"สำหรับเรื่องหุ้น ถ้าทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งอะไร ตามสัดส่วนของเงินลงทุนของแต่ละคน เงินทุนทั้งหมดของเราคือ 850,000 หยวน ซึ่งฉินหยุนลงทุนไป 400,000 หยวน คิดเป็นหุ้น 47% ของหุ้นทั้งหมด ส่วนฉัน…" หูกงหรงกล่าวแจกแจงออกมา
ยิ่งคุณลงทุนมากเท่าไร คุณก็จะได้ถือหุ้นมากเท่านั้น และถ้าในอนาคตธุรกิจทำกำไรได้คุณก็จะได้เงินมากขึ้นเช่นกัน แต่ถ้ามันขาดทุน คุณก็จะเป็นคนที่แบกรับความเสี่ยงมากที่สุด
"สำหรับส่วนแบ่งของผู้ถือหุ้น ก่อนหน้านี้ฉันพูดไปแล้วว่าร้านหม้อไฟของเราจะดำเนินกิจการแบบหน้าร้าน ดังนั้นมันจึงประกอบด้วยหุ้นสามส่วน หุ้นเงินทุนคิดเป็น 60% หุ้นทักษะความสามารถคิดเป็น 30% และหุ้นกำลังคนคิดเป็น 10%"
แม้จะลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่ากัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าส่วนแบ่งที่แต่ละคนได้รับจะเป็นจำนวนเท่ากัน
ในการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกัน สถานการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นอยู่เสมอ หนึ่งคือหุ้นส่วนที่ไม่เข้ามาดูแลจัดการหลังจากที่ลงทุนด้วยเงิน และอีกหนึ่งคือหุ้นส่วนที่ลงทุนด้วยเงินและมาช่วยดูแลกิจการ อย่างหลังไม่เพียงแต่ลงทุนด้วยเงินเท่านั้นแต่เขายังลงแรงของตนเองอีกด้วย
อีกสถานการณ์หนึ่งคือผู้ถือหุ้นแต่ละคนได้ลงทุนทั้งเงินทุนและแรงกายเหมือนกัน แต่ความสามารถของพวกเขาแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแบ่งผลตอบแทนตามเงินลงทุนของแต่ละคน
นี่เป็นปัญหาในทางปฏิบัติที่ทุกๆบริษัทต้องแก้ไข หากไม่แก้ไขอย่างเหมาะสมก็อาจจะทำให้เกิดการกระจายหุ้นที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมเหตุสมผล ซึ่งจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นส่วนและความกระตือรือร้นของผู้ถือหุ้น
กระทั่งส่งผลต่อการพัฒนาองค์กรธุรกิจของผู้ก่อตั้งบริษัท และอาจมีบางส่วนทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างหุ้นส่วน จนนำไปสู่การแยกทางในที่สุด
ยกตัวอย่างร้านหม้อไฟแห่งนี้ที่มีเงินลงทุนรวม 850,000 หยวน ฉินหยุนลงทุนด้วยเงิน 400,000 หยวน ซึ่งถือว่าเขาเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด
แต่เบสน้ำซุปของร้านหม้อไฟนั้นจัดหาโดยหยูเล่อเหยา และหูกงหรงก็มีความสามารถในการบริหารจัดการที่แข็งแกร่งที่สุด...
เมื่อมองไปที่ทุกคน หูกงหรงก็กล่าวต่อ "หุ้นเงินทุนนั้นตายตัวอยู่แล้ว สำหรับหุ้นกำลังคน สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของทุกคนในร้านหม้อไฟและอื่นๆอีกนิดหน่อย ตอนนี้มันยังเป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆ"
"ตามการปรับเปลี่ยนชั่วคราว ฉินหยุนถือหุ้นอยู่ 30% และหยูเล่อเหยาที่เป็นผู้จัดหาเบสน้ำซุปหม้อไฟจะถือหุ้นอยู่ที่ 19%"
หยูเล่อเหยาไม่ได้ลงทุนด้วยเงินมากนัก แต่สำหรับร้านหม้อไฟ เบสน้ำซุปหม้อไฟมีความสำคัญมาก และด้วยเบสน้ำซุปเพียงอย่างเดียวทำให้เธอสามารถได้รับหุ้นถึง 19% ของร้าน ซึ่งก็ไม่มีใครโต้แย้งในประเด็นนี้
"นอกจากนี้ หุ้นของฉันคิดเป็น 25% ของเว่ยซินคิดเป็น 10% หลินอวี่คิดเป็น 8% และหวังอวี่เฉินคิดเป็น 8%"
"นี่คือสัญญาเข้าหุ้นส่วนที่ฉันทำขึ้นคร่าวๆตอนนี้" หูกงหรงกล่าว
"หลังจากที่ร้านหม้อไฟเปิดขึ้น คนทั้งหกจำเป็นต้องพูดคุยร่วมกันเพื่อตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญต่างๆ หุ้นเป็นเพียงเงินปันผลเท่านั้น ไม่ใช่อย่างอื่น เฉพาะเมื่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมกันเกิน 51% เท่านั้นถึงจะสามารถตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ได้"
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ทั้งฉินหยุนและหยูเล่อเหยามาจากมหาลัยเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต้องดีอย่างแน่นอน ซึ่งหลินอวี่และหวังอวี่เฉินก็อยู่มหาลัยเดียวกัน เช่นเดียวกับหูกงหรงและเว่ยซิน
ทั้งหกคนถือได้ว่าแบ่งเป็นสามส่วน
ฉินหยุนเป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุด แต่ส่วนของเขาและหยูเล่อเหยารวมกันแล้วคือ 49% ซึ่งยังไม่เกิน 50% นี่คือความตั้งใจของหูกงหรง
กล่าวคือ หากฉินหยุนและหยูเล่อเหยาตัดสินใจจะทำเรื่องสำคัญใดๆ พวกเขาก็จะต้องได้รับความยินยอมจากคนใดคนหนึ่งในพวกเธอทั้งสี่คนก่อน จึงจะสามารถดำเนินการตัดสินใจได้
กลับกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งในสี่คนนี้ไม่เห็นด้วย พวกเขาทั้งสี่คนก็ต้องรวมเสียงกันเพื่อให้มีหุ้นมากกว่า 50% ถึงจะมีอำนาจควบคุมอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่าการรวมหุ้นกันของฉินหยุนนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดและหูกงหรงผู้จัดการร้านหม้อไฟก็สามารถมีอำนาจควบคุมได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน
"สิ่งเหล่านี้ในข้อตกลงยังเป็นเรื่องชั่วคราวอยู่ และส่วนแบ่งของผู้ถือหุ้นจะถูกปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องตามการมีส่วนร่วมของทุกคนในร้านหม้อไฟ" หูกงหรงกล่าวเสริม
ทุกคนพยักหน้า ฉินหยุนก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เขาเอาตัวเข้ามาในร้านหม้อไฟแห่งนี้ได้ครึ่งทางแล้ว และส่วนแบ่งของผู้ถือหุ้นก็สมเหตุสมผลมากเช่นกัน
อันที่จริงที่เขาลงทุนในร้านหม้อไฟก็เพื่อทดลองความสามารถในการลงทุนของเขาเท่านั้น ซึ่งเขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะสร้างผลกำไรให้เขามากนัก และเขาก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับอำนาจอะไร ท้ายที่สุดเดือนหน้าร้านขายเสื้อผ้าของเขาก็จะสามารถสร้างกำไรให้เขาได้อย่างน้อยสิบล้าน!
"นอกจากนี้ หลังจากร้านหม้อไฟเปิดขึ้นและถ้าหากทำกำไรได้ กำไรอย่างน้อย 30% จะถูกใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของร้านหม้อไฟ ส่วนที่เหลือจะแบ่งตามหุ้นของแต่ละคน"
"แต่เรามาพูดเรื่องไม่น่าฟังกันก่อน ทุกคนต่างก็หวังว่าร้านหม้อไฟของเราจะไปได้ดี ฉันหวังว่าทุกคนจะไม่เอาเปรียบและทำเรื่องตุกติกอะไร ถึงตอนนี้จะเป็นการเอาเงินมาลงทุน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลงแค่เงินและรอปันผลอย่างเดียว ไม่ลงแรงอะไรช่วยเลย ถ้าเป็นอย่างนี้คนอื่นๆก็มีสิทธิ์ที่จะให้คนๆนั้นถอนหุ้นออกไปได้โดยตรง"
"และถ้าเกิดว่ามีคนตัดสินใจต้องการถอนตัวกะทันหัน เงินทุนก็จะถูกมอบคืนและเงินปันผลจะถูกแจกจ่ายให้ตามสัดส่วน ส่วนคนที่เหลือก็ค่อยคุยกันเรื่องหุ้นของคนๆนั้นอีกที..."
"ถ้าอยากลงทุนและขอหุ้นเพิ่ม ทุกคนก็สามารถพูดคุยกับคนอื่นๆได้..."
หูกงหรงยังคงกล่าวถึงสิ่งต่างๆออกมาอย่างละเอียดมาก เห็นได้ชัดว่าสองสามวันที่ผ่านมาเธอคิดเรื่องเหล่านี้มาเป็นอย่างดี
ในเรื่องนี้ ทุกคนก็ค่อยๆหยิบยกข้อเสนอแนะของตนเองขึ้นมา และข้อตกลงในสัญญาก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดทุกคนก็แยกย้ายกันจากไป
"พี่สาวหูนี่เก่งมากจริงๆ เธอรู้วิธีบริหารร้านหม้อไฟและวิธีจัดการสิ่งต่างๆด้วย ตอนนี้ข้อตกลงในสัญญาก็ดีขึ้นมากเลย" หยูเล่อเหยากล่าวพลางถอนหายใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินหยุนก็ยิ้มและพูดว่า "หลังจากร้านหม้อไฟเปิดแล้ว เดี๋ยวเธอก็จะได้จัดการกับมันอย่างแน่นอน"
"ไม่เอาอะ ฉันขี้เกียจ" หยูเล่อเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม "ฉันชอบศึกษาแต่พวกเครื่องเทศและเครื่องปรุงต่างๆ ฉันไม่ได้สนใจอยากจะทำธุรกิจมากนัก"
"ยังไงก็เถอะฉินหยุน ร้านขายเสื้อผ้าของนายเป็นไงบ้าง"
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามฉินหยุน
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง
...
หลังจากนั้นกระบวนการต่างๆของร้านหม้อไฟก็ยังคงดำเนินต่อไป และคนสองสามคนในหอพักของฉินหยุนก็แวะไปที่ต่างๆเพื่อแจกใบปลิวโปรโมทร้าน
สามวันต่อมา ฉินหยุนมาที่อาคารสำนักงานของบริษัทเทียนหยุน
ในแผนกการเงิน หลินเยว่ซานกำลังจัดการกับงานของตัวเองอยู่ ตอนนี้เธอรู้สึกดีมากในการทำงานที่นี่ ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่เหมือนบริษัทก่อนหน้าของเธอที่มีคนคอยเจ้ากี้เจ้าการอยู่ทุกที่ และพวกเขาก็มักจะปัดความรับผิดชอบกันไปมา เมื่อมีบางอย่างผิดพลาดเกิดขึ้น
ในขณะที่กำลังยุ่งอยู่ หลินเยว่ซานก็ได้รับสายโทรศัพท์จากฉินหยุน
"บอสฉินคะ"
หลินเยว่ซานมาที่ห้องทำงานของประธานและเอ่ยด้วยความเคารพ
"อาการน้องสาวของหลิวซินเป็นยังไงบ้าง?" ฉินหยุนถามขณะที่มองไปที่หลินเยว่ซาน
แผนกการกุศลของเทียนหยุนก่อตั้งขึ้นแล้ว และผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือคนแรกก็คือน้องสาวของหลิวซิน
ก่อนหน้านี้เขาก็เจอหลิวซินในหอพักเช่นกัน แต่เขาไม่ได้ถามอะไรมาก
หลินเยว่ซานคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า "ตอนนี้อาการป่วยของหลิวตันสามารถควบคุมได้แล้วค่ะ ด้วยการรักษาตามปกติ มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะฟื้นตัวโดยเร็ว"
ฉินหยุนพยักหน้าจากนั้นก็ปล่อยให้หลินเยว่ซานออกไปโดยไม่ได้ถามอะไรอีก
มองไปที่เอกสารในมือของเขา ฉินหยุนคิดอย่างเงียบๆ
"เทียนหยุนกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มีหานลู่เป็นศัตรูหลักและก็มีศัตรูที่ซุ่มซ่อนอยู่อีกมากมาย"
โลกธุรกิจก็เป็นเช่นนี้ ธุรกิจของเขาดี แต่ธุรกิจของร้านค้าอื่นๆแย่ คาดว่ามีหลายคนแน่นอนที่เกลียดชังเทียนหยุน
แต่ฉินหยุนจะไม่ทำให้ตัวเองใจอ่อนเด็ดขาด บริษัทชั้นนำแห่งใดบ้างที่พัฒนาขึ้นโดยไม่ต้องเหยียบย่ำบริษัทของคนอื่นๆ?
"ดังนั้น ต้องใช้ความสัมพันธ์ของมหาลัยเป็นตัวช่วย" ฉินหยุนคิดเงียบๆ
เขาไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงมีความกังวลเล็กน้อยอยู่ในใจเสมอ เขามักจะรู้สึกว่าเขามองข้ามบางสิ่งไป ในเวลานี้ราวกับว่ามีอันตรายที่ร้ายแรงซ่อนอยู่ในเทียนหยุน และแม้ว่าเขาจะตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ แต่เขาก็คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร
และเนื่องจากเขายังคิดไม่ออก เขาจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเกราะของเทียนหยุน
ตอนนี้เทียนหยุนถือว่าสร้างรากฐานในจินหลิงได้แล้ว และแม้แต่หานลู่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อทางมหาลัยเจียงหยวนได้ทราบข่าวนี้พวกเขาจะต้องยินดีให้การสนับสนุนเทียนหยุนแน่นอน
(จบตอน)
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved