ตอนที่ 292 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"ข้าน้อยโกะหยง ชื่อรองเหวียนถั้น เป็นชาวเมืองง่อกุ๋น"

หลังจากเจ้าหน้าทำการลงทะเบียนให้และตรวจทานด้วยความรอบคอบแล้ว เขาก็เอ่ยเตือนว่า "โกะเซียนเซิง การประเมินจะเริ่มต้นขึ้นที่โรงเรียนจิ้นหยางในอีกสามวันให้หลัง หลังจากได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลแล้ว ทางโรงเรียนจิ้นหยางก็จะรายงานขึ้นไปยังจวนเจ้าเมือง โดยจะได้รับการแต่งตั้งตามความสามารถ ในระหว่างนี้ขอให้โกะเซียนเซิงพักอยู่ภายในเมืองก่อน"

เจ้าหน้าที่โถงรับสมัครต้อนรับผู้คนด้วยความสุภาพอย่างมาก โกะหยงกุมมือกล่าวว่า "ขอบคุณ"

"เซียนเซิงเดินดีๆ!"

หลังจากเข้าสู่ปิ้งโจวและมาถึงเมืองจิ้นหยาง โกะหยงก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เขาตัดสินใจมายังปิ้งโจวก็เพราะเขาเกิดความคิดถึง ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ โกะหยงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอที่หับป๋า ความสำเร็จในเส้นทางราชการของเขาน่าทึ่งยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะซัวหยงอยู่ที่นี่ โกะหยงก็คงจะไม่มา หนังสือพิมพ์ต้าฮั่นเริ่มมีอิทธิพลต่อแผ่นดินมากขึ้นเรื่อยๆ และบ่อยครั้ง เขาก็มักจะได้อ่านคำยกย่องสรรเสริญปิ้งโจว ซึ่งผู้เขียนบทความก็คือซัวหยง อาจารย์ของเขา ดังนั้นเขาจึงบังเกิดความสงสัยใคร่รู้ต่อปิ้งโจวมากขึ้นเรื่อยๆ

จากบทความของซัวหยง โกะหยงก็สัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างของผู้เป็นอาจารย์ ในฐานะขุนนางปราชญ์ผู้หนึ่ง ซัวหยงย่อมต้องการให้ลูกศิษย์ลูกหาเดินทางมายังปิ้งโจว เพียงแต่ชื่อเสียงของลิโป้ในแวดวงขุนนางบัณฑิตนั้นเหม็นโฉ่เกินไป นี่จึงเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมจึงไม่มีศิษย์ของซัวหยงเดินทางมารับราชการที่ปิ้งโจวเลย

หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆโดยละเอียดแล้ว โกะหยงก็รู้สึกได้ว่าวิธีการจัดการของเจ้าเมืองปิ้งโจวออกจผิดแผกสามัญสำนึก ในกลียุคเช่นนี้ ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางมายังปิ้งโจวโดยลำพัง สำหรับคนในครอบครัวนั้น ตระกูลโกะค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่ในกังตั๋ง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี โกะหยงไม่ต้องการจะพึ่งพาชื่อเสียงของผู้เป็นอาจารย์ หากว่าเขาต้องการไขว่คว้าสิ่งใด เขาก็จะใข้ความสามารถของตัวเองในการให้ได้มา เอาไว้เมื่อประสบความสำเร็จถึงระดับหนึ่งแล้ว เขาค่อยไปพบกับซัวหยงผู้เป็นอาจารย์

........................

เพื่อที่จะออกค้นหาขุมสมบัติที่ถูกซ่อนเอาไว้ของเตียวเหยียง ลิโป้จึงตัดสินใจจะออกไปสืบหาข่าวที่ซือลี่(มณฑลราชธานี)ด้วยตัวเอง หากว่าปิ้งโจวต้องการจะเข้าช่วงชิงอำนาจในภาคกลาง เช่นนั้นก็จะต้องยึดครองซือลี่ให้ได้เสียก่อน ซึ่งที่ซือลี่เวลานี้ก็คือดินแดนที่วุ่นวายที่สุดในแผ่นดินแล้ว เมืองหลวงตะวันออก(ลั่วหยาง) และเมืองหลวงตะวันตก(ฉางอัน) คือดินแดนที่ตั๋งโต๊ะเหลือทิ้งเอาไว้ แม้ว่าจะถูกพวกลิฉุยกุยกีปล้นชิง กระนั้นพื้นที่ซือลี่ก็มีความสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ยกตัวอย่างเช่น เมืองลั่วหยาง เมืองหลวงที่มีด่านล้อมรอบ และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของฉางอันยังสำคัญยิ่งกว่า เป้าหมายต่อไปของปิ้งโจวไม่ใช่รวบรวมอิวจิ๋วให้เป็นปึกแผ่น แต่เป็นมณฑลซือลี่ที่โกลาหนวุ่นวายที่สุด ขอเพียงเขาหยั่งเท้าและยืนหยัดในซือลี่ได้ นั่นก็เท่ากับเป็นการเปิดประตูในการช่วงชิงแผ่นดินภาคกลาง เมื่อมีอำนาจมากขึ้น ความมั่นใจของลิโป้ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพื่อที่จะปกป้องและรักษาสิ่งที่รักเอาไว้ เขาจึงมีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีผู้ใดสามารถท้าทายได้

มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลั่งไหลกันไปที่ปิ้งโจว โดยคนส่วนใหญ่ก็มักจะเดินทางไปทั้งครอบครัว เป็นการเดินทางตัวเปล่า ไม่มีอาหาร ไม่มีเงินทอง หากสถานการณ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป อีกไม่ช้าจะต้องส่งผลกระทบต่อปิ้งโจวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าปิ้งโจวไม่มีที่ดินพอจะแบ่งสรรให้กับราษฏร? จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าปิ้งโจวมีอาหารไม่พอเลี้ยงผู้คน? หรือจะปิดด่านหูกวนไม่ให้ผู้คนอพยพเข้าปิ้งโจว? ไม่ว่าสถานการณ์ไหน ลิโป้ก็ไม่ต้องการเห็นทั้งสิ้น

หลังจากสงครามขึ้นในซือลี่ ผู้คนก็มีการย้ายเข้าและออกด้วยอัตราหนึ่งต่อสิบ หากสามารถยึดครองที่นี่แล้วทำการถ่ายผู้คนเข้ามา นั่นก็จะไม่เพียงช่วยบรรเทาแรงกดดันที่ปิ้งโจวได้รับ แต่ยังสามารถยกระดับความเจริญรุ่งเรืองของซือลี่ สำหรับเรื่องที่กองทัพของบรรดาเจ้าเมืองอื่นๆจะบุกโจมตีมานั้น กองทัพปิ้งโจวหาเกรงกลัวผู้ใดไม่

สำหรับเรื่องการเดินทางไปยังซือลี่ของลิโป้นั้น กาเซี่ยง กุยแก และคนอื่นๆเริ่มทราบแล้วว่าเมื่อลิโป้ตัดสินใจสิ่งใดก็ยากที่จะทัดทานได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เอ่ยเตือนให้ลิโป้ถนอมตัว ยอดกุนซือทั้งสองเริ่มค่อยๆคุ้นชินกับนิสัยที่รักการผจญภัยของลิโป้บ้างแล้ว นับตั้งแต่ครั้งที่นำทหารม้าเฟยฉีสามพันบุกเข้าไปในทุ่งหญ้าจนมาถึงครั้งที่นำทหารม้าเฟยฉีจำนวหนึ่งพันไปยังชีจิ๋ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ว่าเจ้าเมืองคนใดก็ไม่อกล้าเสี่ยงเช่นนี้แน่นอน ลิโป้มีฐานะเป็นผู้ปกครองแห่งปิ้งโจวและจิ้นโหว และไม่เพียงแต่มณฑลปิ้งโจวเท่านั้น แต่ยังมีสี่เมืองใหญ่ของอิวจิ๋วอยู่ภายใต้การปกครอง

สิ่งที่แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆก็คือ ครั้งนี้ ผู้ที่ติดตามลิโป้ไปยังซือลี่กลับเป็นกาเซี่ยง เมื่อมียอดกุนซือสมองเพชรร่วมทางไปด้วยเช่นนี้ ต่อให้แผนการเกิดความผิดพลาด เขาก็ยังมีผู้ที่สามารถออกความคิดแก้ไขสถานการณ์ได้อยู่ด้วย

ปกติแล้วกาเซี่ยงมักนั่งประจำการอยู่ในปิ้งโจว ทำให้เขาคล้ายกลายเป็นผู้รักษาการณ์แห่งปิ้งโจวไปเสียแล้ว ในแง่ของการใช้อุบายและกลศึก กาเซี่ยงยังไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถเท่าใดนักเพราะต้องคอยบริหารจัดการกิจการภายใน เวลานี้ ที่ปิ้งโจวขาดแคลนที่สุดก้คือขุนนางที่สามารถดูแลกิจการภายใน มิเช่นนั้น ด้วยความสามารถของกาเซี่ยงและกุยแกแล้ว ยามใดที่พวกเขาได้ลงสนามพร้อมกัน ลิโป้ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวกุนซือฝ่ายศัตรูแต่อย่างใด ลิโป้เองก็ต้องการให้กาเซี่ยงละมือจากงานบริหารอันหนักหนาสาหัส เพื่อที่จะให้กาเซี่ยงได้แสดงความสามารถออกมาอย่างแต็มที่

ในการเดินทางครั้งนี้มีหน่วยเฟยอิงคอยลอบให้การอารักขาอยู่ในมุมมืดจำนวนสองร้อยนาย ซึ่งถือเป็นขุมกำลังสองในสามของหน่วยเฟยอิงแล้ว ขณะที่องค์รักษ์ซึ่งคอยอารักขาในที่สว่างนั้นมีด้วยกันหนึ่งร้อยคน ด้วยขุมกำลังเช่นนี้ ต่อให้พบเจอกับศัตรูจำนวนนับพัน ลิโป้ก็จะสามารถล่าถอยไปได้โดยปลอดภัยแน่นอน หน่วยเฟยอิงก็คือตัวแทนของกองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดของปิ้งโจว ขณะที่องค์รักษ์ที่เตียนอุยคัดเลือกมาก็คือยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือในกองทัพปิ้งโจว ด้วยการดำรงอยู่ของสุดยอดกองกำลังทั้งสอง เกรงว่าต่อให้เป็นการปะทะกับหน่วยรบพิเศษของยุคปัจจุบัน พวกเขาก็ไม่อาจกำจัดหน่วยเฟยอิงให้สิ้นซากได้อย่างแน่นอน

สำหรับความสามารถในด้านกิจการภายในของตันเทียนนั้น ลิโป้รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก หลังจากจัดการเรื่องราวในซือลี่แล้ว เขาก็คิดจะเก็บตัวอยู่ในจิ้นหยางเพื่อมุ่งมั่นฝึกฝน

ก่อนที่ตันเทียนจะมายังปิ้งโจว เรื่องราวในอิวจิ๋วก็ถูกส่งมอบเรียบร้อยแล้ว เขาเข้าใจดีว่า หากว่าเรื่องที่ซ่อนขุมทรัพย์ของเตียวเหยียงดำเนินไปได้ด้วยดี เข้าจะก้าวเท้าเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจของปิ้งโจวอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเขาย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เขาทราบกระจ่างดีว่าปิ้งโจวขาดแคลนขุนนางด้านกิจการภายในเพียงใด ซึ่งนี่จะเป็นเวทีให้เขาได้ฉายแสง อย่างไรเสีย การปกครองเพียงเมืองไต้จิ๋วก็ทำให้เขามีอำนาจอย่างจำกัด หากต้องการจะมีชีวิตอยู่รอดในกลียุคเช่นนี้ ก็จำเป็นจะต้องกุมอำนาจอันแข็งแกร่งเอาไว้ในมือ ต่อให้จะติดอาวุธชุดเกราะชั้นเลิศให้ทหารไต้จิ๋ว แต่หากเผชิญกับการบุกโจมตีระดับกองทัพจำนวนนับแสน เกรงว่าเขาคงมีจุดจบที่ไม่ดีนัก

เมื่อลิโป้เดินทางไปที่ซือลี่ เขาย่อมติดตามขบวนพ่อค้าไปเพื่อให้ดูกลมกลืนกับผู้คน ด้วยวิธีนี้ ทหารองค์รักษ์ทั้งหนึ่งร้อยคนของเขาก็จะไม่สะดุดตาผู้คน สำหรับขุนนางที่ทราบเรื่องการเดินทางในครั้งนี้มีเพียงแค่ลิซกกับกุยแกเท่านั้น

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้มีไพร่พลจำนวนเกือบหนึ่งหมื่นหลั่งไหลเข้ามาภายในด่านหูกวน ในฉากหน้านั้น นี่เป็นการเสริมกำลังให้กับด่านหูกวน แต่อันที่จริง นี่เป็นกองทัพที่จะสามารถเคลื่อนกำลังไปช่วยเหลือลิโป้ได้ทุกเวลา แน่นอนว่าเหล่าทหารที่เฝ้าด่านย่อมไม่ทราบเรื่องนี้

ขบวนพ่อค้าที่ลิโป้เลือกเดินทางมาด้วยนั้นเป็นขบวนรถที่ค่อนข้างใหญ่ มีผู้คนในขบวนราวห้าร้อยคน ซึ่งสำนักคุ้มภัยเจิ้นเหยี่ยนก็ได้ส่งผู้คุ้มกันมาสองร้อยคน และด้วยองค์รักษ์อีกหนึ่งร้อยคนและเหล่าพ่อค้าที่ร่วมทางมาด้วย นี่จึงเป็นขบวนที่นับว่าค่อนข้างใหญ่สำหรับปิ้งโจว

บรรดาผู้ที่ร่วมทางไปกับขบวนย่อมไม่ทราบว่า ในหมู่พวกเขานั้นมีเจ้าเมืองปิ้งโจวร่วมทางมาด้วย มิเช่นนั้นผู้นำขบวนจะต้องรู้สึกเกร็งไปตลอดทางแน่

ชื่อเสียงของสำนักคุ้มภัยเจิ้นเหยี่ยนได้แพร่กระจายไปในเมืองและอำเภอโดยรอบ หลังจากที่ผู้คุ้มกันจากสำนักคุ้มภัยเจิ้นเหยี่ยนทำลายกลุ่มโจรไปได้สองสามกลุ่ม เมื่อบรรดาพวกโจรได้เห็นธงสัญลักษณ์ของสำนักคุ้มภัยเจิ้นเหยี่ยน พวกเขาก็จะหลีกลี้ไปให้ไกล เปิดทางให้ขบวนพ่อค้าได้เดินทางอย่างสะดวก เหล่าพ่อค้าสามารถวางใจได้เพราะผู้คุ้มกันเหล่านี้ล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขาเข้าต่อสู้อย่างกล้าหาญ สร้างความประทับใจให้กับเหล่าพ่อค้า ทำให้พวกพ่อค้าเต็มใจจะจ่ายเงินว่าจ้างผู้คุ้มกันจากสำนักคุ้มภัยเจิ้นเหยี่ยน นี่ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องว่าจ้างผู้คุ้มกันส่วนตัวให้มากมาย

ในอดีตนั้น หากว่าเป็นโจรกลุ่มเล็กๆ เหล่าผู้คุ้มกันส่วนตัวก็จะแสดงความกล้าหาญออกมา แต่หากว่าพบเจอกับโจรกลุ่มใหญ่ ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะหลบหนีก็มีสูงยิ่ง หากให้เลือกระหว่างชีวิตและเงินทอง เหล่าผู้คุ้มกันที่ได้รับการว่าจ้างมา เว้นแต่จะเป็นกองกำลังส่วนตัวของตระกูล พวกเขาก็จะเลือกชีวิตไว้ก่อน อย่างไรก็ดี ภายในปิ้งโจวนั้นไม่อนุญาตให้ตระกูลใดเพาะเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวจำนวนมากไว้ภายในตระกูล