จ้าวเทียนเฉียงกล่าวว่า "มีหลายวิธีในการเพิ่มความนิยมของร้าน อันที่จริงเราสามารถจัดกิจกรรมบางอย่างขึ้นมาภายในร้านได้ จากนั้นก็ถ่ายภาพกิจกรรมที่เราจัดขึ้นในร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนไปลงโมเมนต์ในวีแชต เพื่อให้ทุกคนที่เห็นกดไลค์ให้เรา ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะสามารถเพิ่มความนิยมให้กับทางร้านและลดค่าใช้จ่ายในการโปรโมตลงได้ ด้วยวิธีนี้ชื่อเสียงของเทียนหยุนก็จะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงวิธีหนึ่งเท่านั้น ยังมีวิธีอื่นอีกมากมายเลยครับ"
"นี่คือวิธีการพัฒนาร้านขายเสื้อผ้าของเราให้มั่นคงและราบรื่นขึ้นโดยคร่าวๆ"
"นอกจากนี้ โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเทียนหยุนของเรายังสามารถให้ความร่วมมือกับทางมหาลัยเจียงหยวนในเรื่องของเครื่องแบบนักศึกษาที่ต้องสั่งทำพิเศษ หรือเครื่องแบบอื่นๆ เดิมทีบอสฉินก็เป็นนักศึกษาของมหาลัยเจียงหยวนอยู่แล้ว ซึ่งคณะผู้บริหารเหล่านั้นของมหาลัยอาจจะเต็มใจมอบเรื่องนี้ให้กับบอสฉินดูแล แน่นอน สำหรับเรื่องนี้เราต้องเลิกคิดเรื่องกำไรหรือขาดทุนไปได้เลย สินค้าของเราที่จัดหาให้กับทางมหาลัยจะต้องมีราคาต้นทุนที่ต่ำกว่าโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งอื่นๆ และถ้าจำเป็นเราก็ควรมอบให้ไปฟรีๆเลย"
"เรายังสามารถจ้างนักรีวิวชื่อดังเหล่านั้นมาเพื่อให้โปรโมตร้านขายเสื้อผ้าของเราได้ เช่นเดียวกับที่ร้านเสื้อผ้าจวินชิงทำ"
"นอกจากนี้ยังมี ... "
จ้าวเทียนเฉียงยังคงกล่าวต่อไปว่ามีอีกหลายวิธีที่จะใช้เพิ่มชื่อเสียงของร้าน และทุกวิธีที่กล่าวมาก็สามารถทำให้คนทั่วไปคุ้นเคยกับเทียนหยุนมากขึ้นได้
"อันที่จริงแล้ว โดยทั่วไปสิ่งแรกที่จะต้องใช้ในการเพิ่มความนิยมก็คือเงินทุน และสิ่งที่สองก็คือการใช้ประโยชน์จากคอนเนคชั่นต่างๆที่มีอยู่รอบตัว หากเราค่อยๆพัฒนาขึ้นไปทีละขั้นด้วยวิธีเหล่านี้ จากเล็กไปหาใหญ่ อิทธิพลของเทียนหยุนก็จะขยายออกไปเรื่อยๆอย่างแน่นอน"
"บริษัทที่มีพนักงานจำนวนมากมาย และทำการกุศลตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัท แน่นอนว่านี่ต้องเป็นบริษัทที่มีมโนธรรมมากที่สุด นอกจากนี้ เมื่อเทียนหยุนซึ่งมีชื่อเสียงและกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องพร้อมๆกับมีอิทธิพลขึ้นมากมาย คนอื่นๆก็จะต้องคิดจัดการกับเราแน่นอน แต่ด้วยการสนับสนุนของมหาลัยเจียงหยวนที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขาเหล่านั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักและคิดดูอีกที"
ในที่สุดจ้าวเทียนเฉียงก็กล่าวสรุปออกมา
หลังจากเขากล่าวจบ ฉินหยุนก็เงียบไปสักพัก จากนั้นไม่นานเขาก็มองไปที่จ้าวเทียนเฉียงและกล่าวว่า "ผู้จัดการจ้าว ผมได้รับการสั่งสอนจากคุณแล้ว"
เขาถอนหายใจออกมา พลางคิดในใจว่าสมแล้วที่จ้าวเทียนเฉียงเคยเป็นผู้จัดการทั่วไปของเทียนอี้เตี๋ยมา 8 ปี ประสบการณ์ของเขานั้นเป็นของจริง ซึ่งเขาก็มีความคิดดีๆอยู่มากมาย
ไม่ต้องไปเทียบที่ไหนไกล ยกตัวอย่างเช่นเขาเอง เขาไม่ต้องการให้เทียนหยุนจัดกิจกรรมในร้านขายเสื้อผ้า เพราะว่าเขามีค่ายกลรวบรวมโชคลาภ ดังนั้นเทียนหยุนจึงไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านี้เลย
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในมุมมองปกติ จุดประสงค์ของการจัดกิจกรรมต่างๆนั้นก็คือการเพิ่มยอดขายของร้านค้า แต่ในทางกลับกัน มันก็คือการเพิ่มความนิยมของร้านค้าด้วย ซึ่งฉินหยุนได้เพิกเฉยต่อสิ่งนี้ไป
ร้านเสื้อผ้าจวินชิงจัดกิจกรรมจับรางวัลแจกรถยนต์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและรางวัลอื่นๆ ซึ่งก็ได้เชิญนักรีวิวชื่อดังหลายคนมาช่วยโปรโมตร้าน คาดว่าในช่วงนั้นชื่อเสียงของร้านเสื้อผ้าจวินชิงแห่งเดียวอาจจะมากกว่าร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนรวมกันหลายร้านเสียอีก
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหยุนก็มองไปที่จ้าวเทียนเฉียงพลางกล่าวว่า "ผู้จัดการจ้าว เดี๋ยวคุณลองจัดทำแผนเฉพาะแล้วช่วยส่งมาให้ผมหน่อยนะ ผมจะตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที"
บางแผนการสามารถเริ่มดำเนินการได้แล้ว แต่แผนการบางส่วนยังต้องรออีกสักระยะหนึ่ง
"ได้ครับ" จ้าวเทียนเฉียงพยักหน้า
เมื่อเห็นว่าฉินหยุนไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"ไปกันเถอะ เราไปดูโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ากัน"
จากนั้นฉินหยุนและจ้าวเทียนเฉียงก็ออกจากที่นี่ทันที
...
เมืองจินหลิง โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเทียนหยุน
"บอสฉิน ผู้จัดการจ้าว" เมื่อได้เห็นฉินหยุนกับจ้าวเทียนเฉียงมาที่นี่ ชายวัยกลางที่เส้นผมด้านหน้าเริ่มหายไปเล็กน้อยก็เอ่ยทักทายพวกเขาอย่างรวดเร็ว
นี่คือจูจื้อหยง ผู้อำนวยการของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเทียนหยุนในเมืองจินหลิงแห่งนี้
จูจื้อหยงเคยเปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของตัวเองมาก่อน แต่ก็ต้องปิดกิจการลงเนื่องจากการจัดการที่ไม่ดี ครั้งนี้เมื่อโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเทียนหยุนเปิดขึ้นและหลังจากการสัมภาษณ์เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแลที่นี่
ความสามารถของเขายังแข็งแกร่งมาก ซึ่งเขาก็จัดการโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากนี้ เขายังได้รับสมัครผู้มีความสามารถด้านการออกแบบเสื้อผ้าหลายคนที่เคยทำงานในแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังให้มาทำงานที่นี่
"ผู้อำนวยการจู การรับสมัครดีไซน์เนอร์เป็นยังไงบ้าง?" ฉินหยุนเอ่ยถาม
จูจื้อหยงตอบว่า "บอสฉินครับ ตำแหน่งอื่นๆได้รับการคัดเลือกมาครบแล้ว ก่อนหน้านี้เราได้ติดต่อดีไซน์เนอร์ที่ชื่อซุนเซียงไป เธอเป็นดีไซน์เนอร์ที่ฝีมือดีมาก เคยทำงานอยู่ที่ยูนิโคล่มาก่อน แต่เรื่องเงินเดือนยังไม่ได้รับการตกลงกันครับ"
สำหรับดีไซน์เนอร์ในโรงงาน ฉินหยุนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงบอกกับจูจื้อหยงว่าหากมีผู้ที่มาสมัครงานฝีมือดี พวกเขาจะถูกรับเลือกไปที่โรงงานทันที
เขาไม่กลัวว่าจะมีคนที่มีพรสวรรค์มากเกินไป แต่เขากลัวว่าจะหาไม่พบเลยสักคนมากกว่า
"โอ้? แล้วเธอต้องการเงินเดือนเท่าไร?" ฉินหยุนเอ่ยถาม
จูจื้อหยงหยุดไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า "เธอต้องการเงินเดือน 4,000 หยวน มากกว่าฐานเงินเดือนที่เราตั้งไว้ครับ"
"ค่อนข้างมากเลย"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินหยุนก็กล่าวว่า "บอกเธอว่า ถ้าเสื้อผ้าที่เธอออกแบบสามารถขายได้มากกว่าดีไซน์เนอร์คนอื่นๆ โดยเฉลี่ย 50% ผมก็จะตกลงกับเงินเดือนที่เธอขอมา แต่ถ้าไม่ เธอก็จะได้เท่ากับฐานเงินเดือนที่ทางโรงงานตั้งไว้ ถ้าเธอเห็นด้วยกับเรื่องนี้ คุณก็ลองให้เธอเข้ามาทำงานในโรงงานก่อนได้"
ถ้ามีพรสวรรค์ ฉินหยุนก็เต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มให้อีกเล็กน้อย ถึงอย่างไรมันก็เป็นจำนวนที่น้อยกว่าเงินเดือนหนึ่งเดือนของพนักงานทั่วไปในร้านขายเสื้อผ้าอยู่ดี
เป็นเรื่องยากที่จะหาดีไซน์เนอร์ฝีมือดีสักคน ซึ่งเสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์คนอื่นๆ ก็ยากที่จะดึงดูดสายตาผู้คนได้อย่างดีไซน์ของโจวซินหยา
แม้ว่าเขาจะมีค่ายกลรวบรวมโชคลาภที่ทำให้สามารถขายเสื้อผ้าในร้านได้ทุกแบบทุกดีไซน์ แต่ก็ยังมีความแตกต่างอย่างชัดเจนของดีไซน์เสื้อผ้าที่ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ที่แตกต่างกัน
"ได้ครับ" จูจื้อหยงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
...
ออกจากโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า จ้าวเทียนเฉียงก็ตรงไปทำงานต่อ และจู่ๆฉินหยุนก็ได้รับโทรศัพท์จากจ้าวเหมย แม่ของเขา
"แม่บอกว่าอยากจะมาที่จินหลิงพร้อมกับพ่อและก็ลุงรองงั้นเหรอ?" ฉินหยุนถามด้วยความประหลาดใจ
"ใช่แล้วเสี่ยวหยุน ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องที่บ้านนะ ตอนนี้พี่ใหญ่ของลูกจัดการทุกอย่างได้ดีมาก ดังนั้นพ่อกับแม่ก็เลยว่าจะไปเยี่ยมลูกที่จินหลิงน่ะ" จ้าวเหมยกล่าวที่ปลายสายด้วยรอยยิ้ม
ช่วงนี้จ้าวเหมยไม่มีอะไรให้ทำแล้วจริงๆ ทุกวันนี้เธออารมณ์ดีและมีความสุขมาก
ไม่ว่าจะเป็นฉินหยุน ฉินซวน หรือฉินลู่ ต่างก็ไม่ต้องการให้พ่อกับแม่ของพวกเขาที่ทำงานหนักมาเกือบครึ่งชีวิตต้องเหน็ดเหนื่อยอีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะเกลี้ยกล่อมให้พ่อกับแม่ไปพักผ่อนมากขึ้น
ก่อนที่ร้านขายเสื้อผ้าสาขาใหม่ๆจะเปิดขึ้น จ้าวเหมยก็ยุ่งอยู่กับร้านขายเสื้อผ้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน และหลังจากที่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเปิด เธอก็เข้าไปยุ่งอยู่ในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าอีกครั้ง แต่จากนั้นเธอก็ค่อยๆคิดถึงเรื่องหยุดพัก
ตอนนี้เธอไม่มีอะไรให้ทำแล้ว บางครั้งเธอก็จะไปเดินเล่นรอบๆร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนและโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าอย่างผ่อนคลาย
แน่นอนว่าฉินหยุน ฉินซวน ฉินลู่ มีความสุขมากที่ได้เห็นเช่นนี้
"ลูกกับพี่รองของลูกต่างก็อยู่ในเมืองจินหลิงเหมือนกัน ตอนนี้พ่อกับแม่ก็ไม่มีอะไรให้ทำพอดี หลังจากที่เราคุยกันแล้ว เราแค่อยากจะไปดูว่าชีวิตของลูกเป็นยังไงบ้าง" จ้าวเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผ่านมาสองเดือนแล้วที่ฉินหยุนกลับบ้านครั้งล่าสุดในวันชาติ
"นอกจากนี้ ลุงรองของลูกก็เป็นห่วงเสี่ยวเสวี่ยด้วย เขาเลยวางแผนว่าจะไปกับเราเช่นกัน"
จ้าวตงเสวี่ยไม่ได้เรียนต่อหลังจากที่จบชั้นมัธยมต้นปีที่ 3 และเธอก็เข้าไปทำงานที่อู๋ซื่อทันที เธอมาอยู่ที่จินหลิงได้ไม่นานนักก่อนที่เธอจะไปทำงานที่ร้านของฉินหยุน
และตั้งแต่ที่เธอมาที่จินหลิง เธอก็ไม่เคยกลับบ้านเลยสักครั้ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ลุงรองจะกังวลเกี่ยวกับเธอ
เมื่อได้ยินคำกล่าวของจ้าวเหมย ฉินหยุนก็ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ เขายิ้มพลางกล่าวว่า "ถ้าจะมาที่นี่ แม่กับพ่อและลุงรองก็เรียกแท็กซี่นั่งมานะ อย่าขึ้นรถไฟ"
แม้ว่าการเดินทางมาด้วยรถไฟมันจะราคาถูก แต่การซื้อตั๋วและขั้นตอนต่างๆนั้นซับซ้อนมากสำหรับฉินกั๋วตงและจ้าวเหมย แถมระยะเวลาในการเดินทางก็ใช้เวลานานมาก
ด้วยนิสัยที่ชอบประหยัดของพ่อกับแม่ของเขา พวกเขาอาจจะมาที่นี่ด้วยการนั่งรถไฟก็เป็นได้
"แม่รู้แล้ว พี่ใหญ่ของลูกเรียกแท็กซี่ให้พวกเราแล้ว"
จ้าวเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม "แม่จะไปบ้านลุงรองของลูกก่อน พอรับเขาแล้วก็ค่อยไปหาลูกที่จินหลิง"
(จบตอน)
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved