"ใช่" ลิโป้พยักหน้า ในใจไม่ได้ตื่นเต้นตามแต่อย่างใด ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถอ่านออกเขียนได้กันไม่มากก็น้อย
"ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนบัณฑิตนักศึกษาทั่วแผ่นดินคำนับขอบคุณนายท่าน" ลิซกโค้งตัวคำนับด้วยความตื้นตัน
"เว่ยกง นั่นเจ้าทำอะไร?" ลิโป้ถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใด
"นายท่าน การได้เล่าเรียนนั้นไม่ง่ายเลย ยิ่งเป็นคนที่มีฐานะยากจนก็ยิ่งยากจะได้เล่าเรียน" ลิซกกล่าวอธิบายสั้นๆให้ลิโป้ฟัง
ลิโป้ทอดถอนใจ คิดไม่ถึงว่าคนสมัยก่อนจะแทบไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ มิน่าลิซกถึงได้ตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าเขาจะเปิดโรงเรียน เรื่องนี้ไม่ต่างจากเปิดประตูโอกาสให้กับเหล่าเด็กที่ยากไร้ ทำให้พวกเขามีอนาคตที่สดใสกว่าเดิม
"นายท่าน แม้การสร้างโรงเรียนจะเป็นเรื่องดี แต่ปิงโจวนั้นแร้นแค้นยิ่ง เกรงว่าจะไม่มีบัณฑิตใดต้องการจะมาสอนหนังสือที่นี่ อีกทั้งยังมีโอกาสที่เหล่าตระกูลใหญ่ในปิงโจวจะออกมาขัดขวาง" ลิซกเมื่อใจเย็นลงก็คิดได้ว่าการเปิดโรงเรียนนั้นไม่ง่ายเลย
"จ้างพวกเขามาสอน และมอบเงินตอบแทนให้ ไฉนพวกเขาจึงไม่มา? ตระกูลใหญ่จะสร้างปัญหา? เพราะเหตุใดกัน?" ลิโป้ถามอย่างสงสัย
"นายท่าน โปรดฟังข้าน้อยอธิบาย" จากนั้นลิซกจึงเริ่มอธิบายเกี่ยวกับระบบตระกูล
กลับกลายเป็นว่า เหล่าขุนนางใหญ่ในราชวงศ์ฮั่น รวมถึงขุนนางท้องถิ่น ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนมีชาติตระกูล หากท่านคิดหวังก้าวหน้า แต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากแนะนำ เช่นนั้นก็ฝันไปเถอะว่าจะได้รับราชการ
แต่หากเป็นผู้คนจากตระกูลขุนนางหรือตระกูลคหบดีอันมั่งคั่ง การจะเข้ารับราชการก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ยิ่งเป็นตระกูลที่มีภูมิหลังยาวนานด้วยแล้ว พวกเขาก็จะมีเส้นสายโยงใยอยู่ทุกแห่งหน ควบคู่ไปกับการจับมือเป็นพันธมิตรระหว่างตระกูล อาจกล่าวได้ว่า ในยุคนี้สมัยนี้ ยากจะมีผู้ใดกล้าประชันขันแข่งกับตระกูลขุนนาง
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้หนังสือ และทำไมถึงยากที่จะรับราชการ ตระกูลขุนนางย่อมไม่ยินยอมจะสละละทิ้งอำนาจที่อยู่ในมือ ผู้ใดก็ตามที่ท้าทายระบบการจัดการนี้ จะต้องถูกตอบโต้อย่างรุนแรง
มีบัณฑิตตั้งมากเท่าใดแล้วที่มีความรู้ความสามารถ แต่ถูกความยากจนทำลายจนหมดอนาคต
การผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ไม่ค่อยส่งผลต่อตระกูลใหญ่เหล่านี้สักเท่าใด หากราชสำนักต้องการใช้สอยขุนนาง เช่นนั้นก็ราชสำนักก็ต้องใช้สอยตระกูลใหญ่อย่างพวกเขา
หากเปิดโรงเรียนขึ้นในปิงโจว เหล่าชาวบ้านที่ยากจนก็จะมีโอกาสเข้ารับราชการ เท่ากับว่าจะเป็นการไปเบียดเบียนสัดส่วนกับลูกหลานตระกูลใหญ่ แล้วมีหรือที่เหล่าตระกูลใหญ่จะยินยอม? มีหรือที่จะปล่อยเจ้าเมืองปิงโจวอย่างลิโป้ไป?
อย่าได้เห็นว่าปิงโจวนั้นแร้นแค้นกันดาร ที่นี่ยังคงมีตระกูลใหญ่อยู่หลายตระกูล หากคนเหล่านี้รวมตัวกันต่อต้านขึ้นมา อิทธิพลของพวกเขาจะน่ากลัวอย่างยิ่ง
"เว่ยกง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปิดโรงเรียนให้ได้ หากตระกูลเหล่านั้นดูถูกดูแคลนพวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็จะตบหน้าพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะยิ่งใหญ่มาจากไหน ข้าไม่เชื่อว่าด้วยชื่อเสียงและตำแหน่งเจ้าเมืองของข้าแล้ว พวกเขาจะรังแกข้าได้โดยง่าย!" ลิโป้กล่าวอย่างหนักแน่น จากการวิเคราะห์ของลิซก เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่อยู่ในกองทัพพันธมิตร อ้วนสุดถึงได้มีคนคอยถือหางอยู่ตลอด และทำไมเหล่าเจ้าเมืองภาคกลางจึงได้ดูแคลนเขา นั่นก็เพราะชาติกำเนิดของเขานั่นเอง
"นายท่านโปรดไตร่ตรองให้ดี เวลานี้ขุนนางข้าราชการส่วนใหญ่ในปิงโจวก็ล้วนแต่มาจากตระกูลใหญ่ หากเกิดเหตุแทรกซ้อน ปิงโจวจะอยู่ในภาวะไม่มั่นคงทันที" จากนั้นลิซกจึงเกลี้ยมกล่อมอีกว่า "นายท่านควรพัฒนาโรงเรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งยังต้องกระทำในทางลับ ยามเมื่อพวกเรามีบัณฑิตมากพอแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะสามารถเผชิญหน้ากับเหล่าตระกูลใหญ่"
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ลิโป้ก็พยักหน้าเบาๆ "เรื่องนี้ยกให้เจ้าจัดการ เสาะหาทำเลภายในเมือง และคัดเลือกเด็กที่ฉลาดเฉลียวจากชาวบ้านหรือจากผู้อพยพชาวลั่วหยาง เลี้ยงดูพวกเขาให้ดี"
"ขอรับ" ลิซกสัมผัสได้ถึงภาระอันหนักอึ้งที่อยู่บนบ่า กระนั้นเขากลับรู้สึกตื่นเต้นยินดี นี่จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อทั้งแผ่นดินและตระกูลใหญ่ทั้งมวล หากเขาทำสำเร็จ ชื่อของเขาก็จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
"อืม เจ้าควรเร่งดำเนินการสร้างโรงพยาบาลด้วย หาตัวหมอรักษา และเปิดโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด" ลิโป้รู้สึกได้ทันทีว่าเขากำลังขาดแคลนลูกน้องที่มีความสามารถหลายตำแหน่ง ตอนนี้เขามีเพียงลิซกเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้
เมื่อมีหมอรักษาเพิ่มมากขึ้น โอกาสของเหล่าทหารที่จะรอดตายจากสนามรบก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย ในยุคราชวงศ์ฮั่น ศาสตร์การแพทย์ยังค่อนข้างล้าหลัง เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนใหญ่แล้วที่รอพวกเขาอยู่คือความตาย มีเพียงผู้ที่ดวงแข็งจริงๆเท่านั้นจึงจะมีโอกาสหายกลับมา
"เว่ยกง เจ้าควรคัดเลือกผู้มีความสามารถมาช่วยงานสักหลายคน อย่าได้ตรากตรำจนเกินไป"
"นายท่าน ข้าน้อยพบผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง คนผู้นี้แซ่จ้าว ชื่อเหิง ชื่อรองว่า เต๋อยี่ เป็นหลานชายของจ้าวเหยียนที่อยู่ในปิงโจว เป็นคนที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์ทีเดียว" ลิซกกล่าว
"ดี ข้าจะให้คนไปพาตัวเขามาพบข้า" ลิโป้พยักหน้า แต่ในใจบังเกิดความรู้สึกขัดแย้งอยู่เล็กน้อย เพราะได้ยินว่าคนผู้นี้มาจากตระกูลใหญ่
หลังจากได้ทราบเกี่ยวกับระบบตระกูลในสมัยราชวงศ์ฮั่น ลิโป้ก็เกิดความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์เหล่าตระกูลใหญ่ คนเหล่านี้เป็นพวกเห็นแก่ตัว กดหัวคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
"เว่ยกง เจ้าไปทำงานเถอะ" ลิโป้รู้สึกว่ามีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ หากรั้งตัวผู้มีความสามารถเพียงคนเดียวของเขาไว้เช่นนี้แล้ว งานต่างๆของเขาก็คงจะไม่คืบหน้า
.......................
ในขณะเดียวกัน ทางด้านเหล่าเจ้าเมืองก็ไม่มีผู้ใดได้อยู่อย่างเป็นสุข อ้วนเสี้ยวที่ได้รับการแนะนำจากกุนซือของเขา ฮองกี๋ ได้เขียนจดหมายถึงกองซุนจ้านในฐานะผู้นำพันธมิตร สั่งการให้เข้าโจมตีเมืองกิจิ๋ว หากยึดครองกิจิ๋วได้สำเร็จ ก็จะแบ่งปันทรัพย์สินและดินแดนของกิจิ๋วคนละครึ่ง
เมื่อได้รับจดหมายจากอ้วนเสี้ยว กองซุนจ้านก็ตื่นเต้นยินดี เขารีบสั่งให้เคลื่อนพลไปยังกิจิ๋วทันที
อ้วนเสี้ยวลอบส่งคนไปแจ้งต่อฮันฮก ว่ากองซุนจ้านจะนำกำลังไปโจมตี ทำให้ฮันฮกตื่นตระหนกขึ้นมา กองซุนจ้านนับเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงในบรรดาเจ้าเมืองด้วยกัน อีกทั้งกองกำลังม้าขาวที่อยู่ใต้บัญชาของเขายังร้ายกาจมาก ฮันฮกรีบเรียกประชุมเหล่าแม่ทัพที่ปรึกษาทันที
ที่ปรึกษาซินเป๋ง เสนอแนะขึ้นว่า "กองซุนจ้านนำทัพสู้รบกับชนเผ่านอกด่านมาหลายปี ความเฉียบคมของเขาไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานติด ยิ่งกว่านั้นในกองทัพของเขายังมีสามพี่น้องเล่ากวนเตียว ทำให้ยากจะต้านทาน เวลานี้ที่เหนือกว่าเขามีเพียงคนเดียว นั่นคือท่านอ้วนเสี้ยว ผู้ซึ่งมีทั้งปัญญาและความกล้าหาญ ทั้งยังมีแม่ทัพขุนศึกและไพร่พลจำนวนมาก นายท่านสามารถร้องขอให้ท่านอ้วนเสี้ยวยกทัพมาช่วยเหลือ ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกองซุนจ้านอีก"
ในเวลานี้เอง ที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยว ฮองกี๋ ก็เดินทางมาที่กิจิ๋วเพื่อโน้มน้าวฮันฮก
ฮันฮกหลังได้ฟังก็นิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบตกลงในที่สุด จากนั้นจึงส่งก้วนซุนนำจดหมายเชิญไปส่งให้อ้วนเสี้ยว
เมื่อเห็นว่าเจ้านายด่วนตัดสินใจไป เก๋งบูก็เอ่ยทัดทาน "อ้วนเสี้ยวมีใจคิดครอบครองกิจิ๋ว ไฉนนายท่านไม่ให้อ้วนเสี้ยวโจมตีกองซุนจ้านโดยตรง แต่เชิญเขามาที่กิจิ๋วล่ะขอรับ? หากเป็นเช่นนั้น เสบียงอาหารของกิจิ๋วเราก็จะต้องส่งไปสนับสนุนกองทัพอ้วนเสี้ยว หากเขาคิดลงมือต่อกิจิ๋วเราขึ้นมา ถึงตอนนั้นจะแย่เอานะขอรับ"
ฮันฮกกล่าวว่า "ข้าเคยเป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลอ้วนมาก่อน ตระกูลอ้วนดีต่อข้าไม่น้อย อีกทั้งความสามารถของข้าก็เทียบกับอ้วนเสี้ยวไม่ได้ เช่นนั้นก็ยกกิจิ๋วให้เขาเถอะ เจ้าไม่ต้องเกลี้ยมกล่อมข้าแล้ว"
ได้ฟังดังนั้น เก๋งบูก็สะทกสะท้อนใจ "กิจิ๋วจบสิ้นแล้ว"
การตัดสินใจของฮันฮกทำให้เหล่าขุนนางภายในกิจิ๋วเกิดความแตกตื่น มีขุนนางมากกว่าสามสิบคนที่ลาออกจากราชการ
ไม่กี่วันต่อมา อ้วนเสี้ยวก็ฆ่าเก๋งบูที่นำกำลังมาดักซุ่มโจมตีที่นอกเมือง จากนั้นจึงเคลื่อนกำลังเข้าสู่กิจิ๋ว อ้วนเสี้ยวแต่งตั้งให้ฮันฮกเป็นเฟิ่นเว่ยเจียงจวิน(แม่ทัพประกาศศักดา) พร้อมให้เตียนห้อง จอสิว เขาฮิว คอยดูแลกิจธุระต่างๆในกิจิ๋ว กล่าวได้ว่าทั้งอำนาจ ทรัพยากร และไพร่พลของฮันฮกล้วนแล้วแต่ถูกอ้วนเสี้ยวฮุบกลืนไปจนหมดสิ้น
ฮันฮกโศกเศร้าเสียใจ เขาทิ้งครอบครัวเอาไว้ และลี้ภัยไปพึ่งพิงเตียวเมาที่เมืองตันลิวโดยลำพัง
เมื่อกองซุนจ้านทราบข่าวเรื่องที่อ้วนเสี้ยวยึดครองกิจิ๋ว เขาก็ส่งกองซุนอวดผู้เป็นน้องชายไปทวงสัญญาจากอ้วนเสี้ยว
อ้วนเสี้ยวกล่าวว่า "นี่นับเป็นเรื่องใหญ่ ท่านควรให้พี่ชายของท่านมาพูดคุยด้วยตัวเอง"
กองซุนอวดไม่ได้นึกระแวงสงสัยใดๆ ขณะที่เขาเดินทางออกจากกิจิ๋วได้เพียงห้าสิบลี้ บนเส้นทางก็ปรากฏกลุ่มทหารม้าที่อ้างตัวว่าเป็นสมุนของตั๋งโต๊ะ พวกเขายิงธนูเข้าใส่ขบวนของกองซุนอวดจนแตกกระเจิง ทหารที่หนีรอดไปได้จึงกลับไปรายงานต่อกองซุนจ้าน
เมื่อได้ฟังรายงาน กองซุนจ้านก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดือดดาลขึ้นมา "เด็กน้อยอ้วนเสี้ยว! เป็นถึงผู้นำกลุ่มพันธมิตร แต่กลับหลอกใช้พวกเรา ได้กิจิ๋วไปยังไม่พอ กลับส่งคนปลอมตัวเป็นทหารของตั๋งโต๊ะมาสังหารน้องชายของข้า หากแค้นนี้ไม่ได้ชำระ ข้าไม่ขออยู่เป็นผู้เป็นคน!"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved