ตอนที่ 260 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ด้วยความสิ้นหวัง พวกทหารจึงชักอาวุธเข้าหากัน ภายใต้แรงผลักดันของความต้องการมีชีวิตรอด ทหารของหยิ่นสงจึงโจมตีใส่ทหารกิจิ๋วที่ขวางทางอยู่ ทำให้สถานการณ์ที่ประตูเมืองยิ่งทวีความวุ่นวาย

แม้ว่าทหารของหยิ่นสงจะไม่ใช่ทหารชั้นยอด แต่เพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไปแล้ว พวกเขาจึงระเบิดพลังต่อสู้อันน่าตกตะลึงออกมา พยายามจะตีฝ่าขบวนทัพของทหารกิจิ๋วออกไป

เมื่อเห็นฉากนี้ ตันเทียนก็สั่งให้ทหารโถมเข้าเข่นฆ่าหยิ่นสง ทำให้ทหารของหยิ่นสงบาดเจ็บล้มตายอย่างหนัก

หยิ่นสงที่กัดฟันสู้สุดกำลังมองเขาฮิวที่สีหน้าละอายใจ "นี่หมายความว่าอย่างไรกันใต้เท้า? แทนที่จะบุกโจมตีซ่างกู่ ไฉนท่านจึงสั่งให้ทหารมาขวางไม่ให้ทหารของข้าออกจากเมืองเช่นนี้?"

เมื่อพวกทหารกิจิ๋วได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ถลึงตาพลางชักดาบออกมาเล็งใส่หยิ่นสง

เขาฮิวแค่นเสียงเย็น "ก่อนที่จะเข้าเมือง ขุนนางผู้นี้ก็เกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองหยิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า น่าเสียดายที่เจ้าเมืองหยิ่นคิดแต่จะยึดเมืองซ่างกู่โดยไม่สนใจสิ่งอื่น สามารถทำให้ลิโป้เลือกให้อยู่เฝ้ารักษาซ่างกู่ได้ มีหรือที่คนผู้นั้นจะธรรมดา? ช่างน่าหัวร่อนัก ความสำเร็จกลับสลายเป็นอากาศธาตุไปแล้ว"

หยิ่นสงหน้าแดง นี่เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ "แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ใยใต้เท้าจึงไม่ให้ทหารของข้าถอยออกจากเมือง?"

"ฮึ่ม ทหารของเจ้าเมืองหยิ่นนี่เป็นทหารประเภทไหน? มีหรือที่เจ้าเมืองหยิ่นจะไม่ทราบ? ยามถอยทัพกลับไร้รูปขบวนโดยสิ้นเชิง หากขุนนางผู้นี้ไม่สั่งให้ทหารตั้งแนวป้องกันไว้ เกรงว่าบัดนี้พวกเราทั้งหมดคงตายอยู่ในเมืองไปแล้ว" เขาฮิวกล่าวด้วยโทสะ ทหารกิจิ๋วจำนวนห้าร้อยจากสองพันต้องตายเพราะการโจมตีจากทหารของหยิ่นสง มีหรือที่เขาจะไม่เดือดดาล?

หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หยิ่นสงก็กุมหมัดกล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ข้าเสียมารยาทไป หวังว่าใต้เท้าเขาจะไม่ถือสา บัดนี้เมื่อตันเทียนเตรียมการไว้คอยท่า พวกเราควรทำอย่างไรดี?" ในใจหยิ่นสงยังคงไม่ยอมแพ้ เขายังคงต้องการทวงคืนทุกสิ่งอย่างที่เคยเป็นของเขากลับมาจากตันเทียน

"สำหรับแผนการตอนนี้ พวกเรามีแต่ต้องล่าถอยกลับไปที่เมืองจี้ มิเช่นนั้นเมื่อตันเทียนนำทัพไล่ตามมา คิดว่าด้วยทหารกิจิ๋วเพียงพันกว่าและซากทัพของเจ้าเมืองหยิ่นจะต้านทานเขาได้?" เขาฮิวกล่าว

หยิ่นสงถอนหายใจ "ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง หวังจากกลับไปที่เมืองจี้แล้ว ข้าขะขออภัยต่อใต้เท้าอ้วน"

สีหน้าของเขาฮิวดีขึ้นเล็กน้อย เดิมเขามาที่เมืองซ่างกู่ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม คิดไม่ถึงว่าหลังจากหยิ่นสงมีกองทัพอยู่ในมือ เขาจะพลันกลายเป็นไม่เชื่อฟังคำสั่ง มิเช่นนั้น ต่อให้ตีชิงเมืองซ่างกู่มาไม่ได้ แต่เมืองซ่างกู่ก็จะเสียหายอย่างหนัก และเมื่อเป็นเช่นนั้น ทัพกิจิ๋วที่เคลื่อนกำลังไปรบที่เมืองปักเป๋งก็จะผ่อนคลายขึ้นมาก

หลังจากนำทัพกลับมาถึงซ่างกู่ ลิโป้ก็ประกาศแต่งตั้งตันเทียนให้เป็นเจ้าเมืองไต้จิ๋ว คอยดูแลด้านการบริหารและการทหารของเมืองไต้จิ๋ว หลังจากตันเทียนสามารถนำทัพเอาชนะหยิ่นสงและเขาฮิวได้ ลิโป้ก็ยิ่งประเมินตันเทียนสูงขึ้น

ที่ตั้งของเมืองซ่างกู่และเมืองไต้จิ๋วนั้นค่อนข้างพิเศษ ไม่เพียงอยู่ติดกับเมืองจี้และเมืองตุ้นกวนที่ถูกกองทัพกิจิ๋วยึดครอง แต่ทางตอนเหนือยังมีชาวซียนเป่ยบุกมารุกรานเป็นครั้งคาว อีกทั้งพื้นที่ทั้งสองนี้ยังมีความสำคัญต่อปิ้งโจวมาก หากไม่มีสองเมืองนี้ ปิ้งโจวก็ยากจะเคลื่อนทัพเข้าสู่อิวจิ๋ว ครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ ลิโป้ก็พลันนึกถึงตันเตา

แม้ว่าตันเตาจะยังหนุ่ม แต่เขาก็เคยปกป้องเมืองหยุนจงร่วมกับซีเอ๋งอยู่ระยะหนึ่ง ตันเตาสามารถฝึกฝนไพร่พลได้เป็นอย่างดี เขานับเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะให้เฝ้าดูแลเมืองซ่างกู่ หลังจากเหตุการณ์หยิ่นสงบุกโจมตี ตระกูลน้อยใหญ่ในเมืองซ่างกู่ก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งจากจวนเจ้าเมืองอีก ด้วยที่ดินที่ทั้งสามตระกูลส่งมอบออกมาเป็นการสนับสนุนนโยบาย นโยบายของปิ้งโจวก็สามารถนำมาใช้ที่เมืองซ่างกู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ลิโป้มีความคิดที่จะเพิ่มจำนวนทหารที่ประจำการภายในเมืองซ่างกู่และเมืองไต้จิ๋วให้มีจำนวนหนึ่งหมื่นนายเป็นอย่างน้อย เมืองยีหยงและเมืองปักเป๋งเองก็ต้องใช้ทหารอย่างน้อยอีกเมืองละหนึ่งเมือง ด้วยเหตุนี้ เพียงเมืองในอิวจิ๋วเพียงอย่างเดียว กองทัพปิ้งโจวจะต้องลงทุนให้ทางด้านทหารอย่างน้อยสี่หมื่นคน

มีทหารจำนวนไม่มากในทัพปิ้งโจวที่สามารถใช้สอยได้ทันที ดังนั้นภารกิจเกณฑ์ทหารจึงถูกส่งมอบไปยังนายอำเภอและเจ้าเมืองแต่ละแห่งรับไปดำเนินการ ในยามที่แผ่นดินวุ่นวายเช่นนี้ การมีกำลังทหารอยู่ในมือย่อมอุ่นใจกว่า แม้แต่ตันเทียนก็ไม่คัดค้านในเรื่องนี้ เดิมทีเมืองไต้จิ๋วนั้นมีไพร่พลอยู่ถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน แต่เขาได้แบ่งทหารจำนวนห้าพันคนไปประจำการที่เมืองซ่างกู่เอาไว้ก่อน รอจนกระทั่งตันเตาเดินทางมารับตำแหน่งแล้วค่อยหารือกันอีกที

ตันเทียนไม่คัดค้านการแต่งตั้งจากลิโป้ ด้วยผลงานในการป้องกันเมืองครั้งนี้ เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้รับการใช้สอย

ตอนนี้เอง ลิโป้ถึงได้โอดครวญถึงเหล่าผู้มีความสามารถอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากที่มีดินแดนในปกครองมากขึ้น อาจมีสถานการณ์ที่ขาดคนให้ใช้สอย แม้ว่านักเรียนจากโรงเรียนจิ้นหยางหลายคนจะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งต่างๆบ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกสองสามปีถึงจะสามารถเติมเต็มตำแหน่งต่างๆได้มากขึ้น

ตันเตาดูแลเมืองซ่างกู่ เถียนยู่และจูล่งดูแลเมืองยีหยงและเมืองปักเป๋ง ส่วนตันเทียนดูแลเมืองไต้จิ๋ว ต่อให้อ้วนเสีย้วกรีธาทัพบุกมาอีกครั้ง เขาก็ยากจะฉกฉวยผลประโยชน์ใด

"นายท่าน เมืองไต้จิ๋วอยู่ติดกับชนเผ่าเซียนเป่ย ขณะที่ทัพกิจิ๋วก็เฝ้าจับตาดู ผู้น้อยจึงคิดร้องขอแม่ทัพเจนศึกให้มาประจำการที่เมืองไต้จิ๋วสักนายขอรับ" หลังจากได้ทราบแผนการวางกำลังของลิโป้ ตันเทียนก็ค้อมคำนับพลางกล่าวร้องขอออกมา

ลิโป้พยักหน้ากล่าวว่า "แม่ทัพหลันเป้งติดตามข้าออกศึกมานาน เขามีฝีมือโดดเด่น ย่อมสามารถช่วยเจ้าเมืองตันเฝ้ารักษาเมืองไต้จิ๋ว"

ที่ตันเทียนร้องขอเช่นนี้ก็เพื่อที่จะขจัดความแคลงใจของลิโป้ไป ถึงอย่างไรเมืองไต้จิ๋วก็อยู่ติดกับปิ้งโจว หากว่าตันเทียนมีจิตคิดเป็นอื่น นั่นก็จะเป็นผลเสียต่อปิ้งโจวอย่างใหญ่หลวง

เมื่อเห็นว่าตันเทียนทราบว่าเมื่อใดจึงควรรุก เมื่อใดจึงควรถอย ลิโป้ก็ยิ่งชื่นชมตันเทียน การได้ตัวบุคคลเช่นนี้มาช่วยงานนับว่ามีส่วนช่วยต่อปิ้งโจวอย่างใหญ่หลวงทีเดียว

..............................

หลังจากอ้วนเสี้ยวกลับมาถึงเมืองจี้ โทสะที่อัดแน่นอยู่ภายในใจของเขาก็ยากจะหาที่จะบายออก สายตาที่ใช้มองดูเหยียนโร่วดูดุร้ายขึ้นเล็กน้อย ในความคิดของเขานั้น เป็นเพราะเหยียนโร่วไม่อาจควบคุมคนของตนไว้ให้ดี ฝ่ายเขาจึงต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ทำให้ทัพปิ้งโจวได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ ขณะที่ทัพกิจิ๋วต้องล่าถอยกลับมาที่เมืองจี้ ระหว่างถอยยังถูกทหารม้าอูหวนและทหารม้าเฟยฉีไล่ตามจนต้องอับอายอีก

เหยียนโร่วก็ยากจะพูดอะไร เดิมทีเขาคิดว่าการเลือกเข้าร่วมกับอ้วนเสี้ยวนั้นเป็นตัวเลือกที่ดี มิคาด เขากลับต้องตกอยุ่ในสถานการณ์ที่ยากจะบ้าน

หลังจากได้ยินข่าวความล้มเหลวของหยิ่นสงและเขาฮิว อ้วนเสี้ยวก็ยิ่งหน้าดำทะมึน นึกไม่ถึงว่าการยกทัพมาอิวจิ๋ว ลำบากสู้รบจนสามารถโค่นกองซุนจ้านลงได้ สุดท้ายกลับถูกทัพปิ้งโจวชิงผลประโยชน์ตัดหน้าไป เมืองไต้จิ๋ว เมืองซ่างกู่ เมืองยีหยง และเมืองปักเป๋ง ทั้งหมดล้วนถูกทัพปิ้งโจวฮุบกลืนไป มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเมื่อปิ้งโจวสามารถทำให้ทั้งเมืองสงบมั่นคงได้แล้ว อิวจิ๋วแห่งนี้ก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับทัพกิจิ๋วอีก

"นายท่าน ทัพเราเดินทางกรำศึกมานาน ไพร่พลเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ฤดูหนาวก็ใกล้เข้ามาแล้ว ใยจึงไม่ส่งคนไปขอสงบศึกกับทัพปิ้งโจวเล่าขอรับ" เตียนห้องเสนอแนะ

เมื่อฮองกี๋ได้ยิน เขาก็ก้าวออกมากล่าวว่า "ใต้เท้าเตียนกล่าวมีเหตุผล"

คำพูดของฮองกี๋มีน้ำหนักอย่างมากในใจอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวพยักหน้ากล่าวว่า "เมื่อเป็นเช่นนี้ ให้หยวนเฮ่ารับหน้าที่เป็นทูตไปเจรจากับทัพปิ้งโจวก็แล้วกัน"

"ขอรับ" เตียนห้องกุมมือรับคำ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า "ใต้เท้า บัดนี้ใต้เท้าจออยู่ในทัพปิ้งโจว"

สีหน้าของอ้วนเสี้ยวมืดครึ้มลงเมื่อได้ยินชื่อจอสิว เพราะนั่นทำให้เขานึกถึงเมืองปักเป๋ง นึกถึงความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับที่นอกเมืองปักเป๋ง และนึกถึงความตายของบุนทิว หากว่าจอสิวระมัดระวังให้มากกว่านี้ เรื่องราวในวันนี้ก็คงไม่เกิด อาจกล่าวได้ว่า ในใจของอ้วนเสี้ยวนั้นเคียดแค้นจอสิวอย่างมาก แค้นจนยากจะถลกหนังจอสิวทั้งเป็น "เอาไว้ไปถึงทัพปิ้งโจวแล้วใต้เท้าเตียนก็ค่อยเอ่ยเรื่องนี้แล้ว"

เตียนห้องค้อมคำนับพลางรับคำ ในใจเต็มไปด้วยความยินดี อ้วนเสี้ยวส่งเขาไปทัพปิ้งโจวครั้งนี้ ที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือช่วยสหายรักจอสิวกลับมา