ตอนที่ 35 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

อ้วนเสี้ยวเมื่อได้ข่าวว่ากองซุนจ้านยกทัพมุ่งตรงมาทางกิจิ๋ว ฝ่ายเขาที่มีเสบียงและไพร่พลพร้อมสรรพย่อมไม่หวั่นวิตกแต่อย่างใด สองฝ่ายนำกองทัพมาตั้งประจันหน้าที่แม่น้ำพวนโห้

สองทัพตั้งค่ายอยู่คนละฝากฝั่งของแม่น้ำ กองซุนจ้านที่โกรธแค้นได้นำทหารม้าสิบกว่าคนไปที่สะพานก่อนจะด่าทอเสียงดัง "อ้วนเสี้ยวเจ้าคนกลับกลอก ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีและคุณธรรม ฮันฮกปฏิบัติต่อเจ้าด้วยดี แต่สุดท้ายเจ้ากลับแย่งชิงกิจิ๋วไป"

อ้วนเสี้ยวเองก็นำทหารมาอยู่ที่อีกฝากของสะพาน เขายกมือชี้หน้ากองซุนจ้านก่อนจะกล่าวว่า "ฮันฮกรู้ตัวว่าไร้ความสามารถ จึงยกกิจิ๋วให้ข้าดูแลแทน เกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน? หากเจ้าไม่ถอนทัพกลับไป ก็อย่าตำหนิว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!"

กองซุนจ้านโกรธจนหัวเราะออกมา "นี่น่ะรึผู้นำกลุ่มพันธมิตร แม่ทัพผู้นี้หลงคิดว่าเจ้ามีความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมเหมือนบรรพชนรุ่นก่อนๆ จึงเสนอชื่อเจ้าเป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตร คิดไม่ถึงว่าจริงๆแล้วเจ้าจะข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง หากผู้คนในใต้หล้าได้ทราบว่าเจ้ามีพฤติการณ์เช่นนี้ ตระกูลอ้วนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?"

ได้ยินถ้อยคำอันเผ็ดร้อน อ้วนเสี้ยวก็เดือดดาล ใบหน้าของเขาดำทมึน หลังกลับไปที่ค่าย เขาก็นำทัพออกไปสู้รบ สองฝ่ายต่อสู้กันได้สักพัก ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย อ้วนเสี้ยวเมื่อเห็นว่ากองซุนจ้านมีฝีมือร้ายกาจไม่เบา มุมปากก็ยกยิ้มเหยียดหยัน จากนั้นจึงออกคำสั่งให้บุนทิวนำทหารฝีมือดีออกไปปะทะกับกองซุนจ้าน

บุนทิวมีฝีมือร้ายกาจยิ่ง หอกยาวเมื่ออยู่ในมือของเขาก็ประดุจมีชีวิตขึ้นมา เขาพลิกมือแทงหอกสังหารแม่ทัพของกองซุนจ้านไปหลายคน

กองซุนจ้านเมื่อเห็นว่าบุนทิวเก่งกล้าสามารถ ทั้งยังกำลังเข่นฆ่าใกล้เข้ามา เขาก็ชักม้าหลบหนี

ม้าของกองซุนจ้านมีฝีเท้ารวดเร็วยิ่ง บุนทิวเมื่อเห็นว่าใกล้จะตามไม่ทันก็พลันตะโกนขึ้นว่า "กองซุนจ้าน จะหนีไปไหน รีบลงม้ายอมจำนนซะ!"

กองซุนจ้านรู้สึกอับอายมาก เขาเร่งม้าหนีวนไปตามเนินเขา ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆม้าของเขาก็สะดุดล้มลง บุนทิวที่เห็นดังนั้นก็นึกยินดี รีบเสือกแทงหอกออกไป

ทันใดนั้นจู่ๆก็มีแม่ทัพหนุ่มปรากฏตัวออกมาจากเนินลาด เขาใช้หอกสกัดหอกของบุนทิวไว้ บุนทิวเงยหน้ามองชายหนุ่มนั้น เห็นว่าเขามีส่วนสูงหกศอก คิ้วดกหนา ตาโต หน้าผากกว้าง มีลักษณะท่าทางที่องอาจ

บุนทิวชักทวนกลับก่อนปะทะกับจูล่งอีกห้าหกสิบกระบวน ไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ เมื่อเห็นว่าผู้มามีฝีมือร้ายกาจไม่แพ้ตน อีกทั้งทหารของกองซุนจ้านกำลังติดตามมา บุนทิวจึงได้แต่หันหัวม้ามุ่งกลับค่าย

เมื่อบุนทิวจากไป กองซุนจ้านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากได้พูดคุยกัน เขาก็ทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าจูล่ง กองซุนจ้านที่ตื้นตันใจจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้นำกองกำลังม้าขาว

ไพร่พลสองฝ่ายต่อสู้โรมรันกันที่แม่น้ำพวนโห้ เป็นการปะทะกันซึ่งหน้า ไม่มีการต่อสู้ยิบย่อยอื่น ที่นี่อยู่ใกล้กับกิจิ๋ว กองทัพของอ้วนเสี้ยวจึงมีเปรียบการเพราะสะดวกต่อการขนถ่ายเสบียงมากกว่า อีกทั้งเล่าหงีเจ้าเมืองอิวจิ๋วผู้มีความขัดแย้งกับกองซุนจ้านยังจับตาดูศึกครั้งนี้ ทำให้กองซุนจ้านรู้สึกว่าแนวหลังไม่ปลอดภัย

"จูล่ง เจ้านำจดหมายของข้าไปที่ปิงโจว ขอเข้าพบแม่ทัพลิโป้ จดหมายนี้ต้องส่งให้ถึงมือเขา จากนั้นอธิบายสถานการณ์ของทัพเราให้เขาฟัง" กองซุนจ้านมอบหมายหน้าที่สำคัญนี้ให้ แสดงว่าไว้ใจจูล่งอย่างมาก

"ขอรับ" จูล่งกุมหมัดรับคำ ตัวเขารู้สึกพึงพอใจอย่างมากที่ได้เข้าร่วมกับกองกำลังม้าขาวอันเลื่องชื่อลือชา

มองส่งจูล่งที่ควบม้าจากไป กองซุนจ้านก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจเบาๆ เขาไม่ได้ตั้งความหวังว่าลิโป้จะส่งกองทัพมาช่วยเหลือไว้มากนัก ลิโป้เวลานี้เพิ่งปกครองปิงโจวได้ไม่นาน ย่อมต้องการเวลาอีกสักพัก หลังผ่านศึกแล้วศึกเล่า ทหารที่ลิโป้มีอยู่ก็เหลือไม่มากสักเท่าใด

ไม่มีประโยชน์ที่จะรบติดพันอยู่ที่นี่นานไป ฝ่ายอ้วนเสี้ยวไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องหญ้าเสบียง อ้วนเสี้ยวสามารถตั้งรับอยู่ที่นี่ได้อีกนาน แต่ไม่ใช่กับฝ่ายของเขา จุดส่งเสบียงของเขาอยู่ไกลกว่า

ลิโป้ไม่ทราบเลยว่า เพราะการปรากฏตัวของเขา เล่าปี่จึงคลาดกับจูล่งไป

ขณะที่อ้วนเสี้ยวและกองซุนจ้านทำศึกแย่งชิงเมืองกิจิ๋ว เจ้าเมืองคนอื่นๆก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย หลายพื้นที่เกิดสงครามแย่งชิง ซุนเกี๋ยนถูกเล่าเปียวดักซุ่มโจมตีในระหว่างทางกลับกังตั๋งจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด จากนั้นกองทัพของซุนเกี๋ยนก็ปะทะกับกองทัพของเล่าเปียวอีกหลายครั้ง

หลังหนังสือร้องขอให้ราชสำนักแต่งตั้งลิโป้เป็นเจ้าเมืองปิงโจวของเตียนเอี๋ยนถูกส่งไปที่ฉางอัน ตั๋งโต๊ะก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะลิโป้ เขาถึงเสียสมบัติที่มีไปกว่าครึ่ง เมื่อคิดว่า "ความพากเพียร" ทั้งหมดของเขาถูกลิโป้นำกลับไปที่ปิงโจวแล้ว ตั๋งโต๊ะก็โมโหจนปาหนังสือนั้นทิ้งก่อนจะเหยียบซ้ำ

"ท่านอุปราช เวลานี้ลิโป้กุมอำนาจภายในปิงโจวไว้ได้แล้ว เตียนเอี๋ยนช่างใช้ไม่ได้จริงๆ แต่ท่านอุปราชเพิ่งจะย้ายเมืองหลวงมาที่ฉางอัน ดังนั้นจึงควรสงบศึกกับบรรดาเจ้าเมือง ไม่ให้พวกเขาสามารถรวมกำลังกันได้อีก ตอนอยู่ที่ลั่วหยาง ลิโป้นับเป็นขุนพลที่มีฝีมือเก่งกล้าคนหนึ่ง หากท่านอุปราชออกคำสั่งแต่งตั้งลิโป้เป็นเจ้าเมืองปิงโจว ย่อมต้องสามารถสลายความเหินห่างระหว่างเขากับท่านอุปราชได้อย่างแน่นอนขอรับ" ลิซกกล่าวโน้มน้าว

"ฮึ่ม ก่อนหน้านี้คนที่บอกว่าให้แต่งตั้งเตียนเอี๋ยงเป็นเจ้าเมืองปิงโจวก็คือเจ้าไม่ใช่รึ? เจ้าบอกว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว ลิโป้จะต้องรีบยกทัพกลับปิงโจวแน่นอน แล้วดูสิ ลิโป้เข้าร่วมกับกองทัพพันธมิตร บุกโจมตีลั่วหยาง หากข้าแต่งตั้งเขาเป็นเจ้าเมืองปิงโจว จะไม่ยิ่งควบคุมได้ยากขึ้นหรอกรึ?" ตั๋งโต๊ะแค่นเสียง

ลิยูเผยสีหน้าขื่นขม คนทั่วไป หากทราบว่าที่บ้านเกิดเรื่องขึ้น ย่อมต้องรีบกลับไปดู เขาคิดไม่ถึงเลยว่าลิโป้จะมีจิตใจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ แม้จะถูกคนอื่นยึดเอาบ้านไป เขากลับไม่วิตกกังวลแต่อย่างใด

"ขอท่านอุปราชโปรดไตร่ตรองอีกครั้งด้วยขอรับ หากท่านอุปราชออกหนังสือแต่งตั้งให้ลิโป้ บางทีเขาอาจจะไม่สำนึกขอบคุณ แต่หากว่าท่านอุปราชไม่ยอมออกหนังสือแต่งตั้งให้ เขาย่อมต้องขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม ในเมืองฉางอันแห่งนี้มีไม่น้อยที่รอคอยโอกาสสร้างความวุ่นวาย ขอท่านอุปราชโปรดกระทำการด้วยความระมัดระวังด้วยขอรับ"

หลังนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ ตั๋งโต๊ะก็พยักหน้า "เรื่องนี้เอาไว้ค่อยหารือพรุ่งนี้เช้าเถอะ"

.................

เมื่อทราบว่ากองซุนจ้านส่งผู้คนขบวนหนึ่งมาขอเข้าพบ ลิโป้ก็สั่งให้รีบเชิญเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าผู้มามีลักษณะท่าทางดูองอาจ ลิโป้ก็เผยยิ้มกว้าง "ไม่ทราบท่านแม่ทัพมีนามว่ากระไร? ข้าจำไม่ได้ว่าเคยเห็นท่านในกองทัพของโป๋กุยมาก่อน"

"ข้าน้อยเตียวหยุนแห่งเสียงสาน ชื่อรองว่าจูล่ง เวลานี้ดำรงตำแหน่งผู้คุมกองกำลังม้าขาว ขอเข้าพบท่านแม่ทัพลิโป้ขอรับ" จูล่งกุมหมัดคำนับอย่างนอบน้อม ในสายตาของเหล่าขุนนางบุ๋น ลิโป้อาจจะเป็นนักรบที่หยาบกระด้าง แต่ในสายตาของผู้ที่มาจากสายกองทัพแล้ว ลิโป้คือขุนพลอันดับหนึ่งของแผ่นดิน เป็นแบบอย่างของแม่ทัพทั้งปวง ในการศึกกับตั๋งโต๊ะ ลิโป้ก็มีผลงานการรบที่โดดเด่นเหนือผู้ใด ความสำเร็จเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นความสำเร็จที่เหล่าแม่ทัพใต้หล้าต่างเฝ้าถวิลหา

"ว่ากระไร? ท่านก็คือ เตียวหยุน เตียวจูล่งงั้นรึ?" ลิโป้ตะลึง คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้พบกับจูล่งตัวเป็นๆ เหล่าแม่ทัพในยุคหลังต่างก็ยึดถือเอาคนผู้นี้เป็นแบบอย่าง

"ท่านแม่ทัพเคยได้ยินชื่อของข้าน้อยด้วยหรือขอรับ?" จูล่งถามอย่างงุนงง

"พอได้ยินมาบ้างเล็กน้อย จูล่งนับเป็นหนึ่งในแม่ทัพผู้เก่งกล้าที่สุดในแผ่นดิน พี่โป๋กุยสามารถรับตัวท่าน ก็เปรียบได้กับเสือติดปีก" ในใจลิโป้รู้สึกขมขื่นอยู่ไม่น้อย ไฉนในปิงโจวจึงไม่มียอดคนเช่นนี้บ้าง

"เรียนท่านแม่ทัพลิ ครั้งนี้ที่ข้าน้อยเดินทางมาก็เพราะมีเรื่องสำคัญคิดหารือ" กล่าวจบก็ส่งมอบจดหมายของกองซุนจ้านพร้อมบอกเล่าสถานการณ์ออกไป

ลิโป้นิ่งคิดอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆกล่าวขึ้นว่า "แม่ทัพเตียว ท่านควรพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน รอให้ข้าหารือกับคนของข้าก่อน แล้วจึงค่อยให้คำตอบแก่ท่าน"

"ขอบคุณท่านแม่ทัพ" จูล่งกุมหมัดขอบคุณก่อนจะออกจากห้องไป

"จูล่งหนอจูล่ง" ตามความคิดของลิโป้แล้ว เขาตัดสินใจว่าจะไม่ส่งกำลังไปช่วยกองซุนจ้าน แต่แม่ทัพไร้คู่เปรียบอย่างจูล่งนั้น ต่อให้เขาไม่อาจดึงตัวมาเข้าร่วม เขาก็จะไม่ปล่อยให้เล่าปี่หลอกเอาตัวเพชรงามเม็ดนี้ไป

"นายท่าน" หลังจากตรากตรำทำงานแทบไม่ได้หยุดพัก ลิซกก็ดูเหนื่อยล้า หากแต่แววตาของเขากลับยิ่งมายิ่งใสกระจ่าง ยิ่งมายิ่งเปี่ยมความมั่นใจ

"เว่ยกง กองซุนจ้านส่งคนผู้หนึ่งมาเชื้อเชิญให้ข้าไปต่อสู้กับอ้วนเสี้ยวด้วยกัน ค่าตอบแทนคือแบ่งดินแดนของกิจิ๋วกันคนละครึ่ง เจ้ามีความเห็นอย่างไร?"

"นายท่าน เวลานี้ปิงโจวยังไม่มั่นคง โปรดอย่างเพิ่งทำศึกโดยผลีผลาม เหล่าตระกูลใหญ่ในปิงโจวกำลังเฝ้ารอโอกาส คล้ายมีความคิดอ่านใด ดังนั้นจึงต้องระวังพวกเขาไว้" ลิซกให้คำแนะนำ

"เรื่องนี้ข้าก็รู้ ตระกูลใหญ่เหล่านี้ก็เปรียบเสมือนกระบี่ที่แขวนอยู่เหนือศีรษะของพวกเรา ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะต้องกวาดล้างพวกเขาให้สิ้นซาก" ลิโป้แค่นเสียงเย็น

ลิซกไม่รู้สึกแปลกใจกับวาจานี้ของลิโป้แต่อย่างใด