ด้วย ทำให้เขาต้องแบ่งสมาธิมาป้องกัน จงป้ามีไพร่พลในบัญชาอยู่ไม่น้อย เป็นจำนวนถึงสองหมื่น ต่อให้เป็นหมูสองหมื่นตัว การจะกวาดล้างพวกมันก็ยังต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
หลังจากหารือกับกุยแกหลายรอบ ลิโป้ก็วางแผนจะพบกับชายผู้นี้ ดูว่าผู้มีชื่อเสียงแห่งชีจิ๋วอย่างจงป้านั้นเป็นคนอย่างไร
เมื่อได้ทราบความคิดของลิโป้ กุยแกก็ตกตะลึง เขารีบอธิบายทันทีว่า ต่อให้จงป้าจะมีอำนาจอยู่ในชีจิ๋ว แต่ก็เป็นเพียงขุนโจรที่ออกก่อการอยู่ในหลงเสีย ส่วนลิโป้นั้นเป็นถึงเจ้าเมืองผู้ครองแคว้น มีไพร่พลหลายหมื่นใต้บัญชา หากจะบอกว่าตัวเขามีค่ายิ่งกว่าทองคำหมื่นตำลึงก็ไม่ผิด แล้วเขาจะพาตัวเข้าไปเสี่ยงเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่แตกต่างจากเมื่อครั้งนำทัพออกไปรบกับพวกเซียนเป่ย เพราะครานั้นเป็นเพราะปิ้งโจวตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน แม้ว่าการบุกเข้าสู่ทุ่งหญ้าจะเสี่ยงอันตรายไปบ้าง แต่ก็ยังมีโอกาสชนะค่อนข้างสูงหากเตรียมตัวให้รัดกุม ทว่าบัดนี้ ลิโป้กลับต้องการไปพบกับจงป้าด้วยตนเอง นับเป็นความคิดที่บ้าบิ่นอย่างมาก
"เฟิ่งเซี่ยว ข้าไม่ได้จะเข้าไปในค่ายของจงป้าเสียหน่อย ข้าแค่จะเชิญเขาออกมาพบปะ หากสองฝ่ายสามารถรอมชอมกันได้ นั่นจะไม่ดีกว่าหรือ?" ลิโป้อธิบาย
"แต่จงป้านั้นเป็นเพียงโจรป่า ในใจย่อมไม่มีความซื่อสัตย์ แล้วนายท่านจะไปพบกับเขาด้วยตัวเองได้อย่างไร? ข้าน้อยขออาสารับหน้าที่นี้ จะพยายามเกลี้ยกล่อมจงป้าสุดความสามารถเองขอรับ" กุยแกกล่าว
"เฟิ่งเซี่ยว ข้าเป็นเจ้าเมืองปิ้งโจว ขณะที่เจ้าเป็นนายอำเภอจิ้นหยาง ศักดิ์ฐานะย่อมแตกต่างกัน ไม่ต้องกังวล มีเตียนอุยอยู่ข้างกาย ยังจะมีใครทำร้ายข้าได้?" ลิโป้เอ่ยปลอบ
บางทีคำอธิบายของลิโป้อาจจะพอยอมรับได้ ดังนั้นกุยแกจึงไม่ได้ทัดทานอีก
จงป้ารู้สึกประหลาดใจเมื่อจู่ๆที่นอกค่ายก็มีผู้ส่งสารจากกองทัพปิ้งโจวมาขอเข้าพบ เขารีบส่งคนไปเชิญเซียงหูและคนอื่นๆมาหารือมาตราการรับมือโดยเร่งด่วนทันที
"ท่านแม่ทัพ ข้าเคยได้ยินมาว่ากองทัพปิ้งโจวนั้นร้ายกาจยิ่ง ใยพวกเราจึงไม่แสดงแสนยานุภาพของกองทัพเราให้ผู้ส่งสารผู้นั้นดูเล่า?" อินเล้กล่าวเสนอ
"อืม เช่นนั้นเรื่องนี้ยกให้แม่ทัพอินจัดการก็แล้วกัน" จงป้าพยักหน้า
อินเล้เผยสีหน้าตื่นเต้น เรื่องที่เขาถนัดที่สุดก็คือการข่มขวัญผู้คน โดยเฉพาะยามได้เห็นผู้ที่คิดว่าตนเองเก่งกาจแข้งขาสั่นด้วยความกลัวก็ยิ่งชื่นชอบเป็นพิเศษ
กวนอวี่คือผู้ที่รับหน้าที่มาส่งคำเชิญต่อจงป้า เนื่องเพราะทัพม้าเฟยฉีเดิมเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นจึงได้มีการคัดเลือกคนเข้ามาใหม่ หลังจากผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก กวนอวี่ก็ได้เป็นนายทหารระดับผู้บัญชาการของกองทัพปิ้งโจว ในระหว่างการคัดคนเข้าทัพม้าเฟยฉี เขาเองก็สามารถผ่านการคัดเลือกเข้ามาได้เช่นกัน ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการแข่งขันของทัพม้าเฟยฉี ไม่นานกวนอวี่ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากชายหนุ่มที่ไร้เดียงสาสู่ผู้ใหญ่เต็มตัว
กวาดมองไพร่พลถือดาบที่จ้องมองมาจากโดยรอบ กวนอวี่ก็ไม่ได้นำพาแต่อย่างใด เทียบกับกองทัพปิ้งโจวแล้ว ท่ายืนของทหารเหล่านี้ดูเหลาะแหละอ่อนแอ เพียงแสร้งทำท่าให้ผู้คนหวาดกลัวเท่านั้น
มองดูใบหน้าที่ค่อนข้างขาวของกวนอวี่ อินเล้ก็แค่นเสียงอย่างดูแคลน "ผู้มาเป็นใคร? ไฉนพบเจอแม่ทัพผู้นี้แล้วจึงไม่แสดงความเคารพ?"
กวนอวี่คิดว่าอีกฝ่ายคือจงป้า ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่งจนเกินไป "คารวะแม่ทัพจง ข้าน้อยกวนอวี่ เป็นผู้ส่งสารของปิ้งโจว และเป็นนายกองใต้บัญชาของท่านแม่ทัพเตียนอุย"
"ข้าคืออินเล้ แม่ทัพใต้บัญชาของท่านแม่ทัพจงป้า เกิดอะไรขึ้นกับขบวนรถของปิ้งโจว? หรือว่ามาที่นี่นเพื่อส่งมอบเงินให้?" เมื่ออินเล้กล่าวจบ ทหารที่อยู่โดยรอบก็พากันหัวเราะ
ทหารม้าเฟยฉีที่ติดตามกวนอวี่มาพลันเลื่อนมือแตะด้ามกระบี่ที่บั้นเอว ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พวกเขาเคยปล่อยให้มีคนมาดูหมิ่นเช่นนี้?
"แม่ทัพอิน ข้ามาในฐานะผู้ส่งสาร เพียงมีเรื่องสำคัญคิดแจ้งต่อแม่ทัพจง ไม่ทราบว่าท่านช่วยแจ้งต่อแม่ทัพจงให้ข้าน้อยได้หรือไม่?" กวนอวี่แค่นเสียง
ได้ยินดังนั้น อินเล้ก็หน้าแดงด้วยความโกรธ เขาพลันตวาดว่า "กล้าไม่เคารพต่อแม่ทัพผู้นี้ เด็กๆ เข้ามาลากตัวไอ้พวกนี้ไปตัดหัวแล้วโยนออกค่ายไป"
พวกทหารที่อยู่โดยรอบรู้สึกขัดตากวนอวี่และทหารติดตามทั้งสามตั้งนาน ดังนั้นพวกเขาจึงทำตามคำสั่งของอินเล้และล้อมพวกเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าชั่วร้าย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทหาร แต่ก็มีนิสัยดุร้ายเยี่ยงโจร ปกิแล้วมีเพียงพวกเขาที่สามารถเย่อหยิ่งต่อผู้อื่น ไม่ใช่ให้ผู้อื่นมาแสดงความเย่อหยิ่งถึงถิ่นเช่นนี้
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved