ตอนที่ 237 ลาก่อนเซียวหลาน

ฉินหยุนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในจิตใจของเขามีเสียงร้องคำรามออกมา

"ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ฉันเอาแต่พึ่งพาค่ายกลรวบรวมโชคลาภมากขนาดนี้!"

ดูเหมือนว่าตั้งแต่แรกเริ่ม เขาจะรู้สึกว่าความสำเร็จของเขาเกิดจากค่ายกลรวบรวมโชคลาภทั้งหมด

ด้วยค่ายกลรวบรวมโชคลาภที่เขาครอบครอง เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าจะไม่มีใครซื้อเสื้อผ้าที่อยู่ในร้าน

ความจริงก็เป็นไปตามที่เขาคิด แม้แต่ร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆขนาดแค่ 40 ตารางเมตรก็ยังสามารถทำยอดขายต่อเดือนได้อย่างน่าประหลาดใจมากถึง 400,000 หยวน ยิ่งหลังจากเปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าและลดต้นทุนของเสื้อผ้าได้ กำไรสุทธิจาก 100,000 หยวน ก็เพิ่มขึ้นเป็น 200,000 หยวนโดยตรง!

สำหรับร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มากกว่า 200 ตารางเมตร แต่ละร้านก็สามารถทำยอดขายต่อเดือนได้มากกว่า 2 ล้าน และกำไรสุทธิก็มากถึง 1.2 ล้าน! ร้านเสื้อผ้าไหนบ้างที่สามารถทำได้แบบนี้?

กำไรที่มากมายมหาศาลทำให้เขารู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของค่ายกลรวบรวมโชคลาภ ดังนั้นภายใต้ความคิดเช่นนี้เขาจึงรู้สึกว่าพนักงานขายและผู้จัดการร้านไม่มีผลต่อยอดขายของร้านเสื้อผ้าเลย ถ้าคนเหล่านั้นต้องการจะลาออก เขาก็สามารถหาคนอื่นมาแทนได้ เขาไม่ได้รู้สึกง้อเลยสักนิด

แม้แต่ดีไซน์เนอร์ของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าก็เช่นกัน แม้ซุนเซียงผู้มีความสามารถด้านการออกแบบที่แข็งแกร่งที่สุดจะถูกหานลู่แย่งไป แต่ในใจของเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

ท้ายที่สุดแล้วในความคิดของเขา แม้ว่าเขาจะมีดีไซเนอร์เพียงแค่คนเดียว แต่ตราบใดที่เสื้อผ้าที่คนๆนั้นออกแบบมาไม่แย่เกินไป พวกมันก็จะสามารถขายได้แน่นอนภายใต้อิทธิพลของค่ายกลรวบรวมโชคลาภ

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ที่เขาได้รับสิ่งนี้มามันคืออะไร? เพียงเพื่อหาเงินเฉยๆ หรือว่าจะทำให้เทียนหยุนกลายเป็นแบรนด์ใหญ่?

ฉินหยุนหาที่จอดรถ จากนั้นเขาก็เดินเท้าไปตามทางอย่างเงียบๆ คิดเกี่ยวกับพัฒนาการของเทียนหยุนที่ผ่านมา

เพื่อให้รากฐานของเทียนหยุนมีเสถียรภาพมากขึ้นและพัฒนาไปได้อย่างราบรื่น เขาจึงเกิดความคิดที่จะซื้อร้านค้าด้วยเงินสดเต็มจำนวน

ท้ายที่สุดแล้วร้านขายเสื้อผ้าทุกแห่งของเทียนหยุนนั้นร้อนแรงมาก ไม่ว่าเขาจะเซ็นสัญญากี่ปีเมื่อสัญญาหมดอายุเจ้าของที่ก็ย่อมจะขอเจรจาเรื่องค่าเช่าใหม่ หรือแม้แต่ยกเลิกสัญญาเช่าแล้วเอาร้านไปเปิดเอง

ถ้าเป็นเช่นนั้นเทียนหยุนก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ใหม่ไปเรื่อยๆ

และเพื่อแก้ปัญหานี้ เขาได้ทุ่มเงินเกือบทั้งหมดไปกับการซื้อร้านค้าด้วยเงินสด จะเห็นชัดได้ว่าเขาหวังที่จะทำให้แบรนด์เทียนหยุนนั้นกลายเป็นแบรนด์ที่ใหญ่ขึ้นจริงๆโดยไม่ได้รับผลกระทบต่างๆจากภายนอก และในอนาคตมันก็จะสามารถกลายเป็นแบรนด์ใหญ่อย่าง Anta, Adidas, Nike เป็นต้น แถมยังสามารถขยายไปต่างประเทศได้

แต่ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับมา เขาสามารถทำให้เทียนหยุนของเขาเติบโตขึ้นได้จริงๆงั้นเหรอ?

ฉินหยุนนึกถึงซุนเซียงที่ก่อนหน้านี้ลาออกไป ก่อนที่เธอจะลาออก เสื้อผ้าของซุนเซียงกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในร้านเสื้อผ้าเทียนหยุน แต่หลังจากลาออกและไปเข้าร่วมกับหานลู่ เสื้อผ้าของเธอขายได้แค่เพียงสิบกว่าตัวในหนึ่งวันเท่านั้น

อย่างแรกอยู่ภายใต้อิทธิพลของค่ายกลรวบรวมโชคลาภ แต่อย่างหลังไม่ได้รับพรจากค่ายกลรวบรวมโชคลาภเลย

ฉินหยุนกำลังคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากวันหนึ่งจู่ๆค่ายกลรวบรวมโชคลาภของเขาหายไป?

เสื้อผ้าที่ออกแบบโดยซุนเซียงนั้นขายดีมาก แต่ทันทีที่ไม่มีค่ายกลรวบรวมโชคลาภมันก็แทบจะไม่เป็นที่รู้จักของลูกค้าเลย ส่วนของคนอื่นๆก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

มีเพียงผลลัพธ์เดียวที่คาดเดาได้ นั่นก็คือยอดขายของร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนจะลดลงอย่างฮวบฮาบ

ร้านค้ายี่สิบกว่าแห่งที่เขาเปิดขึ้นในตอนนี้จะไม่มีลูกค้าใดๆ และร้านทั้งหมดก็จะถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า

ตราบใดที่ค่ายกลรวบรวมโชคลาภสูญเสียพลังไปสักสองสามเดือน แม้ว่าในเวลานั้นเทียนหยุนจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าขึ้นทั่วประเทศ ผลลัพธ์ของมันก็จะมีแค่อย่างเดียว นั่นคือ ร้านทั้งหมดจะต้องปิดตัวลงและไม่สามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดต่างๆได้เลย

หลังจากปิดตัวลง สิ่งที่เหลืออยู่ก็จะมีแค่ร้านค้าที่ฉินหยุนซื้อด้วยเงินสด

แต่เขาจะเอาร้านค้าเปล่าๆมากมายเหล่านั้นมาทำอะไร? ปล่อยให้คนอื่นเช่าเพื่อหาเงินอย่างนั้นเหรอ?

ฉินหยุนเดินมาเรื่อยๆจนพบกับสถานที่แห่งหนึ่งจากนั้นเขาก็นั่งลง ในขณะนี้จิตใจของเขารู้สึกยุ่งเหยิงมาก ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความสับสนมากมาย

เขารู้สึกว่าค่ายกลรวบรวมโชคลาภที่สะสมความมั่งคั่งให้เขานับสิบล้าน กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่ผูกมัดความคิดของเขาไว้

เขานั่งอยู่เงียบๆเช่นนี้ด้วยความรู้สึกสับสนและโดดเดี่ยว ฉินหยุนต้องการให้ใครสักคนอยู่เคียงข้างเขาเพื่อที่หัวใจของเขาจะได้สงบลง

เขามองดูโทรศัพท์มือถือโดยไม่รู้ตัว จู่ๆฉินหยุนก็นึกถึงการมีอยู่ของคนๆหนึ่ง

เขาคลิกที่รายชื่อและได้พบกับชื่อของผู้หญิงที่เขาเคยชอบมาก่อน - เซียวหลาน

มองไปที่ชื่อนั้น ฉินหยุนกดปุ่มโทรออก

...

ชุมชนหลินอู่ นี่คือสถานที่ที่เซียวหลานอาศัยอยู่ และในเวลานี้ก็มีหลายคนกำลังอยู่ในบ้าน

ทั้งเซียวเฉียนเฉียน พ่อแม่ของเซียวหลาน เซียวผิงจุนและเหวินหยุน ต่างก็อยู่ที่นี่

"หลานหลาน ลูกต้องเรียนรู้จากพี่เฉียนเฉียนเกี่ยวกับวิธีการเปิดร้านกาแฟของเธอไว้บ้างนะ" เหวินหยุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เธอกับเซียวผิงจุนมาที่จินหลิง ซึ่งคราวนี้ที่พวกเธอมาที่นี่ก็เพื่ออนาคตของลูกสาว

ธุรกิจของเซียวเฉียนเฉียนและเฝิงเทียนจวินในเมืองจินหลิงกำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหวินหยุนรู้สึกอยู่เสมอว่าครอบครัวของเธอด้อยกว่าครอบครัวของเซียวเหิงจุนและเซียวเฉียนเฉียน พวกเธอมักจะถูกผู้อื่นเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ

ดังนั้นเธอจึงหารือกับเซียวผิงจุน และตัดสินใจที่จะช่วยลูกสาวทำธุรกิจในจินหลิง

ตอนแรกเซียวผิงจุนไม่เห็นด้วย แต่เหวินหยุนกล่าวว่า "ถ้าคุณไม่ทำตอนนี้ ในอนาคตจะให้หลานหลานจะทำอะไร? จะให้เธอไปทำงานในบริษัทเหล่านั้นงั้นเหรอ? เป็นการดีที่สุดที่จะให้เธอประสบความสําเร็จด้วยตัวเอง แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่เธอก็จะได้สั่งสมประสบการณ์มากมายซึ่งจะต้องเป็นประโยชน์อย่างมากต่อตัวเธอเอง"

เซียวผิงจุนรู้สึกสะท้อนใจจากคำพูดของเหวินหยุน ซึ่งเขาเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกสาวของเขาจะสามารถสร้างธุรกิจด้วยตัวเธอเองได้

ดังนั้นครั้งนี้ทั้งสองคนจึงมาที่นี่เพื่อช่วยลูกสาวเปิดร้านกาแฟ

"หนูเข้าใจแล้วค่ะแม่" เมื่อได้ยินคำพูดของเหวินหยุน เซียวหลานก็พยักหน้า

"ลุงรอง ป้าสะใภ้รองคะ หลานหลานเก่งมาก เธอสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว หนูเชื่อว่าในอนาคตร้านกาแฟที่เธอเปิดจะไปได้สวยอย่างแน่นอน" เซียวเฉียนเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเซียวหลานก็ดังขึ้น และเมื่อเธอเปิดดูเธอก็ต้องผงะ

นี่เป็นสายจากฉินหยุน พวกเธอไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว ทั้งคู่มักจะได้เจอกันก็เมื่อนัดกับโจวหยางและจางเสี่ยวหยาเท่านั้น

แต่จู่ๆเขาก็โทรมา เธอรู้สึกว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่นอน

"หลานหลาน ฉินหยุนยังไม่เลิกติดต่อกับลูกอีกงั้นเหรอ?" ในขณะนี้เอง เมื่อเหวินหยุนได้เห็นเบอร์โทรศัพท์ของผู้ที่โทรเข้ามา สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที

ตอนนี้ร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนที่เปิดโดยฉินหยุนนั้นมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว แต่ด้วยนิสัยของเธอ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เธอจะยอมรับว่าเธอคิดผิด

จนถึงตอนนี้เธอก็ยังเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่ธุรกิจของฉินหยุนจะเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง และมันจะซบเซาลงแน่นอนเมื่อถึงจุดคอขวด

ยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ของเขาอย่างหานลู่ก็ยังคงเฝ้ามองจากด้านข้าง

โดยไม่สนใจเหวินหยุน เซียวหลานถือโทรศัพท์ไว้ เธอเดินออกไปที่ทางเดินด้านนอกพลางกดรับสาย

"ฮัลโหล ฉินหยุน"

"เซียวหลาน ฉัน..." เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ฉินหยุนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร เขาก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งที่ดังออกมาจากปลายสายเสียก่อน

"หลานหลาน ตอนนี้ลูกกับฉินหยุนมีความสัมพันธ์อะไรกัน เขายังไม่เลิกตอแยลูกงั้นเหรอ?"

เหวินหยุนเดินตามมาที่ทางเดินพร้อมกับเอ่ยถาม

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฉินหยุนก็ทำได้เพียงแค่กลืนสิ่งที่เขากำลังจะพูดลงไป

"แม่ ให้หนูคุยธุระส่วนตัวก่อนได้ไหม" เซียวหลานมองไปที่เหวินหยุนที่กำลังเดินเข้ามา เธอโกรธมากจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับผู้เป็นแม่ดี

เธอเดินกลับไปที่ห้องนอนของเธอทันที จากนั้นก็พูดกับฉินหยุนว่า "ฉินหยุน เกิดอะไรขึ้นเหรอ?"

ฉินหยุนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เอ่ยปฏิเสธว่า "ไม่มีอะไร ก่อนหน้านี้โจวหยางโทรหาฉัน เขาถามว่าเมื่อไรเราจะได้ไปกินข้าวด้วยกันอีก"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวหลานก็รีบพูดขึ้น "ฉันว่างวันมะรืนนี้"

"โอเค มีแค่นี้แหละ" ฉินหยุนพูด "พอดีฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำ เพราะงั้นฉันขอวางสายก่อนนะ"

หลังจากพูดจบ เขาก็กดวางสายไป

(จบตอน)