"หลานหลาน อยู่ที่จินหลิงลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ ตอนนี้จู่ๆอากาศก็เย็นลงอย่างกะทันหัน สวมใส่เสื้อผ้าให้มากขึ้นหน่อย อีกสองสามวันแม่กับพ่อจะไปเยี่ยมลูกที่นั่นนะ"
ขณะนี้เซียวหลานกำลังถือโทรศัพท์มือถือไว้ในมือของเธอ ซึ่งก็มีเสียงของเหวินหยุนดังออกมา
"หนูเข้าใจแล้ว" เซียวหลานพยักหน้า
แม่กับลูกสาวคุยกันอยู่พักหนึ่ง และเมื่อเซียวหลานกำลังจะวางสาย จู่ๆเหวินหยุนก็กล่าวว่า "แม่ได้ยินมาว่าร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนของฉินหยุนปิดตัวลงแล้ว"
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเหวินหยุนเซียวหลานก็เงียบไป ซึ่งเธอไม่ต้องการจะพูดคุยหัวข้อนี้กับผู้เป็นแม่เลย
ครั้งล่าสุดก็เป็นเพราะว่าแม่ของเธอ ฉินหยุนจึงเลือกที่จะปล่อยมือเธอไป และตั้งแต่นั้นมาเธอกับเหวินหยุนก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันอีก
แต่ตอนนี้ จู่ๆเหวินหยุนก็เริ่มพูดขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเธอเงียบไป เหวินหยุนก็ถอนหายใจออกมาพลางกล่าวว่า "หลานหลาน สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ลูกอย่าโทษแม่เลย ลูกก็ได้รู้แล้วว่าการเริ่มต้นทำธุรกิจเองมันเป็นเรื่องที่ยากมาก แถมการเริ่มต้นทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเสื้อผ้ามันก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าด้วยซ้ำ เราอาจจะหาเงินได้สักเล็กน้อยเมื่อตอนที่เราเพิ่งเริ่มเปิดร้าน แต่ตราบใดก็ตามที่เราเริ่มขยายสาขา เราก็จะถูกคนอื่นกดขี่เอาได้ง่ายๆ ตอนนี้ตลาดเสื้อผ้ามันอิ่มตัวไปแล้ว ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉินหยุนจะเติบโตขึ้นได้"
อันที่จริงจากมุมมองของเหวินหยุน เป็นเรื่องดีที่จะไม่ปล่อยให้ลูกสาวของเธอติดต่อกับฉินหยุนอีกต่อไป
แม้ครอบครัวของเธอจะไม่ได้มีเงินมากถึงหลายร้อยล้านหยวน แต่อย่างน้อยๆมันก็ใกล้เคียงจำนวนนี้ ฐานะระดับนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่ในอันดับต้นๆของพื้นที่เล็กๆอย่างเขตชิงอู๋แห่งนี้เลย นับประสาอะไรกับชายที่ร่ำรวยที่สุดในเขตชิงอู๋ ซึ่งก็เป็นคนในครอบครัวของพวกเธอด้วย
โดยปกติแล้วพวกเธอมักจะเข้าไปพบปะกับผู้นำของเขตชิงอู๋อยู่เสมอ
ในทางตรงกันข้าม เธอตรวจสอบสถานการณ์ของฉินหยุนมาแล้ว ครอบครัวของฉินหยุนนั้นมีฐานะยากจนมาก และบ้านเกิดของเขาก็ยังอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง บ้านที่ครอบครัวของเขาซื้อก็จ่ายด้วยเงินกู้ พ่อของเขาเคยทำงานอยู่ในไซต์ก่อสร้าง และแม่ของเขาก็คอยทำงานรับจ้างทั่วไป
ซึ่งหลังจากที่ฉินหยุนเปิดร้านขายเสื้อผ้า พ่อกับแม่ของเขาจึงเปลี่ยนไปทำงานในร้านขายเสื้อผ้าแทน
ครอบครัวที่มีฐานะอย่างพวกเธอจะไปเกี่ยวพันกับครอบครัวจนๆเช่นฉินหยุนได้อย่างไร?
แม้ว่าฉินหยุนจะมีความสามารถ แต่แล้วยังไงล่ะ?
นี่มันไม่ใช่ยุค 90 อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเริ่มต้นทำธุรกิจแทบจะเป็นเป็นศูนย์
ในความคิดของเธอ คนที่จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของเซียวหลานได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมาจากครอบครัวที่มีฐานะเท่ากัน และเขาก็ต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน
ซึ่งก็เหมือนกับเฝิงเทียนจวิน คนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของเซียวเฉียนเฉียน
ถ้าเป็นเช่นนี้ในอนาคตลูกสาวของเธอก็จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเหวินหยุน เซียวหลานก็ยังคงเงียบอยู่ แต่จากนั้นเธอก็กล่าวออกมาว่า "ร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนยังไม่ได้ปิดตัวลง และฉินหยุนก็เป็นคนที่สุดยอดที่สุดเท่าที่หนูเคยเห็นมาเลย"
"ยังไม่ได้ปิดงั้นเหรอ?" เหวินหยุนผงะ
"โอเคแม่ หนูต้องไปเรียนแล้ว แค่นี้นะคะ" หลังจากกล่าวจบ เซียวหลานก็วางสายไปทันที
และในขณะนี้ เหวินหยุนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ข้างๆเหวินหยุน เห็นได้ชัดว่าเซียวผิงจุนก็ได้ยินเสียงจากการสนทนาของแม่กับลูกสาว ขมวดจึงคิ้วและกล่าวว่า "ทำไมคุณถึงพูดเรื่องฉินหยุนกับหลานหลานอีกแล้ว"
นิสัยของเหวินหยุนนั้นแข็งกร้าวเกินไป ซึ่งอยู่ข้างนอกเธอก็ปกติดี แต่พออยู่ที่บ้านเธอก็มักจะสั่งสอนเรื่องไร้สาระให้ลูกสาวอยู่เสมอ ซึ่งเสี่ยวผิงจุนรู้สึกไม่พอใจมาก
เหวินหยุนไม่สนใจเซียวผิงจุน ในใจของเธอตอนนี้กำลังคิดแค่เรื่องที่เซียวหลานเพิ่งกล่าวออกมา
เธอตกตะลึงอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงกดโทรศัพท์โทรหาเซียวเฉียนเฉียนทันที
และหลังจากนั้นท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไป
"เป็นไปได้ยังไง ร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนที่ปิดตัวลงไปแล้วกลับเปิดขึ้นอีกครั้ง แถมยังเปิดขึ้นทีเดียวสิบสองร้านอีก! และแม้แต่ร้านค้ากว่าครึ่งเหล่านั้นก็ยังถูกซื้อด้วยเงินสดเต็มจำนวน ฉินหยุนทำได้ยัง?!"
เหวินหยุนเต็มไปด้วยความตกใจ เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เซียวเฉียนเฉียนกล่าวเลย
ตามที่เซียวเฉียนเฉียนกล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ ร้านขายเสื้อผ้าทั้ง 12 แห่งของฉินหยุนอาจจะถูกซื้อด้วยเงินสดเต็มจำนวนทั้งหมด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ เขาก็จะต้องใช้เงินอย่างน้อย 60 ล้านหยวน!
แม้ว่าจะเป็นครอบครัวของพวกเธอก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเงินสดออกมา 60 ล้านหยวนเลย
แต่ฉินหยุนที่อยู่ในวัย 18 ปีจากครอบครัวฐานะธรรมดาๆ ที่เพิ่งเริ่มเปิดร้านขายเสื้อผ้าได้เพียงไม่กี่เดือน กลับสามารถทำได้!
นี่คือชายหนุ่มผู้ยากจนที่เธอมักจะกล่าวถึงอยู่เสมอหรือไม่?
...
ในอีกด้านหนึ่ง เซียวเฉียนเฉียนวางสายจากเหวินหยุน เธอก็เพิ่งทราบข้อมูลนี้ได้ไม่นานเช่นกัน และเหวินหยุนก็โทรมาพอดี
สำหรับเซียวเฉียนเฉียน เธอเห็นได้ชัดเจนว่าใบหน้าของเฝิงเทียนจวินมีอาการตกใจแสดงออกมา
"ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำให้ใบหน้าของจั่วหานถึงกับเปลี่ยนสี ก็น่าจะเป็นเรื่องของร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนนี่แหละ"
เฝิงเทียนจวินอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า "ฉินหยุนทำได้ยังไง เขาเอาเงินมาจากที่ไหน?"
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน"
เซียวเฉียนเชียนส่ายหัวพลางกล่าวว่า "ภูมิหลังครอบครัวของฉินหยุนนั้นธรรมดามาก แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ร้านขายเสื้อผ้าที่เขาเปิดนั้นได้รับความนิยมมากมาย แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะซื้อร้านค้าเหล่านั้นด้วยเงินทั้งหมดที่ได้รับจากการขายเสื้อผ้า"
การซื้อร้านค้าด้วยเงินสดเต็มจำนวน ตราบใดที่คุณมีเงิน ไม่ว่าใครๆก็สามารถทำได้ แต่คำถามคือ ฉินหยุนเอาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาจากไหน?
เนื่องจากเหวินหยุนเป็นคนบอก เซียวเฉียนเฉียนจึงรู้สถานการณ์ครอบครัวของฉินหยุนเป็นอย่างดี ดังนั้นเฝิงเทียนจวินจึงต้องรู้เรื่องนี้ด้วย
มันยากสำหรับเขาที่จะทำความเข้าใจได้ว่า คนที่มีพื้นเพครอบครัวธรรมดาจะมีเงินก้อนโตขนาดนี้ได้อย่างไร
"ยังไงก็เถอะ ตอนนี้จั่วหานกำลังมีปัญหาแล้วล่ะ"
เฝิงเทียนจวินที่กำลังประหลาดใจกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนและร้านเสื้อผ้าหานลู่เลย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกกังวลอะไร
ท้ายที่สุด เขาและฉินหยุนก็ถือว่ารู้จักกัน
อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าทำไมแบรนด์เสื้อผ้าหานลู่ของจั่วหานถึงปราบปรามร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนของฉินหยุน และตอนนี้ร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนก็ระเบิดความแข็งแกร่งออกมาอย่างกะทันหันแล้ว ซึ่งมันต้องทำให้จั่วหานปวดหัวมากแน่นอน
...
การเปิดร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนขึ้นอีกครั้งทำให้หลายๆคนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ผู้คนจำนวนมากยังคงให้ความสนใจกับการแข่งขันทางธุรกิจระหว่างเทียนหยุนและหานลู่ แต่ตอนนี้ฉินหยุนไม่ได้รู้สึกกังวลอีกต่อไปแล้ว และเขาก็หวังว่าร้านเสื้อผ้าหานลู่จะเปิดต่อไป
ในเวลานี้ฉินหยุนกำลังทานอาหารกับเซียวหลาน แต่ไม่ได้มีแค่เซียวหลานเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ยังรวมถึงโจวหยางและจางเสี่ยวหยาอีกด้วย
มันยากที่จะมีเวลาให้ผ่อนคลาย ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่าง เขาจึงริเริ่มที่จะชวนเซียวหลาน โจวหยาง และจางเสี่ยวหยาออกมาทานอาหารเย็นด้วยกัน
"มาๆ ดื่มกันหน่อย!"
โจวหยางกล่าวอย่างเป็นกันเอง เขายกแก้วเบียร์ในมือขึ้นและดื่มเข้าไปรวดเดียว จากนั้นก็เทอีกแก้ว ดูเหมือนว่าเขาจะชอบดื่มมันมาก
"โจวหยาง นายเพิ่งเข้ามหาลัยได้แค่สามเดือนกว่าเองนะ แต่ความสามารถในการดื่มของนายกลับเพิ่มขึ้นมากเลย" ฉินหยุนกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่พวกเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย แน่นอนว่าพ่อแม่ของพวกเขาไม่อนุญาตให้พวกเขาดื่ม ปกติแล้วจะให้พวกเขาดื่มได้เฉพาะช่วงตรุษจีนเท่านั้น
หลังจากไปเรียนที่มหาลัย เมื่อมีคนสองสามคนในห้องพักออกไปทานอาหารเย็นกัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่สั่งเครื่องดื่ม และโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็เลือกสั่งเบียร์
"ใช่แล้ว ตอนนี้ในห้องพักของฉัน ฉันได้ฉายาว่าราชาแห่งเบียร์เลย" โจวหยางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ "ตอนที่เราออกไปดื่มกัน คนอื่นๆในหอพักของเราต่างก็ล้มคอพับกันหมด เหลือแต่ฉันที่ยังมีสติอยู่"
เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่แปลก บางคนแค่จิบเข้าไปนิดหน่อยก็เมาแอ๋ แต่บางคนแม้จะดื่มเข้าไปเป็นพันแก้วก็ไม่รู้สึกถึงความเมาเลย ซึ่งก็มันขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วย
"ดื่มให้น้อยลงหน่อย ดื่มมากไปมันก็ไม่ดี"
ฉินหยุนชนแก้วกับเขาแล้วกล่าวออกมา
"ใช่แล้ว"
ข้างๆพวกเขา จางเสี่ยวหยาเห็นด้วยกับคำพูดของฉินหยุน เธอพยักหน้าอย่างจริงจังและกล่าวว่า "ฉันได้ยินมาว่าการดื่มเบียร์มากเกินไปอาจจะทำให้พุงยื่นได้ง่าย"
หลังจากกล่าวจบ จางเสี่ยวหยาก็ชำเลืองมองที่ท้องของโจวหยาง
จากนั้นท่ายกแก้วเบียร์ของโจวหยางก็ถูกค้างไว้กลางอากาศ
นอกจากนี้เขายังมองลงมาที่ท้องของตัวเองด้วย จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าเบียร์ในมือของเขารสชาติมันจืดลงนิดหน่อย
(จบตอน)
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved