ตอนที่ 141

บทที่ 141 ปรมาจารย์พลังแสง

ป.ล. ขอแก้ทักษะการอำพลางเป็น การปลอมตัวนะครับ จะตรงกว่า

หยางป๋อไม่รู้เลยว่า คนจากองค์กรฮุยจิ่นกำลังสงบเย็นลง แม้จะรู้ก็ไม่มีอะไร องค์กรเหล่านี้ได้ทำเรื่องร้ายมามากมายไม่รู้จบ แค่จัดให้โจรสลัดและมนุษย์กลายพันธุ์มาโจมตีกองเรือดาวเคราะห์ ยังจะมีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้อีก

เพราะหยางป๋อเดินทางในโลกใต้ดิน ไม่ถึงวัน การควบคุมพลังแสงก็พัฒนาถึงระดับปรมาจารย์แล้ว นี่มันน่าหงุดหงิดใจไหมล่ะ เขาระเบิดบ่อน้ำขนาดใหญ่ไปเกือบ 20 บ่อ

ควบคุมพลังแสง: ระดับปรมาจารย์ (ความเร็วในการเก็บพลังแสงเพิ่มขึ้น 300%, พลังโจมตีเพิ่มขึ้น 300%)

เมื่อมาถึงโลกใต้ดิน หยางป๋อก็ดีดนิ้ว ตรวจจับสัตว์เล็กๆ รอบตัว แล้วโบกมือ ลำแสงก็พุ่งไปถูกหนูตัวหนึ่ง ตามด้วยตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวที่สี่

"วินาทีละ 3 ตัว" หยางป๋อคำนวณ การยิงพลังแสงวินาทีละ 3 ครั้ง มันเหมือนกับปืนเลเซอร์ แต่ว่ากำลังอ่อนกว่าปืนเลเซอร์หน่อย

ถ้าโจมตีวินาทีละครั้ง ก็จะทำได้เทียบเท่าปืนเลเซอร์ทั่วไป เก็บพลัง 3 วินาที ก็จะเทียบเท่าปืนเลเซอร์ที่มีพลังทำลายสูงสุด เวลาเก็บพลังสูงสุดคือ 10 วินาที หลังจากนั้นคนก็จะทนไม่ไหวแล้ว

พลังโจมตีแบบเก็บไว้ 10 วินาที จะเทียบเท่ากับปืนใหญ่เลเซอร์พลังต่ำสุด ซึ่งเป็นประเภทที่ใช้กับหุ่นยนต์นั่นแหละ

"กินพลังงานเยอะไป" หยางป๋อรู้สึกว่าพลังพื้นฐานของตัวเองไม่พอ ความสามารถในการรับพลังงานมีจำกัดในตัวอยู่แล้ว

"เทียบกับปืนเลเซอร์ของหุ่นยนต์ แล้วรู้สึกไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่" ปืนเลเซอร์ของหุ่นยนต์ไม่เพียงแต่พลังโจมตีแรง แต่ที่สำคัญคือความถี่สูง พลังงานสูงสุดวินาทีนึงก็ยิงได้เป็นสิบๆ ร้อยครั้งแล้ว

ส่วนเขาต้องเก็บพลังถึง 10 วินาทีถึงจะเทียบเท่าปืนใหญ่เลเซอร์พลังต่ำสุดยิงแค่ครั้งเดียว

"อีกอย่าง พลังแสง พลังไฟฟ้า ตอนปล่อยออกมามันเด่นเกินไป ยังไงก็ควรฝึกการโจมตีด้วยคลื่นเสียงมากกว่า" ที่หยางป๋อไม่ได้ฝึกการโจมตีพลังแสงต่อ ก็เพราะว่ามันใช้ประโยชน์ในสังคมอารยะได้ไม่ค่อยมาก พอปล่อยออกไป ระบบเตือนภัยของดาวเคราะห์ก็จะล็อกตำแหน่งคุณทันที

เพราะฉะนั้นวันนี้โลกใต้ดินเลยดูประหลาด มีเสียงดีดนิ้วดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกดีดเพื่อตรวจจับ ตอนหลังดีดเพื่อโจมตี

หลังผ่านไปหนึ่งวัน หยางป๋อสามารถโจมตีเป้าหมาย 10 ตัวภายในระยะ 1 กิโลเมตรโดยไม่ต้องซ่อน เป้าหมายที่ซ่อนตัวอยู่ทำได้ 3 ตัว แถมไม่ต้องใช้มือทั้งสองข้างพร้อมกันด้วย

แต่นั่นก็เฉพาะกับสัตว์ธรรมดาเท่านั้น ถ้าเป็นสัตว์ระดับ E จำนวนเป้าหมายที่ทำได้จะลดลง อัตราการโจมตีก็ต่ำลงด้วย

"การควบคุมแรงโน้มถ่วงนี่เดินทางได้ดีเลยล่ะ แต่ว่ากินพลังงานเยอะหน่อย" หยางป๋อปล่อยหุ่นยนต์ออกมาในโลกใต้ดิน หยิบแบตเตอรี่จากห้องควบคุมออกมาชาร์จไฟให้ตัวเอง

แบตเตอรี่หุ่นยนต์เป็นแบตเตอรี่นิวเคลียร์ ซึ่งจะสร้างไฟฟ้าออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนกับแบตเตอรี่ชาร์จที่ซื้อใช้ตามปกติ

แบตเตอรี่ที่ใช้กันทั่วไปบนดาวไม่มีพลังงานนิวเคลียร์ มีแต่พวกใช้ในทางทหารเท่านั้นที่มี

การควบคุมแรงโน้มถ่วง หยางป๋อรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีศักยภาพในการพัฒนามากที่สุด ในที่สุด บางทีเขาอาจจะใช้แรงโน้มถ่วงกับคนอื่นได้เป็นร้อยเท่าพันเท่า แบบนี้คนอื่นก็จะกลายเป็นแป้งทันที

หรือไม่ก็กระตุ้นแรงต้านแรงโน้มถ่วงกับคนให้เป็นร้อยเท่าพันเท่า ทำให้อีกฝ่ายลอยกระเด็นไปได้เลย

แน่นอนว่าพลังงานทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันระดับหนึ่ง ถ้าพลังงานของอีกฝ่ายมีพลังมากกว่าคุณ พวกเขาก็จะต้านทานการโจมตีของคุณได้สบายๆ

หยางป๋อตอนนี้ก็เริ่มมีข้อคิดบางอย่างเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างผู้มีพลังพิเศษแล้ว

ความเข้มข้นของพลังงาน กับความเร็วในการตอบสนอง ทั้งสองอย่างสำคัญที่สุด ตราบใดที่พลังงานของตัวเองมีพลังมากพอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาอย่างไรก็ทำอะไรเราไม่ได้

อีกอย่างคือความเร็วในการตอบสนอง ถึงอีกฝ่ายมีพลังมากแค่ไหน แต่ตลอดเวลาล็อกเราไม่ติด ก็ไม่ได้อันตรายอะไรมากนัก

ที่เหลือ หยางป๋อตอนนี้รู้สึกว่าเป็นรอง เมื่อเทียบกับสองอย่างแรก

ยิ่งไปกว่านั้น เทคนิคการหลบซ่อนของผู้มีพลังพิเศษบางอย่างก็พลังมากกว่าการเผชิญหน้าตรงๆ ซะอีก เหมือนกับพลังควบคุมคลื่นเสียงของหยางป๋อเอง

แค่การล่องหน นี่ก็ยังไม่ถือว่าดีที่สุดได้ เพราะว่าหลังจากล่องหนแล้วก็ใช้พลังอย่างอื่นไม่ได้ นี่คือข้อเสียอย่างหนึ่ง จะว่าไปแล้ว การล่องหนเอาไว้หนีหรือสอดแนมนี่ก็ใช้ประโยชน์ได้พอสมควรแล้ว

การล่องหนก็มีวิธีแก้ได้ นั่นก็คือใช้ความผันผวนของพลังงานคลื่นความถี่สูง การล่องหนก็เป็นการที่หยางป๋อปล่อยพลังงานออกมาแบบหนึ่ง ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะครึ่งจริงครึ่งมายา หรือพูดง่ายๆ ก็คือภาวะระหว่างมิติ นั่นคือระหว่างมิติสามมิติกับมิติที่สี่

รายละเอียดที่ชัดเจนหยางป๋อตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเสียทีเดียว บางทีอาจจะต้องรอให้การล่องหนพัฒนาไปถึงระดับปรมาจารย์ถึงจะเห็นร่องรอย

ทักษะการปลอมตัว ปลอมเป็นมนุษย์ก็ยังพอไหว แต่พอปลอมเป็นสัตว์อื่นแล้วก็แทบไม่อยากมอง เพราะหลังปลอมตัวแล้วขนาดก็ไม่ได้เล็กลงมากนัก

หนูเดิมทียาวแค่สิบกว่าเซนติเมตร พอหยางป๋อแปลงร่างเป็นหนู ก็กลายเป็นหนูยักษ์ยาวตั้งเมตรกว่าๆ

การเปลี่ยนเป็นนกก็เหมือนกัน นกกระจอกเดิมก็เล็กนิดเดียว พอหยางป๋อแปลงไปก็กลายเป็นนกยักษ์ หรือนกซูเปอร์ไซส์ไปเลย

แล้วเวลาเปลี่ยนร่างเป็นวัวกระทิงเหล็ก ก็เล็กกว่าพวกมันอีกหน่อย ยังดีว่าบนตัวมีชุดเกราะที่คล้ายกัน ถ้าแปลงร่างโดยไม่มีชุดเกราะนี่สิ หมอนั่นคงได้โบกไปมาอยู่นอกตัวแน่ๆ น่าอายสุดๆ

"ดูเหมือนชื่อทักษะจะไม่ผิดนะมันแค่การปลอมตัว ไม่ใช่การแปลงร่างอะไรทั้งนั้น" หลังจากชาร์จไฟเต็มแล้ว หยางป๋อก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าออกเดินทางต่อ ครั้งนี้เป็นการไปหาหนูล่องหนดูว่าจะเจอมั้ย

หลังจากเจอ หยางป๋อก็ตั้งใจจะเอากลับไปเลี้ยงบนดาวเคราะห์ แล้วเอาไว้ให้ตัวเองเลี้ยงฝึกทักษะ เพราะที่นี่ไม่มีทางมีหนูล่องหนเยอะขนาดนั้นหรอก

มาถึงที่ที่เคยฟาร์มหนูล่องหนตอนแรก ที่นี่ยังเห็นร่องรอยที่ตัวเองเคยโยนระเบิดไว้เลย

"ภูมิประเทศเปลี่ยนไปเหมือนกันนะ" หยางป๋อมองทางเดินนี้ จำได้ว่าเคยระเบิดเป็นซากปรักหักพังไปเยอะเลย

หยางป๋อก่อนอื่นก็ล่องหนก่อนแล้วสำรวจไปรอบๆ หนูล่องหนครั้งก่อนเป็นครอบครัวหนึ่ง น่าจะยังไม่สูญพันธุ์หรอก แต่ถ้าสูญพันธุ์ไปแล้ว หยางป๋อก็คงได้แต่ตบขาตัวเอง

"เริ่มกันเลย!" หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งวันสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด หยางป๋อก็เริ่มลงมือ

หยางป๋อมีแผนอยู่สองแผน แผนแรกคือหาซากหนูที่เหลืออยู่ในสนามรบนี้ เช่นขนหนูอะไรพวกนี้ แล้วก็ค่อยๆ ปลอมตัวเรียกสัตว์มาทีละตัวดูว่าได้ผลมั้ย

ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผล ก็คงต้องใช้วิธีที่สอง นั่นก็คือตามล่าจนเจอรัง

"หวังว่ายังจะมีหนูล่องหนอยู่แถวนี้นะ แต่ว่าหนูล่องหนถึงกับกลายพันธุ์ กลายเป็นครอบครัวได้ เบื้องหลังนี่มีอะไรกันแน่นะ?"

"รอจัดการเรื่องให้มนุษย์กลายพันธุ์เป็นอิสระเสร็จก่อน ค่อยมาสืบเรื่องนี้ให้ละเอียดอีกที"

"ต้องไปสร้างที่หลบซ่อนด้วย พอเคลียร์เรื่องราวเสร็จ ก็ไปซ่อนตัวที่นั่น รอสักพักให้กองเรือพันธมิตรมา ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกอารยธรรมซะที" แล้วหยางป๋อก็เริ่มค้นหาตามสนามรบอย่างระมัดระวัง ส่วนใหญ่มองหาร่องรอยตามผนังถ้ำ ดูว่ารอยระเบิดพวกนี้จะมีขนหนูล่องหนติดอยู่มั้ย

หลังจากเก็บตัวอย่างอย่างละเอียด หยางป๋อก็ได้ตัวอย่างหนูมาพอสมควร

หยางป๋อหยิบตัวอย่างหนูขึ้นมา ในใจนึกอะไรออก แล้วทั้งตัวก็กลายเป็นหนูยักษ์ยาวสองเมตร เขาหันหัวไปมองขนตัวเอง รู้สึกแปลกๆ เพราะไม่ได้ใส่ชุดเกราะ

"เรียกสัตว์" หยางป๋อในร่างหนูร้องจี๊ดๆ สองทีเบาๆ

ในไม่ช้า ก็มีเสียงหนูจี๊ดๆ ดังสะท้อนกลับมามากมาย แล้วหนูจำนวนไม่น้อยก็โผล่ออกมาวิ่งเข้ามาหาหยางป๋อ

หยางป๋อที่ปลอมตัวเป็นหนูยักษ์ชูอุ้งมือหนูออกมา ฟาดใส่หนูตัวหนึ่งอย่างแรง ตั้งใจจะดูว่าหนูตัวนี้จะให้พลังอะไรแก่เขาบ้าง

(จบบท)