ตอนที่ 134 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"ปู้ตู้เกิน บัดนี้เซียนเป่ยภาคกลางกำลังเสียหายอย่างหนัก ว่ากันว่ากองทัพฮั่นที่รุกรานเข้ามาชูธงรูปเหยี่ยว ทัพม้าเซียนเป่ยห้าพันพ่ายแพ้แก่ทัพฮั่นไม่เกินสามพัน กระทั่งทัพหวังถิงก็ยังพ่ายแพ้ไปแล้ว คาดว่าทัพฮั่นกลุ่มนี้คงบุกเข้ามาจากทางทิศตะวันออกอย่างไม่ต้องสงสัย" เคอปี่เหนิงหันมากล่าวกับซูลี่

ชนเผ่าต่างๆก็คือรากฐานเซียนเป่ย หากไม่มีชนเผ่าเหล่านี้คอยสนับสนุน ประมุขเผ่าทั้งสามก็คงไม่นับเป็นตัวอันใด หากไม่มีกำลังทหารอยู่ในมือ ผู้ใดยังจะฟังวาจาของเจ้ากัน?

"ฮึ่ม เคอปี่เหนิง ทัพฮั่นจะมีทหารม้ามากเพียงใดเชียว? เพียงส่งทัพม้าหนึ่งหมื่นคนไปกำจัดก็พอแล้ว หรือเพราะใต้บัญชาของเจ้ามีแต่คนขี้ขลาด? ส่วนทัพหวังถิงนั้นน่ะรึ ผู้ใดจะทราบได้ว่าหลายปีมานี้เจ้าได้ทำอะไรลงไปบ้าง" ปู้ตู้เกินเถียงกลับ

"ปู้ตู้เกิน อย่าได้มาป้ายสีกันเชียว คิดว่าบิดาเป็นคนเช่นนั้นหรือไร?" เคอปี่เหนิงแค่นเสียงอย่างเดือดดาล

"นั่นก็จริง ทัพฮั่นมีคนไม่ถึงสามพัน หากเซียนเป่ยภาคกลางต้องล่มสลายเพราะเพียงแค่ทหารกลุ่มเล็กๆเช่นนี้ นั่นไม่น่าหัวร่อเกินไปหรอกหรือ? ราชสำนักก็ล่มสลาย ถูกชาวฮั่นยึดครองไปแล้ว พวกเราทำได้แค่ปล่อยให้ทัพฮั่นดื่มด่ำกับชัยชนะอยู่ที่นั่นไปก่อน คาดว่าหัวหน้าเผ่าต่างๆคงไม่เห็นแย้ง" ซูลี่ค่อยๆกล่าวขึ้น

"คนที่สูญเสียไม่ใช่เจ้า เจ้าก็พูดได้ เกลี้ยมกล่อมให้ทุกเผ่าส่งกำลังออกมาหนึ่งหมื่นงั้นรึ? หากเปลี่ยนเป็นเซียนเป่ยตะวันออกและตะวันตก หัวหน้าเผ่าต่างๆจะยอมงั้นหรือ?" เคอปี่เหนิงถามกลับด้วยความขุ่นเคือง

ซูลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า "เรื่องทัพฮั่นเป็นเรื่องสำคัญ ข้าจะกลับไปหารือกับหัวหน้าเผ่าต่างๆก่อน"

ปู้ตู้เกินพลันฉุกคิดได้ว่า ต่อให้เขาไม่อาจตีหักด่านเยี่ยนเหมิน เขาก็ยังสามารถกอบโกยความมั่งคั่งได้มากมาย หากเซียนเป่ยภาคกลางประสบกับการสูญเสียอย่างหนัก นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีโอกาสเข้าครอบครองราชสำนักเซียนเป่ยหรอกหรือ? คิดมาถึงตรงนี้ ปู้ตู้เกินก็ยิ่งตื่นเต้น เขาแทบจะสวดภาวนาอยู่ในให้ทัพฮั่นลงมือตัดกำลังเซียนเป่ยภาคกลางให้หนักยิ่งกว่านี้

แน่นอนว่าทัพฮั่นเองก็ทำให้เขาโมโหไม่น้อย ภูเขาต้านหานเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจถูกลบหลู่ของชาวเซียนเป่ย

ต่อหน้าการเย้ายวนของน้ำแกงถ้วยใหญ่อย่างแผ่นดินฮั่น ทัพเซียนเป่ยจึงยังโจมตีด่านเยี่ยนเหมินต่อไป ส่วนการศึกที่เมืองหยุนจงนั้น พวกเขาไม่สนใจอีกต่อไป เพียงสั่งให้นักรบเซียนเป่ยลากถ่วงอีกฝ่ายเอาไว้

ทัพม้าเซียนเป่ยจำนวนหนึ่งหมื่นรีบมุ่งหน้าไปยังเซียนเป่ยภาคกลางอย่างดุดัน เชวี่ยจีแห่งเซียนเป่ยตะวันออกรับผิดชอบนำทัพม้าหนึ่งหมื่นคนไปจัดการกองทัพฮั่น

เชวี่ยจีร่างสูงแปดฉื่อ ใบหน้าหยาบกร้าน เขาเป็นนักรบอันดับหนึ่งของเซียนเป่ยตะวันออก มีชื่อเสียงและบารมีอย่างสูง เขาใช้ดาบใหญ่เป็นอาวุธ และสิ่งที่หาได้ยากก็คือ เชวี่ยจีเชี่ยวชาญภาษาต้าฮั่น

เมื่อได้ยินว่าราชสำนักที่ภูเขาต้านหานถูกบุกทำลาย เชวี่ยจีก็เดือดดาลยิ่ง ในฐานะชาวเซียนเป่ยคนหนึ่งแล้ว เขาจะยอมให้ชาวฮั่นมาสร้างมลทินให้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซียนเป่ยได้อย่างไรกัน? ทหารม้าทั้งหนึ่งหมื่นนายเร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อไปถึงภูเขาต้านหาน เขาต้องการจะทำให้ทัพฮั่นทราบว่าสิ่งใดจึงเรียกว่ายอดนักรบ สิ่งใดจึงเรียกว่าทัพม้าเซียนเป่ย เชวี่ยจีไม่ได้กล่าวโอ้อวด แต่หากเป็นการรบในทุ่งหญ้า ต่อให้ทหารชาวฮั่นสามคนกลุ้มรุมก็ยังสู้กับนักรบเซียนเป่ยคนเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ

หน่วยสอดแนมนำข่าวเรื่องที่พบเห็นการเคลื่อนไหวของทัพเซียนเป่ยจำนวนหนึ่งหมื่นคนกลับมารายงานต่อลิโป้ สีหน้าของลิโป้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทัพม้าทั้งหนึ่งหมื่นนายนี้ไม่ใช่กองทัพที่เกิดจากการรวมตัวกันชั่วคราว หากแต่เป็นทัพแรก่งที่ผ่านการศึกมาอย่างโชกโชนของชนเผ่าเซียนเป่ย หลังจากได้รู้ซึ้งถึงความห้าวหาญของนักรบเซียนเป่ยจากศึกก่อนหน้านี้ ลิโป้ก็เพิ่มความระวังขึ้นอีกหลายส่วน

หากว่าทัพม้าจำนวนหนึ่งหมื่นคนนี้ร้ายกาจเหมือนกับทัพม้าหวังถิง ครั้งนี้พวกเขาคงถูกกวาดล้างอย่างแน่นอน

"เฟิ่งเซี่ยว พวกเซียนเป่ยยกทัพกลับมาแล้ว พวกเราควรทำเช่นไร?" ลิโป้เอ่ยถาม

"ใต้เท้า นี่คือขุมกำลังกลุ่มสุดท้ายของเซียนเป่ย พวกเราไม่ต้องไปใส่ใจกองทัพของพวกเขา ทุ่งหญ้านี้กว้างใหญ่ตั้งเพียงใด ขอเพียงไม่เข้าปะทะด้วย อีกฝ่ายจะทราบหรือว่าพวกเราอยู่ที่ใด? ยิ่งกว่านั้นทัพเรายังเคลื่อนกำลังได้เร็ว ขอเพียงพวกเราคอยหลบหลีกทัพเซียนเป่ยแล้วปล้นชิงชนเผ่าต่างๆไปเรื่อยๆ หลังจากไล่ตามพวกเรานานเข้า ไม่ช้าก็ต้องเหน็ดเหนื่อย พวกเราค่อยใช้โอกาสตอนที่พวกเขาไม่ทันระวังจู่โจมเผด็จศึก ชัยชนะจะต้องเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน!" กุยแกกล่าว

"ดี" ลิโป้พยักหน้า ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องกำจัดทัพเซียนเป่ยในถิ่นเซียนเป่ย

"ให้หน่วยสอดแนมตรวจสอบพื้นที่ในรัศมีสามสิบลี้ ไม่ว่าพบเห็นความเคลื่อนไหวใดให้รายงานทันที" ลิโป้สั่งการ

หน่วยสอดแนมจำนวนหนึ่งร้อยนายกระจายกำลังกันออกไปทั่วทุ่งหญ้า ลิโป้ต้องการติดตามการเคลื่อนไหวล่าสุดของชาวเซียนเป่ย มีเพียงการทำเช่นนี้ เขาจึงจะมีทุนในการต่อกรกับชนเผ่าเซียนเป่ย

ขณะที่กุยแกกำลังคัดแยกข่าวกรองจากหน่วยสอดแนมอย่างขมักเขม้น

ทันใดนั้น กุยแกก็ตาเป็นประกาย เขารีบมุ่งหน้าไปยังกระโจมของลิโป้ทันที

"เฟิ่งเซี่ยว? นี่ก็ดึกแล้ว ทัพเซียนเป่ยยังคงอยู่ห่างจากเราอีกไกล มีเรื่องอะไรหรือ?" ลิโป้ถาม

"ใต้เท้า มีข่าวจากหน่วยสอดแนมขอรับ ทัพเซียนเป่ยเร่งรีบเดินทางทั้งวันคืนคืนโดยมิได้หยุดพัก ดูท่าอีกฝ่ายคงคงร้อนใจยิ่ง"

"แนวหลังไม่สงบ ชาวเซียนเป่ยจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร?" ลิโป้พยักหน้า

"ใต้เท้า นี่เป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานมา หากสามารถกวาดล้างทัพเซียนเป่ยได้ในคราเดียว เช่นนั้นจะต้องสะเทือนไปถึงทัพใหญ่ของชาวเซียนเป่ยที่ด่านเยี่ยนเหมิน พวกเขาจะต้องถอนกำลังกลับมาเป็นแน่" น้ำเสียงของกุยแกแฝงความตื่นเต้นอยู่หลายส่วน

"โอกาสที่สวรรค์ประทานมา?" ลิโป้เอ่ยทวน

"ใต้เท้า ทัพเซียนเป่ยดั้นด้นเดินทางกลับมาจากระยะไกลโดยไม่หยุดพัก ทหารของพวกเขาคงต้องเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ขอเพียงเราเข้าโจมตีในยามวิกาล ทัพเซียนเป่ยต้องแตกพ่ายแน่นอน!" กุยแกอธิบาย

ลิโป้หรี่ตาลง กุยแกเสนอแผนการที่ต้องเสี่ยงอีกครั้ง แม้ว่าทหารเซียนเป่ยจะเหน็ดเหนื่อย แต่อีกฝ่ายก็ยังกำลังมากถึงหนึ่งหมื่น

กุยแกทราบว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงรอคอยคำตอบของลิโป้อยู่เงียบๆ หลังจากได้ติดตามลิโป้มาสักพัก เขาก็พบว่าลิโป้เป็นผู้ปกครองที่ยอดเยี่ยม เขาเอาใจใส่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งยังรับฟังความเห็น

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ ลิโป้ก็กล่าวขึ้นว่า "ทำตามที่เฟิ่งเซี่ยวว่า โจมตีทัพเซียนเป่ยยามวิกาล ศึกนี้พวกเราจะต้องชนะ!"

"ขอรับ" กุยแกกุมมือขานรับ

.................................

ท่ามกลางความเงียบในยามดึกสงัด ทหารม้าเฟยฉีสองพันนายกำลังเตรียมตัวออกศึก ระยะทางแปดสิบลี้ คาดว่าจะถึงเป้าหมายในหนึ่งชั่วโมง

โดยไม่ต้องมีคำกล่าวปลุกใจ ทหารม้าเฟยฉีก็นิ่งสงบรอรับคำสั่ง พวกเขาส่งมอบการตัดสินใจทุกเรื่องต่อลิโป้ สำหรับพวกเขาแล้ว มีเพียงเชื่อฟังคำสั่ง ให้ฆ่าศัตรู พวกเขาก็จะฆ่าศัตรู การเข่นฆ่าตลอดเกือบเดือนทำให้พวกเขากลายเป็นด้านชา ทั้งยังทำให้ทักษะขี่ม้าของพวกเขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น แม้แต่ทัพม้าที่เก่งกาจที่สุดของเซียนเป่ยยังถูกพวกเขาเอาชนะมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงทัพม้าอื่นๆของเซียนเป่ย

ราวยามโฉ่ว[1] พวกเขาอยู่ห่างจากตำแหน่งของทัพเซียนเป่ยราวยี่สิบลี้ ลิโป้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาให้หยุดทัพ

[1 ยามโฉ่ว (丑) คือ 01.00 – 02.59 น.]

ก่อนออกเดินทาง พวกเขาได้นำผ้าที่เตรียมไว้ออกมาหุ้มกีบเท้าม้าเพื่อลดเสียงก่อนแล้ว

ท่ามกลางความมืดที่มองไม่เห็นแม้แต่ลายนิ้วมือของตนเอง ทัพม้าทัพหนึ่งกำลังเคลื่อนกำลังอย่างเงียบเชียบ

ขณะที่ใกล้ทัพเซียนเป่ยเข้าไปจนถึงระยะหนึ่ง ลิโป้ก็สั่งหยุดทัพ จากนั้นจึงนำเตียนอุยและจูล่งหายไปในความมืด

นี่เป็นการหยุดพักหายใจครั้งที่สามหลังจากเร่งรีบเดินทางมาตลอดทางของทัพเซียนเป่ย เชวี่ยจีเป็ยอดนักรบที่มีชื่อเสียง เขายังเป็นแม่ทัพที่เข้มงวดผู้หนึ่ง เพราะกังวลว่าศัตรูจะทำลายชนเผ่าเซียนเป่ยจนย่อยยับ เขาจึงสั่งให้ทหารเร่งเดินทางโดยไม่ได้คำนึงเลยว่าทหารม้าใต้บัญชาของเขาเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดกันหมดแล้ว