ตอนที่ 100 ลูกพี่ลูกน้อง จ้าวตงเสวี่ย

"ลุงกับป้าเชิญนั่งก่อนครับ เดี๋ยวผมเรียกพ่อกับแม่ให้" ฉินหยุนยิ้ม จากนั้นเขาก็ตะโกนเข้าไปในตัวบ้านสองสามครั้ง

จากนั้นไม่นาน ฉินกั๋วตงกับจ้าวเหมยกเดินออกมา

"กั๋วหยุนเองงั้นเหรอ?"

ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ฉินกั๋วตงมองไปที่เด็กชายตัวเล็กๆที่อยู่ข้างๆพวกเขา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "เฉียงเฉียงโตขึ้นมากเลยนะ"

หลังจากกล่าวจบ เขาก็มองไปที่ฉินหยุนและกล่าวว่า "เสี่ยวหยุน ไปหยิบขนมมาให้เฉียงเฉียงหน่อยนะ"

ฉินหยุนพยักหน้าและเดินเข้าไปในบ้าน

จากนั้นฉินกั๋วหยุนก็เอ่ยทักทายฉินกั๋วตงสองสามคำ เขารู้สึกลังเลที่จะกล่าวบางอย่างออกมา

"กั๋วหยุน นายมีอะไรหรือเปล่า? ฉันเป็นพี่ชายของนาย ถ้านายมีอะไรก็บอกกับฉันมาได้เลย" เมื่อฉินกั๋วตงสังเกตเห็นว่าเขามีอาการอ้ำๆอึ้งๆ เขาก็ถามด้วยรอยยิ้ม

ครอบครัวของคนรุ่นเก่า ปกติแล้วจะอยู่ด้วยกันโดยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ที่หลายครอบครัวมักจะแยกกันอยู่คนละที่ ดังนั้นความสัมพันธ์จึงจืดจางไปตามกาลเวลา

"พี่กั๋วตง เรื่องมันเป็นแบบนี้ ฉันอยากจะถามพี่หน่อยว่าในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเทียนหยุนตอนนี้พนักงานเต็มหมดหรือยัง ถ้ายังเหลือที่ว่างอยู่ พอจะให้เสี่ยวฉิง ภรรยาของเหลียงเหลียงเข้าไปทำงานที่นั่นได้ไหม?"

หลังจากกลั้นมานาน ในที่สุดฉินกั๋วหยุนก็กล่าวมันออกไป

ข้างๆเขา ถังฟางก็กำลังมองไปที่ฉินกั๋วตงอย่างกระตือรือร้นเช่นกัน

ฉินหยุนออกมาพร้อมกับขนมในมือพอดี จากนั้นเขาก็มอบมันให้กับเด็กน้อยเฉียงเฉียง

เขาเหลือบมองไปที่ฉินกั๋วหยุน ก่อนหน้านี้เขาก็รู้เช่นกันว่าครอบครัวของเขาไปที่บ้านของฉินกั๋วหยุนเพื่อขอยืมเงิน 20,000 หยวน แต่พวกเขาไม่ได้รับมา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ทางฝั่งของฉินหยุนก็ไม่ได้คิดมากอะไร และพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองเพราะยืมเงินไม่ได้ด้วย

ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวทางฝั่งฉินกั๋วหยุนก็น่าสังเวชเช่นกัน เงินที่ทางครอบครัวใช้จ่ายรายวันก็แทบจะไม่เพียงพออยู่แล้ว

เมื่อได้ยินคำกล่าวของฉินกั๋วหยุน ฉินกั๋วตงก็ชำเลืองมองที่ฉินหยุน เมื่อผู้เป็นพ่อเห็นลูกชายผงกศีรษะเล็กน้อย เขาก็ยิ้มขึ้นมาพลางกล่าวว่า "แน่นอน ตอนนี้โรงงานกำลังจะขยายฐานการผลิต เดี๋ยวฉันจะคุยกับเสี่ยวซวนให้"

เมื่อเห็นว่าฉินกั๋วตงกล่าวตกลง ฉินกั๋วหยุนกับถังฟางก็มีความสุขขึ้นทันที

ฉินกั๋วหยุนรู้สึกสะเทือนใจมาก ด้วยใบหน้าที่ละอายใจ เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า "พี่กั๋วตง เรื่องยืมเงินก่อนหน้านี้... "

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ฉินกั๋วตงก็โบกมือห้ามทันทีและกล่าวว่า "พอแล้วๆ นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว ใครบ้างที่จะไม่มีปัญหา? ระหว่างเราพี่น้องไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก"

เขาก็รู้สถานการณ์ของครอบครัวฉินกั๋วหยุนเช่นกัน และเขาก็ไม่ได้ตำหนิเรื่องที่ฉินกั๋วหยุนไม่ได้ให้เขายืมเงินเลย

ท้ายที่สุดแล้ว นอกจากเรื่องยืมเงิน ในอดีตครอบครัวของฉินกั๋วหยุนยังเคยช่วยเหลือพวกเขาไว้มากมาย บางครั้งเมื่อทางฝั่งของเขาต้องยุ่งอยู่กับการทำไร่ทำนา ทางฝั่งของฉินกั๋วหยุนก็จะมาช่วยทำงานด้วย หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันทั้งวัน สิ่งที่พวกเขาต้องการก็แค่ข้าวน้ำหนึ่งมื้อเท่านั้น

หลังจากพูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง ฉินกั๋วหยุนและคนอื่นๆก็จากไปพร้อมกับทิ้งของฝากไว้ ฉินกั๋วตงถอนหายใจออกมาพลางกล่าวว่า "กั๋วหยุนเป็นคนหน้าบางมาตั้งแต่เด็ก ดูเหมือนว่าตอนนี้ความเป็นอยู่ของครอบครัวเขาน่าจะลำบากกันมากจริงๆ"

สิ่งที่คนหน้าบางกลัวมากที่สุดก็คือการขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

ข้างๆเขา จ้าวเหมยก็กล่าวขึ้นว่า "ช่วงนี้หลายๆคนในหมู่บ้านก็โทรมาหาฉันเหมือนกัน พวกเขาอยากให้คนในครอบครัวเข้าไปทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเทียนหยุน แต่ฉันปฏิเสธไป"

เมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อกับแม่ของเขาสนทนากัน ฉินหยุนก็ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร

อันที่จริง สำหรับเขาแล้วการรับสมัครพนักงานของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้านั้นสามารถรับคนจากหมู่บ้านฉินเจียก็ได้ ท้ายที่สุดแล้ว การรับพนักงาน ไม่ว่าจะรับสมัครจากที่ไหน จุดมุ่งหมายก็คือพาเข้าไปทำงานในโรงงานเหมือนกัน

และคนรุ่นเก่าก็มีทักษะความชำนาญในการตัดเย็บที่สูงมาก เท่าที่ฉินหยุนรู้มา หลายๆครอบครัวต่างก็มีจักรเย็บผ้าเป็นของตนเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนรู้จักมากเกินไป การจัดการบริหารของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าจะไม่ค่อยสะดวกนัก

ตอนนี้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเทียนหยุนเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน และอยู่ในขั้นตอนของการเร่งขยายฐานการผลิต ในเวลานี้ การรับสมัครพนักงานที่เป็นคนรู้จักมามากเกินไป มันเป็นเรื่องง่ายที่จะทิ้งปัญหาบางอย่างไว้

ดังนั้น แม้ว่าเขาต้องการจะรับสมัครคนจากหมู่บ้าน เขาก็ต้องรอให้กิจการของเขาเติบโตขึ้นมากกว่านี้ก่อน

จนถึงตอนนี้ ยังมีญาติๆไม่มากนักที่เข้าไปทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า ญาติๆส่วนใหญ่ที่เข้าไปต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอดีต และนิสัยของพวกเขาก็ดีมากเช่นกัน

เมื่อเขาร่ำรวยมากขึ้น มันก็มีโอกาสมากมายที่จะช่วยคนจากหมู่บ้านฉินเจีย แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา

การช่วยเหลือผู้คนเป็นเรื่องที่ดี และการช่วยให้ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้นเป็นเรื่องดีกว่า

เวลาผ่านไป ตอนนี้ฉินหยุนกลับมาอยู่ที่บ้านเป็นเวลาสามวันแล้ว ก่อนที่เขาจะเตรียมตัวกลับไปจินหลิงอีกครั้ง

ครั้งนี้เขากลับมาเพื่อจัดการกับเรื่องของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นส่วนใหญ่ อยู่ที่บ้านต่อเขาก็ไม่มีอะไรให้ทำ แต่ในจินหลิงยังมีร้านเปิดใหม่สามสาขา ซึ่งมีหลายสิ่งที่ต้องให้เขาจัดการ

แม้ว่าเขาเพิ่งจะเริ่มไปตีตลาดที่จินหลิงได้แค่เดือนกว่าๆเท่านั้น แต่ในเวลานี้กิจการที่นั่นแซงหน้าเขตชิงอู๋ไปเรียบร้อยแล้ว!

และในอนาคตเขาก็จะขยายสาขาออกไปอีก นั่นเป็นตลาดขนาดใหญ่มาก!

ในช่วงสองสามวันมานี้ ฉินหยุนก็ส่งข้อความถึงเซียวหลานเช่นกัน เซียวหลานอยู่ที่จินหลิงเป็นเวลาสองวัน จากนั้นก็กลับมาพร้อมพ่อกับแม่ของเธอ ซึ่งตอนนี้เธอกำลังพักอยู่ที่บ้านเกิด และพวกเขาจะได้เจอกันอีกครั้งก็หลังจากช่วงวันหยุดจบลงเท่านั้น

เมื่อเขากำลังจะจากไป จ้าวเหมย แม่ของฉินหยุนก็เดินเข้ามาหาเขาและกล่าวบางอย่าง

"ลูกพี่ลูกน้องของผม จ้าวตงเสวี่ย?"

ฉินหยุนมองไปที่จ้าวเหมยด้วยความประหลาดใจ

จ้าวตงเสวี่ยเป็นลูกสาวของลุงรองของเขา ซึ่งเธออายุน้อยกว่าเขาไม่กี่เดือนและตอนนี้ทั้งคู่ก็อายุ 18 ปีเท่ากัน

อันที่จริง ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาเคยพบกันแค่สิบกว่าครั้งเท่านั้น

"ตอนนี้เสี่ยวเสวี่ยทำงานอยู่ที่จินหลิงพอดี ลุงรองของลูกอยากให้ลูกช่วยดูแลเธอหน่อย"

แม้ว่าฉินหยุนจะไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับญาติๆฝ่ายแม่ของเขามากนัก แต่จ้าวเหมยยังคงมีความผูกพันกับฝั่งนั้นอยู่มาก ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน ซึ่งเธอมักจะโทรกลับไปหาพวกเขาอยู่เสมอ

และช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างลุงรองกับจ้าวเหมยก็ดีขึ้นมาก ซึ่งเขาก็รู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในฝั่งของตระกูลฉินนิดหน่อย

หลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ว่าฉินหยุนไปเรียนมหาลัยในเมืองจินหลิง และเปิดร้านขายเสื้อผ้าขึ้นที่นั่นด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องการให้จ้าวตงเสวี่ยเข้าไปทำงานที่นั่น

"เสี่ยวหยุน ถ้าลูกไม่สะดวกก็ช่างมันเถอะ" จ้าวเหมยกล่าวพลางมองไปที่ลูกชายของเธอ

อันที่จริงแล้วจ้าวตงเสวี่ยไม่ใช่ผู้หญิงที่เรียบร้อยสักเท่าไร ตอนวันส่งท้ายปีเก่าฉินหยุนมักจะไปที่บ้านของลุงรองพร้อมกับแม่ของเขาอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงรู้จักลูกพี่ลูกน้องของครอบครัวลุงรองคนนี้เป็นอย่างดี

จ้าวตงเสวี่ยเป็นคนไม่ชอบเรียนหนังสือ หลังจากจบชั้นมัธยมต้นปี 3 เธอก็ไม่ต้องการเรียนต่อแล้ว พ่อกับแม่ของเธอบังคับเธออย่างหนักเพื่อให้เธอไปเรียนต่อ เธอจึงต่อต้านด้วยการออกไปทำงานคนเดียวและไม่กลับมาเลยในช่วงตรุษจีน ซึ่งทำให้ลุงรองและคนอื่นๆรู้สึกเป็นห่วงมาก เธอจึงเป็นตัวปัญหาของจริง

เมื่อสองปีก่อน ตอนที่ฉินหยุนไปที่บ้านของลุงรองเพื่ออวยพรปีใหม่ เขาก็ไม่เห็นจ้าวตงเสวี่ยอยู่ที่บ้านแล้ว

จ้าวเหมยก็รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของจ้าวตงเสวี่ยเข่นกัน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เห็นด้วยทันทีในสิ่งที่ลุงรองกล่าวก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ฉินหยุนกำลังจะกลับไปที่จินหลิงอีกครั้ง เธอจึงกล่าวออกมา

เธอกังวลว่าจ้าวตงเสวี่ยจะสร้างปัญหาให้กับฉินหยุน

ถ้าลูกชายของเธอบอกว่าไม่เห็นด้วย เธอก็จะปฏิเสธไป

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหยุนก็กล่าวว่า "ไม่เป็นไรครับแม่ ให้เธอมาเถอะ"

ยังไงก็ยังเป็นญาติกัน ดังนั้นก็ไม่เป็นไรที่จะช่วยเธอสักนิดหน่อย แน่นอนว่าถ้าจ้าวตงเสวี่ยมาหาเขาและทำให้อะไรที่มันไม่ดี เขาก็ต้องจัดการกับเธอ

"งั้นก็ดีเลย เดี๋ยวแม่จะโทรไปบอกลุงรองของลูกให้" เมื่อเห็นว่าฉินหยุนตอบตกลง จ้าวเหมยก็พยักหน้าพลางกล่าว

ฉินหยุนมองไปยังอีกด้านหนึ่ง ซึ่งฉินกั๋วเหลียงและจางพ่านตี้กำลังบอกฉินเสี่ยวเทาว่าอยู่ที่จินหลิงทำงานให้ดี ฉินเสี่ยวเทาก็เอาแต่พยักหน้าหงึกๆ

ฉินหยุนจะกลับไปวันนี้ ดังนั้นฉินเสี่ยวเทาก็จะกลับไปวันนี้เช่นกัน

"พ่อ แม่ พี่ใหญ่ ผมไปก่อนนะ"

เมื่อมองไปที่พ่อแม่ของเขา พี่สาวคนโตฉินซวน และคนอื่นๆ ฉินหยุนก็เอ่ยลาด้วยรอยยิ้ม

ภายใต้สายตาของทุกคน ในที่สุดชายหนุ่มทั้งสองคนก็นั่งรถโฟล์คสวาเกนมุ่งหน้าไปยังจินหลิง

(จบตอน)