ตอนที่ 266 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"เอินซือ(อาจารย์ผู้มีพระคุณ)" หลังจากวางไหสุราที่นำมาด้วยลงแล้ว ลิโป้ก็ประสานมือค้อมคำนับอย่างสุภาพ เขาเคารพนับถือซัวหยงจากใจจริง

"เฟิ่งเซียนมาแล้ว ไม่ได้เจอหน้าเสียหลายวันเชียว" ซัวหยงหัวเราะเบาๆ

ลิโป้เกิดความละอายใจ ซัวหยงทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลโรงเรียนจิ้นหยาง หนังสือพิมพ์ต้าฮั่นเองก็ได้ซัวหยงช่วยดูแล เพื่อผลประโยชน์ของปิ้งโจวแล้ว กล่าวได้ว่าซัวหยงไม่กลัวที่ทำให้ชื่อเสียงของตนต้องด่างพร้อย หลายครั้งยังช่วยเผยแพร่นโยบายของปิ้งโจวให้โดยไม่กลัวคำครหา

"ไม่ต้องคิดมาก เฟิ่งเซียนเป็นเจ้าเมือง ย่อมมีธุระให้ดูแลจัดการมากมาย" ซัวหยงกล่าวปลอบโยน

"ให้เอินซือลำบากเพื่อปิ้งโจวแล้ว" ลิโป้กล่าว

"ลำบงลำบากอะไรกัน? หนังสือฮั่นซู[1]ของอาจารย์ใกล้จะเขียนเสร็จแล้ว หลังจากเรียบเรียงแล้วเสร็จก็จะส่งให้ร้านหนังสือ" ซัวหยงยิ้มด้วยความปลาบปลื้มยินดี

[1 หนังสือประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก]

"เอินซือ ดั่งที่ศิษย์เคยกล่าวเอาไว้ นักศึกษาทั่วแผ่นดินขาดแคลนหนังสือตำรา แม้ว่าปิ้งโจวจะไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวย แต่ก็ยังมีหนังสือตำราให้เรียน เอินซือสามารถถ่ายถอดเนื้อความในหนังสือลงในหนังสือพิมพ์ต้าฮั่น ส่วนเหล่านักเรียนของโรงเรียนจิ้นหยางนั้นจะได้รับหนังสือฮั่นซูคนละหนึ่งชุด" ลิโป้กล่าว

ซัวหยงหน้าแปรเปลี่ยน หากว่าเรื่องนี้ถูกประกาศออกไปจริงๆ ผลกระทบที่มีต่อทั้งแผ่นดินก็จะใหญ่หลวงยิ่ง เมื่อหนังสือฮั่นซูถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว บารมีของเขาในหมู่ขุนนางบัณฑิตก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก กล่าวได้ว่าเขาจะสามารถไปถึงระดับที่เหล่าขุนนางนักปราชญ์หลายคนไม่เคยไปถึงได้มาก่อน เพื่อที่จะให้เห็นภาพยิ่งขึ้น เหล่าบัณฑิตหลังจากได้อ่านหนังสือฮั่นซูแล้ว พวกเขาหลายคนก็จะละทิ้งอคติที่มีต่อปิ้งโจว และคาดการณ์ได้เลยว่าหลังจากนี้ผู้มีความรู้ความสามารถจากทั่วทั้งแผ่นดินก็จะแห่แหนกันมาที่จิ้นหยาง

"ข้าขอขอบคุณเฟิ่งเซียนแทนเหล่าบัณฑิตนักศึกษาทั่วแผ่นดินแล้ว" ซัวหยงกล่าว เมื่อครั้งที่เขาติดตามลิโป้มายังจิ้นหยาง เขาไม่คาดหวังกับคำพูดของลิโป้นัก มิคาด เพียงผ่านไปได้ไม่ทันไร ลิโป้ก็สามารถกระทำได้ตามที่พูดแล้ว เกรงว่าเรื่องนี้ ต่อให้เปลี่ยนเป็นอ้วนเสี้ยวที่มีอำนาจมากที่สุดก็ยังกระทำไม่ได้

"เอินซือเกรงใจไปแล้ว ขอเพียงเหล่าบัณฑิตนักศึกษาละทิ้งอคติที่มีต่อปิ้งโจว ศิษย์ก็พอใจแล้วขอรับ" ลิโป้ตอบ

"นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจเฟิ่งเซียน" ซัวหยงถอนหายใจ หลังจากได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของปิ้งโจวแล้ว เขาก็ต้องยอมรับว่าการกระทำของลิโป้นั้นทำไปเพื่อปวงชนและเพื่อความสมัครสมานสามัคคีของบ้านเมือง ทอดตามองทั่วทั้งแผ่นดินแล้ว ยังจะมีผู้ใดกระทำได้อีก น่าหัวร่อที่เจ้าเมืองบางคนยังคงดูแคลนภูมิหลังของลิโป้ หากว่าลิโป้มีชาติกำเนิดเช่นเดียวกับอ้วนเสี้ยว เกรงว่าบัดนี้ปิ้งโจวคงกลายเป็นมณฑลที่ทรงอิทธิพลที่สุดไปแล้ว

"เฟิ่งเซียนยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าอาจารย์ควรจะกล่าวออกไปหรือไม่" ซัวหยงมีท่าทางลังเลที่จะกล่าวออกมา

ลิโป้ยิ้มกล่าวว่า "เอินซือสามารถกล่าวออกมา ไม่ว่าเป็นเรื่องใด ขอเพียงศิษย์สามารถกระทำ ศิษย์จะกระทำให้สำเร็จ"

หลังจากซัวหยงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ค่อยๆกล่าวขึ้นว่า "เช่นนั้นในฐานะอาจารย์ ข้าจะกล่าวเรื่องนี้ให้กระจ่างก็แล้วกัน"

"บุตรีสุดที่รักของอาจารย์ เจาจี[2] ปีนี้นางก็จะอายุยี่สิบแล้ว อดีตสามีของนาง เว่ยจงเต้าก็มาด่วนตายไปด้วยโรคร้าย ทำให้บัดนี้นางต้องอยู่อย่างเดียวดายในปิ้งโจว" ซัวหยงจ้องมองลิโป้ด้วยความประหม่า

[2 ชื่อรองของซัวเอี๋ยม]

"ไม่ทราบเจาจีมีชายในดวงใจหรือไม่ขอรับ? นี่จัดการง่ายยิ่ง ศิษย์จะเดินทางไปเจรจาที่บ้านของบุรุษผู้นั้นด้วยตนเอง ด้วยรูปโฉมและความสามารถของเจาจีแล้ว มีหรือจะยังหาสามีดีๆไม่ได้" ลิโป้หัวเราะเบาๆ

"เฟิ่งเซียน บุคคลที่อาจารย์เอ่ยถึงก็คือเจ้า เจาจีชื่นชมเฟิ่งเซียนมาก....."

ได้ฟังดังนั้น ลิโป้ก็มึนงง ซัวเอี๋ยมซึ่งทุกครั้งที่พบหน้ามักจะแสดงท่าทีเย็นชาต่อเขาตลอดกลับตกหลุมรักเขา? เป็นไปได้หรือไม่ว่าซัวหยงจะปั้นแต่งเรื่องขึ้น? ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขามีความเข้าใจในอารมณ์และลักษณะนิสัยของซัวเอี๋ยมโดยกระจ่าง หากว่าซัวหยงกล้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว แสดงว่าจะต้องได้รับการยินยอมจากซัวเอี๋ยมก่อน จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบเจอกับซัวเอี๋ยม ก็คือคนอที่อยู่ในโรงเรียนจิ้นหยาง

"เอินซือ ศิษย์และเจาจีน้อยครั้งจะได้พบหน้า แต่เพราะเหตุใด?" ลิโป้ถามด้วยความสงสัย

ซัวหยงยิ้มอย่างขื่นขมพลางกล่าวว่า "เดิมทีอาจารย์เองก็ไม่ทราบในเรื่องนี้ แต่เมื่อมีข่าวลือภายในเมืองว่าเฟิ่งเซียนจะรับอนุ เจาจีก็มาเอ่ยเรื่องนี้กับอาจารย์"

"และอาจารย์เองก็เห็นชอบด้วย" ซัวยงถอนหายใจ

ลิโป้นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ด้วยชื่อเสียงของซัวหยงแล้ว การจะหาตระกูลสามีที่ดีให้กับซัวเอี๋ยมย่อมง่ายดุจพลิกฝ่ามือ ขณะที่เขาเป็นเพียงแม่ทัพบู๊ที่ไม่ได้โดดเด่นในด้านบุ๋น ไฉนจึงเกิดไปต้องตาต้องใจซัวเอี๋ยมเข้าได้? นี่ก็คือเรื่องที่เขารู้สึกสงสัยมากที่สุด แม้ว่าเขาจะมีความประทับใจต่อซัวเอี๋ยม แต่เขาก็วางตัวรักษาระยะห่างไม่ให้นางต้องมีชื่อเสียงด่างพร้อยอยู่ตลอด บ่อยครั้งที่พบหน้า นางก็มักจะปั้นหน้าตาเย็นชาใส่ ดังนั้นยิ่งมาเขาจึงยิ่งระมัดระวังตัวต่อหน้าซัวเอี๋ยม

ในความเห็นของเขา มีเหยียนหลาน และเตี้ยวเสี้ยวผู้ซึ่งกำลังจะแต่งงานก็เพียงพอแล้ว มิคาด ซัวเอี๋ยมที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนจิ้นหยางเงียบๆจะกระทั่งเป็นฝ่ายหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวกับเขาเอง หรือว่าหลังจากได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่โลกนี้ ชะตาดอกท้อของเขาจะผลิบานแล้ว? มิฉะนั้นในอดีตทำไมเขาถึงไม่มีสาวใดมาเหลียวแลเลยเล่า?

"เฟิ่งเซียน เจ้าคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้?" เมื่อเห็นลิโป้นิ่งเงียบไปนาน ซัวหยงก็อดรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาไม่ได้ หากว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญต่อลิโป้อย่างมาก เขาก็คงจะไม่ยกบุตรีให้แต่งงานกับเจ้าเมืองที่มีครอบครัวแล้วเช่นนี้ หากว่าเขาไม่ล่วงรู้นิสัยใจคอของบุตรีเป็นอย่างดี เขาก็จะไม่มีทางหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว

"เอินซือ ศิษย์สามารถพิจารณาเรื่องนี้ก่อนจะให้คำตอบได้หรือไม่?" ลิโป้กุมมือถามด้วยสีหน้าจริงจัง

ซัวหยงถอนหายใจ "ได้"

ร่างงามที่อยู่หลังฉากกั้น เมื่อได้ยินว่าลิโป้ไม่ได้ตอบรับในทันที ใบหน้าอันงดงามก็ซีดเผือด ในใจเกิดความกังวลอย่างอธิบายไม่ได้

ซัวเอี๋ยมตกหลุมรักลิโป้มานานแล้ว ลิโป้ได้ทิ้งความประทับใจไว้ให้นางอย่างลึกล้ำตั้งแต่ตอนที่ลิโป้และนางได้พบกันในคฤหาสน์ตระกูลซัวคืนนั้น โดยเฉพาะกับคำพูดที่น่าตกตะลึงของลิโป้ ทำให้นางรู้สึกอยากจะรู้จักกับบุรุษที่กล่าวคำพูดเช่นนั้นมากยิ่งขึ้น ภายในโรงเรียนจิ้นหยาง แม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่การสอนหนังสือแก่เหล่านักเรียนก็ทำให้นางได้รับรู้ถึงความหมายของการมีชีวิต เงามืดจากตระกูลเว่ยที่เคยเหลือทิ้งไว้ก็ค่อยๆจางหายไปเพราะตารางสอนที่แน่นขนัด เมื่อนายทราบว่าลิโป้จะต้องนำทัพออกไปทำศึก นางก็มักจะนอนไม่หลับ และเมื่อข่าวชัยชนะของลิโป้ถูกส่งกลับมา นางก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดีอย่างที่สุด เพียงแต่นางมักจะเก็บอาการความรู้สึกนี้เอาไว้ที่ส่วนลึกของจิตใจ และเมื่อมีเวลาว่าง นางก็ยังไปพบกับเหยียนหลานซึ่งเป็นภรรยาเอกของลิโป้อยู่บ่อยๆ

บุตรสาวของลิโป้ ลิหลิงฉีเองก็เป็นนักเรียนของนาง นี่ทำให้นางมีข้ออ้างในการไปเยือนจวนของลิโป้ เหยียนหลานทำให้นางรู้สึกสบายใจเมื่อได้พูดคุย ไม่ว่าการกระทำหรือคำพูดจา นางล้วนทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ นางไม่รู้สึกกลิ่นอายที่สะกดข่มผู้อื่นอย่างที่ภรรยาเอกหลายๆคนมี

หลังจากข่าวเรื่องที่ลิโป้จะแต่งงานกับเตียวเสี้ยวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง ซัวเอี๋ยมก็รู้สึกว่านางจะต้องทดลองต่อสู้ด้วยตัวเองดูสักครา ต่อให้ไม่สำเร็จ ก็เป้นดั่งคำกล่าวของลิโป้ ว่าเขาไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ได้พยายาม ดังนั้นนางจึงร้องขอให้บิดาเอ่ยถึงเรื่องนี้ นี่ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างที่สตรีนางใดในยุคนี้ยากจะมีได้

จนกระทั่งเดินออกจากโรงเรียนจิ้นหยางมาแล้ว ลิโป้ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ

ลิโป้รู้สึกว่าเรื่องนี้ จะเป็นการดีที่สุดหากไปถามความเห็นจากเหยียนหลานซะก่อน หลังจากค่อยๆปรับตัวกับเรื่องราวในยุคสมัยนี้ได้ ลิโป้ก็รู้สึกว่าเหยียนหลานมีน้ำหนักอยู่ในใจของเขาอย่างมาก เมื่อมีเหยียนหลานรอคอยอยู่ที่บ้าน เขารู้สึกสบายใจเสมอ การสอบถามความเห็นของเหยียนหลานในเรื่องนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติต่อเหยียนหลาน