หลังจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่หานลู่เป็นฝ่ายเริ่ม มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่ฉินหยุนจะทำตามแผนเดิมของเขา ถ้าเขาต้องการให้เทียนหยุนพัฒนาขึ้นอย่างมั่นคง อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องมีวิธีการรับมือบางอย่างที่จะใช้จัดการกับพวกที่กล้ามาหาเรื่องกับเทียนหยุน!
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหยุนก็มองไปยังจ้าวเทียนเฉียงที่ยืนอยู่ข้างๆเขา จากนั้นก็ถามว่า "ผู้จัดการจ้าว คุณคิดว่าต่อจากนี้เทียนหยุนของเราจะพัฒนาไปในทิศทางไหนดี? คุณมีข้อเสนอแนะอะไรที่จะทำให้การพัฒนาของเทียนหยุนในอนาคตราบรื่นขึ้นไหม?"
จ้าวเทียนเฉียงเคยเป็นผู้จัดการทั่วไปของร้านขายเสื้อผ้าในเครือเทียนอี้เตี๋ยมานานถึง 8 ปี เขาเต็มไปด้วยประสบการณ์มากมาย
อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ ตอนที่ฉินหยุนเพิ่งรับจ้าวเทียนเฉียงให้มาเป็นผู้จัดการของร้านขายเสื้อผ้า แนวทางหลักของร้านขายเสื้อผ้านั้นฉินหยุนจะเป็นคนตัดสินใจเองทั้งหมด อย่างเช่น ภายในหนึ่งเดือนจะเปิดร้านใหม่กี่สาขา จะเปิดขึ้นที่ไหนบ้าง และอื่นๆอีกนิดหน่อย ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องยึดตามคำพูดของเขาเป็นหลัก
ด้วยค่ายกลรวบรวมโชคลาภที่เขามี ฉินหยุนไม่กังวลเกี่ยวกับสิ่งใดๆเลย เขาสามารถทุ่มเทความคิดของเขาทั้งหมดไปกับการหาวิธีเปิดร้านสาขาใหม่ได้
จ้าวเทียนเฉียงก็รู้ถึงสิ่งที่ฉินหยุนคิดเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมักจะไม่ค่อยถามอะไรออกมามาก และมุ่งความสนใจไปที่การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ในเวลานี้ เมื่อจ้าวเทียนเฉียงได้ยินคำถามของฉินหยุน เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า "บอสฉินครับ ตอนนี้การพัฒนาของเทียนหยุนถือว่ามั่นคงและมีเสถียรภาพมาก จำนวนร้านค้าก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะเราเปิดสาขาใหม่กันทุกเดือน ซึ่งจำนวนพนักงานในร้านก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน มีผู้คนมากมายที่อยากทำงานกับเรา และตอนนี้เหล่าผู้นำระดับสูงของเมืองก็ได้เริ่มให้ความสนใจกับเราแล้ว เพราะว่าเทียนหยุนได้แก้ไขปัญหาอัตราการว่างงานของคนส่วนใหญ่ไปด้วย"
ปัญหาการว่างงานของประชากรในเมืองต่างๆ จัดว่าเป็นหนึ่งในปัญหาที่น่ากังวลที่สุดของเหล่าผู้นำระดับสูงอย่างไม่ต้องสงสัย บริษัทที่มีพนักงานจำนวนมากย่อมเป็นที่ชื่นชอบของทางรัฐบาลอย่างแน่นอน และเมื่อบริษัทไหนมีจำนวนพนักงานถึงจุดที่กำหนด ผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นอาจแม้กระทั่งได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติของทางผู้นำในเมืองต่างๆได้เลย
เช่นเดียวกับโรงงานเครื่องจักรเหิงจุนในเขตชิงอู๋ ที่นั่นมีพนักงานอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเซียวเหิงจุนและคนอื่นๆก็ได้เข้าพบกับผู้นำของเขตชิงอู๋อยู่บ่อยครั้ง
ฉินหยุนพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าจ้าวเทียนเฉียงมองในแง่ดีเกี่ยวกับการขยายตัวของเทียนหยุน และความได้เปรียบของจำนวนบุคลากรก็จะเป็นหนึ่งในรากฐานที่สำคัญของฉินหยุนในอนาคต
เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่มองไปที่จ้าวเทียนเฉียงเพื่อรอเขากล่าวประโยคต่อไป
เมื่อเห็นฉินหยุนพยักหน้า จ้าวเทียนเฉียงก็กล่าวต่อทันที "สำหรับวิธีที่จะทำให้เทียนหยุนต่อจากนี้พัฒนาได้ดีและราบรื่นยิ่งขึ้น นั่นจะต้องเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้รากฐานของเทียนหยุนอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องนี้ผมมีคำแนะนำสองสามข้อครับ"
"หนึ่งคือการหาผู้สนับสนุนของเรา"
"เช่นเดียวกับศาสตราจารย์จ้าวเยี่ยนหลินที่มีมหาลัยจินหลิงหนุนหลัง ไม่ว่าศาสตราจารย์จ้าวเยี่ยนหลินจะอยู่ที่ไหน เธอก็มีอำนาจที่สามารถยับยั้งผู้อื่นได้ ซึ่งตอนนี้บอสฉินก็สามารถหาผู้สนับสนุนเช่นนั้นได้อย่างง่ายดายมาก"
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าว หัวใจของฉินหยุนก็กระตุก และเขาพูดว่า "คุณหมายถึงมหาลัยเจียงหยวนงั้นเหรอ?"
"ใช่ครับ"
จ้าวเทียนเฉียงพยักหน้าและกล่าวว่า "แม้ว่ามหาลัยเจียงหยวนจะไม่ได้มีระดับสูงเท่ากับมหาลัยจินหลิง แต่มันก็ยังเป็นมหาลัยในระดับ 211 แห่ง ซึ่งเป็นมหาลัยชั้นนำของประเทศเลย และชื่อของมันก็ยังพอมีน้ำหนักอยู่บ้าง มหาลัยเจียงหยวนได้ผลิตบุคคลผู้มีความโดดเด่นขึ้นมามากมาย ซึ่งในอนาคตบุคคลเหล่านั้นเราก็สามารถทำความรู้จักกับพวกเขาได้ ในการพัฒนาบริษัทหรือไม่ก็องค์กรต่างๆ การใช้ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์เก่านั้นถือว่าใกล้ชิดกว่าความสัมพันธ์อื่นๆอย่างแน่นอน"
โดยพื้นฐานแล้วมหาลัยทุกแห่งต่างก็สนับสนุนให้เหล่านักศึกษาเป็นผู้ประกอบการเอง ซึ่งพวกเขาก็หวังว่าจะมีบุคคลที่ทรงอำนาจจบจากมหาลัยของพวกเขา และหลังจากที่คนๆนั้นจบการศึกษาไป ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาจะให้การสนับสนุนบางอย่างกับทางมหาลัย ที่สำคัญบุคคลเหล่านี้ก็จะถือว่าเป็นหนึ่งในผู้หนุนหลังของทางมหาลัยด้วย
ทั้งสองสิ่งนี้ต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์
สำหรับการทำธุรกิจ ถ้าบริษัทไหนอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยปราศจากคอนเนคชั่น ก็เป็นเรื่องยากที่บริษัทนั้นจะสามารถเติบโตขึ้นได้
ฉินหยุนพยักหน้าและกล่าวว่า "พูดต่อเลย"
เมื่อเห็นการพยักหน้าเป็นเชิงอนุมัติของฉินหยุน จ้าวเทียนเฉียงก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นต่อ "อย่างที่สองคือการทำการกุศลครับ"
"การกุศล?" ฉินหยุนครุ่นคิดเล็กน้อย
จ้าวเทียนเฉียงอธิบายว่า "จากมุมมองของบริษัท การทำการกุศลถือว่ามีประโยชน์มากมายเลยครับ"
"ตัวอย่างเช่น บอสสามารถเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ หากผู้ประกอบการหรือบริษัทใดบริจาคเงินเพื่อทำการกุศล พวกเขาสามารถนำยอดตรงนั้นไปหักภาษีได้ส่วนหนึ่ง"
"โดยพื้นฐานแล้วบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศเหล่านั้น ทุกแห่งต่างก็มีองค์กรการกุศลของตนเองทั้งนั้นครับ"
จ้าวเทียนเฉียงกล่าวว่า "นอกจากนี้ การทำการกุศลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทด้วย"
"ก่อนหน้านี้ก็มีเคสหงซิงเอ๋อร์เค่อซึ่งกำลังจะล้มละลายได้บริจาคเงินห้าสิบล้านหยวนในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ เรื่องนี้ทำให้ในอินเตอร์เน็ตถึงกับต้องระเบิดขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่หลังจากนั้นไม่นานสินค้าต่างๆของหงซิงเอ๋อร์เค่อก็ถูกทุกคนแย่งซื้อกันอย่างเมามัน และสินค้าที่อยู่ในสต๊อกก็ว่างเปล่าลงทันที แม้ว่าบริษัทของหงซิงเอ๋อเค่อจะไม่ได้ใหญ่เท่ากับ Anta Nike หรือบริษัทชื่อดังระดับโลกอื่นๆ แต่บริษัทเหล่านั้นก็ไม่กล้าลงมือกับหงซิงเอ๋อร์เค่ออย่างแน่นอน"
"เพราะการทำการกุศลในครั้งนี้เทียบเท่ากับการป้ายชั้นทองคำลงบนหงซิงเอ๋อร์เค่อโดยตรง ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะกล้าไปแตะต้องพวกเขา นี่คือประโยชน์ของการทำการกุศลที่เราเห็นได้อย่างชัดเจน"
"คำแนะนำของผมก็คือ เทียนหยุนควรเริ่มทำการกุศลตั้งแต่ตอนนี้ แม้ว่าในขณะนี้การกระทำเล็กๆนี้อาจจะไม่ได้มีผลมากนัก แต่ในอนาคตเมื่อเทียนหยุนเติบโตขึ้น มันจะกลายเป็นข้อดีสำหรับเทียนหยุนของเราอย่างแน่นอนครับ"
บริษัทที่ทำการกุศลตั้งแต่ก่อตั้งขึ้น และในขณะที่บริษัทเติบโตขึ้นพวกเขาก็ไม่หยุดทำการกุศล เมื่อข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป คาดว่าทุกคนคงจะต้องยกนิ้วให้แน่นอน เพราะคิดว่านี่คือองค์กรที่มีมโนธรรม
นี่คือยุคอินเทอร์เน็ต จุดด่างดำที่เกิดขึ้นอาจถึงขั้นทำลายบริษัทลงได้ และข้อดีต่างๆก็อาจจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงเช่นกัน
ธุรกิจขนาดเล็กนั้นไม่เท่าไร แต่ถ้าพวกเขามีความคิดที่จะต้องการเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ พวกเขาก็ต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า
จ้าวเทียนเฉียงรู้ถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ของฉินหยุน สำหรับร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนของเขา
การที่เทียนหยุนเริ่มทำการกุศลตั้งแต่ครั้งนี้ในตอนที่ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น กับการที่เทียนหยุนเริ่มทำการกุศลหลังจากเปิดร้านสาขาไปทั่วมณฑลเจียงซูหรือแม้กระทั่งมณฑลอื่นๆ ความหมายของสิ่งนี้แตกต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าคุณบริจาคเงินตอนที่ไม่มีเงิน คนอื่นๆก็จะยกย่องเชิดชูคุณ แต่ถ้าคุณบริจาคเงินตอนที่มีฐานะร่ำรวย ทุกคนก็จะไม่รู้สึกอะไรกับคุณมากนัก
เมื่อได้ยินคำกล่าวของจ้าวเทียนเฉียง ฉินหยุนก็คิดตามอย่างเงียบๆ ซึ่งไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ
อันที่จริงแล้วเทียนหยุนกำลังพัฒนาและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เรื่องมูลนิธิการกุศลของเทียนหยุนก็จะถูกจัดตั้งขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เพียงแค่ฉินหยุนคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา เพราะตอนนี้เขายังคงเป็นหนี้ธนาคารอยู่เป็นจำนวนมาก
และยิ่งเขาเปิดร้านสาขามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งเป็นหนี้ธนาคารมากขึ้นเท่านั้น
ในความเห็นของเขา อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าผลกำไรของเขาจะเกินค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านค้าเสียก่อน แล้วจึงถึงเวลาก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการกุศลของบริษัท
แต่สิ่งที่จ้าวเทียนเฉียงกล่าวมาในขณะนี้ก็สมเหตุสมผลมาก
ฉินหยุนรู้ว่าเมื่อเขามีค่ายกลรวบรวมโชคลาภอยู่กับตัว ในอนาคต เทียนหยุนจะต้องกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในประเทศและแม้แต่ในโลกอย่างแน่นอน!
ในเวลานั้นเทียนหยุนก็จะถูกเผยโฉมออกมาอย่างเต็มที่ต่อหน้าทุกคน และถ้าทุกคนเริ่มที่จะขุดคุ้ยประวัติของเทียนหยุน พวกเขาก็จะได้เห็นว่าเทียนหยุนนี้มีมโนธรรมมาก ซึ่งเริ่มทำการกุศลทันทีหลังจากที่เพิ่งพัฒนาขึ้นได้ไม่นาน จากนั้นพวกเขาก็จะรู้สึกถูกใจ และอาจจะต้องการสนับสนุนด้วยการซื้อสินค้าบางอย่างจากเทียนหยุนก็เป็นได้
พวกเขาจะต้องมีความคิดเช่นนั้นอย่างแน่นอน
อย่างน้อยภาพลักษณ์ที่ดีของเทียนหยุนก็จะถูกสร้างขึ้นอย่างเต็มที่
สำหรับบริษัทที่มีมโนธรรมเช่นนี้ ถ้าฝ่ายตรงข้ามกล้าที่จะรังแก เหล่าชาวเน็ตก็อาจจะเริ่มรุมด่าพวกมัน
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ของคำแนะนำจากจ้าวเทียนเฉียง ฉินหยุนก็พยักหน้าหลังจากนั้นครู่หนึ่ง และกล่าวว่า "ผู้จัดการจ้าว พูดต่อเลย"
"อย่างที่สามคือการเพิ่มความนิยมของเทียนหยุน"
จ้าวเทียนเฉียงกล่าวต่อโดยไม่หยุด "อันที่จริงการทำการกุศลก็เพื่อเพิ่มความนิยมของเทียนหยุนเช่นกัน ถ้าทุกคนรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี มันก็จะมีผลยับยั้งโดยธรรมชาติ ซึ่งคนอื่นๆก็จะไม่กล้าลงมือกับเราโดยง่ายๆ อย่างน้อยเจ้าของที่เหล่านั้นก็จะไม่กล้าทำแบบนั้นกับเรา"
ถ้าหากมีบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาเช่าร้านเพื่อเปิดร้านค้า มีหรือที่เจ้าของที่เหล่านั้นจะไม่กล้าคืนเงินค่าเช่าเมื่อพวกเขาขอยกเลิกสัญญา?
(จบตอน)
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved