ตอนที่ 136 ซื้อร้านค้าทั้งหมดด้วยเงินสด

"คำพูดปากเปล่าใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ ฉินหยุน ฉันว่าเรามาทำสัญญากันดีกว่า" จั่วหานยิ้มพลางกล่าวออกมา

ในความคิดของเขา ดูเหมือนในขณะนี้ฉินหยุนกำลังตื่นตระหนกด้วยความโกรธ

ร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนต้องการให้แบรนด์เสื้อผ้าหานลู่ปิดตัวลง? นี่ถือเป็นเรื่องตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีเลยทีเดียว

เขากังวลนิดหน่อยว่าฉินหยุนจะเปลี่ยนใจ

แน่นอนว่าฉินหยุนยอมลงนามในสัญญา

"เอาล่ะ ฉินหยุน ไว้เราเจอกันอีกครั้งหลังจากที่ข้อตกลงทั้งหมดเสร็จสิ้น" จั่วหานยิ้ม

หลังจากที่เขากล่าวจบ เขาก็ออกจากที่นี่ทันที แต่ชายวัย 50 ปีคนหนึ่งกลับเดินไปหาฉินหยุนและกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า "บอสฉิน ช่วงนี้ธุรกิจเป็นยังไงบ้าง"

"ก็ใช้ได้" ฉินหยุนมองไปที่ชายคนนั้นแล้วกล่าวออกมาอย่างใจเย็น

ชายคนนี้เป็นเจ้าของที่ที่ร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนของเขาตั้งอยู่

เมื่อพวกเขากลับมาถึงร้านเสื้อผ้าเทียนหยุน ขณะที่มองดูไปรอบๆ จู่ๆฉินหยุนก็ถามว่าขึ้นว่า "บอสหลิว ถ้าผมไม่ต้องการเช่าที่ที่ร้านขายเสื้อผ้าตั้งอยู่ตอนนี้ คุณจะคืนค่าเช่าให้ผมได้เท่าไร?"

พื้นที่ที่ร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนตั้งอยู่แห่งนี้ มีขนาด 230 ตารางเมตร เขาจ่ายค่าเช่า 450,000 หยวนต่อปี โดยเฉลี่ยแล้วก็ประมาณเดือนละ 40,000 หยวน

"ฮ่าๆ บอสฉิน คุณทำสัญญาเช่าไว้หนึ่งปี แม้ว่าคุณจะไม่ต้องการเช่าต่อ ผมก็จะไม่คืนค่าเช่าใดๆให้ทั้งสิ้น คุณสามารถหาคนอื่นที่ยินดีมาต่อสัญญาเช่าได้"

เมื่อได้ยินที่ฉินหยุนเอ่ยถาม บอสหลิวก็ส่ายหัวทันที

เจ้าของที่ดินแซ่หลิวกล่าวโดยไม่ได้คิดเลยว่า "แถมเราได้ลงนามในสัญญาที่ห้ามละเมิดข้อตกลงแล้วด้วย แม้ว่าคุณจะยื่นฟ้องต่อศาล ผมก็สามารถค่อยๆสู้กับคุณไปเรื่อยๆได้"

เขากล่าวด้วยรอยยิ้มโดยที่ไม่ได้มีความกังวลอะไรเลย

ใบหน้าของฉินหยุนยิ่งมืดมนขึ้นไปอีกเมื่อเขาได้ยินเรื่องสัญญาที่ห้ามละเมิดข้อตกลง

ในอดีต ซุนหยาตงเคยเรียกเก็บค่าเช่าสูงเสียดฟ้ากับเขา แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไม่ได้เป็นฝ่ายแพ้ แต่เขาก็ได้เรียนรู้บทเรียนบางอย่างมาเช่นกัน

ด้วยค่ายกลรวบรวมโชคลาภของเขา ธุรกิจร้านขายเสื้อผ้าของเขาก็จะเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าของที่เหล่านั้นอาจจะมีความคิดที่คล้ายๆกันกับซุนหยาตงก็เป็นได้

ดังนั้นเมื่อตอนที่เขาลงนามในสัญญาเช่า เขาจึงเตรียมสัญญาห้ามละเมิดข้อตกลงไว้ด้วย หากเจ้าของที่เปลี่ยนใจอย่างกระทันหันในระหว่างการปล่อยให้เช่าร้านและต้องการที่จะเป็นฝ่ายเอาร้านค้าคืน เขาจะต้องชดเชยผลการขาดทุนของฝั่งผู้เช่า ซึ่งต้องชดเชยค่าเสียหายหลายเท่าเลย

แต่มันก็เป็นข้อตกลงร่วมกัน เมื่อฝั่งผู้เช่าละเมิดข้อตกลง เขาก็จะต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนมากเช่นกัน

และข้อตกลงที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้ มันกลับกลายเป็นผลกระทบต่อเขาเสียอย่างนั้น

ในไม่ช้าเจ้าของที่ก็จากไป ซึ่งจ้าวเทียนเฉียงก็เข้ามาหาฉินหยุนด้วยสีหน้าท่าทางที่โมโห เขากล่าวว่า "บอสฉินครับ ผมว่าเจ้าของที่คนนี้ต้องอยู่ฝ่ายจั่วหานด้วยแน่นอน"

"ผมรู้แล้ว" ฉินหยุนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงบ

สิ่งที่เขากล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ คือการจงใจเอ่ยถามเจ้าของที่

ในขณะนี้แบรนด์เสื้อผ้าหานลู่กำลังเล่นใหญ่มาก พวกเขาเปิดร้านใกล้ๆกับร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนทั้ง 3 สาขาใหญ่ ทั้งดีไซน์และสไตล์ของร้านก็ล้วนเลียนแบบมาจากร้านเสื้อผ้าเทียนหยุน ที่สำคัญราคาก็ยังถูกกว่า

ในเรื่องนี้ อันที่จริงฉินหยุนสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ นั่นก็คือการเปิดร้านขายเสื้อผ้าในที่แห่งอื่น

แต่อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงการเช่าร้านได้รับการลงนามไว้เรียบร้อยแล้ว และจะใช้เวลาอีกอย่างน้อยครึ่งปีจนกว่าอายุสัญญาจะหมดลง หากเขาออกก่อนกำหนดก็จะถือว่าเป็นการผิดสัญญา

เจ้าของที่และจั่วหานจะต้องทำข้อตกลงบางอย่างด้วยกันอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยให้เขาจากไปง่ายๆเลย

เว้นแต่ว่าเขาจะไม่ต้องการเงินค่าเช่าหลายแสนที่จ่ายไปก่อนหน้านี้

มันไม่ง่ายเลยที่จะหาคนมาเซ้งร้านต่อ เช่นเดียวกับเจ้าอ้วนหวังก่อนหน้านี้ อาจจะไม่มีใครยอมเสียเวลารอนานเช่นเขาอีกแล้ว

เมื่อเขาเป็นฝ่ายทำผิดสัญญาจริงๆ ฉินหยุนจะต้องสูญเสียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

นอกจากนี้ ในมุมมองของจั่วหานและคนอื่นๆ แม้ว่าเขาจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่อื่นได้ สิ่งแรกที่พวกเขาจะคิดก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าธุรกิจจะดีเหมือนเดิม? เมื่อสถานที่แห่งหนึ่งเป็นที่นิยมต่อลูกค้า อีกสถานที่ก็อาจจะไม่เป็นที่นิยมก็ได้

อีกหนึ่งประการ แม้ว่าธุรกิจของเขาจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง แต่แบรนด์เสื้อผ้าหานลู่ก็มีเงินทุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจจะเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่พวกเขาจะตามไปเปิดร้านค้ารอบๆร้านเสื้อผ้าเทียนหยุน และใช้วิธีเดิมเพื่อขัดขวางเขาอีกครั้ง

แล้วหลังจากนั้นล่ะ ฉินหยุนจะไปเปิดร้านที่ที่สามโดยที่ยอมสูญเสียค่าเช่าเปล่าๆอีกครั้ง?

เช่นนี้มันก็ไม่แตกต่างจากเดิมเลย

ดังนั้นในความเห็นของคนอื่นๆ ฉินหยุนที่เริ่มต้นทุกอย่างขึ้นจากศูนย์เขาจะต้องมีเงินทุนไม่เพียงพอแน่นอนภายใต้การปราบปรามของแบรนด์เสื้อผ้าหานลู่ในลักษณะนี้ เขาไม่มีโอกาสที่จะชนะได้เลย และมันจะเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่เขาจะประกาศคำว่ายอมแพ้ออกมาว่า

‘ตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี?’

ฉินหยุนกล่าวอย่างเงียบๆอยู่ภายในใจ เขาพยายามยืดความคิดของเขาออกไป

‘ตอนนี้ร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนและร้านเสื้อผ้าหานลู่ ต่างก็มีลูกค้าอยู่ภายในร้านกันอย่างหนาแน่น แต่ด้วยค่ายกลรวบรวมโชคลาภ ลูกค้าที่เข้ามาในร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนนั้นเป็นลูกค้าจริงๆ ในขณะที่ลูกค้าในร้านเสื้อผ้าหานลู่นั้นถูกจ้างมา ถ้าสู้กันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ ฉันก็ไม่ได้เสียอะไรมาก ไม่ได้ขาดทุนเลยด้วยซ้ำ แถมฉันยังสามารถหาเงินได้อีกเล็กน้อย แต่การสูญเสียของร้านเสื้อผ้าหานลู่นั้นจะมหาศาลมาก’

อันที่จริงในขณะนี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเป็นอันตรายมาก แต่ฉินหยุนไม่ได้รู้สึกถึงความกังวลใดๆเลย

เขามีค่ายกลรวบรวมโชคลาภ ไม่ว่าเขาจะถูกปิดล้อมหรือปราบปรามอย่างไร เขาก็ยังจะทำเงินได้อย่างแน่นอน

อย่างมากสุดก็ฝืนไปจนกว่าจะหมดสัญญาเช่า แล้วค่อยเปลี่ยนไปเปิดร้านที่อื่นแทน

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ร้านเสื้อผ้าของแบรนด์เสื้อผ้าหานลู่ไม่สามารถสะกดข่มเขาไว้ได้เลย

‘แต่เรื่องที่ตั้งร้านค้าก็เป็นจุดอ่อนของฉันอยู่เสมอเลย ถ้าแก้ไขมันได้ ฉันก็จะถือว่าอยู่ยงคงกระพัน!’

เขาเป็นฝ่ายเช่าที่ตั้งร้านค้า และความคิดสกปรกต่างๆก็มักจะเป็นฝ่ายเจ้าของที่ที่เริ่มก่อนอยู่เสมอ

ถ้าเขาอยากจะยกเลิก เขาก็จะเป็นฝ่ายที่ผิดสัญญา และเจ้าของที่ก็จะไม่คืนเงินค่าเช่าให้ เรื่องนี้มันก็ตลกนิดหน่อย แม้ว่าเขาจะเรียกตำรวจมาและยื่นฟ้องต่อศาลมันก็คงจะกินเวลาไปหลายเดือนเลย

มีความเป็นไปได้อีกอย่างที่หากเขาไม่ต้องการจะยกเลิกสัญญา เจ้าของที่ก็จะเป็นฝ่ายผิดสัญญาเองและขอให้เขาย้ายออกไปโดยตรง

สุดท้ายร้านค้าแห่งนี้ก็เป็นที่ของเจ้าของที่ ซึ่งอย่างมากที่สุดเจ้าของที่ก็อาจจะแค่จ่ายค่าเสียหายบางส่วนให้กับเขาเท่านั้น

แม้ว่าเขาสามารถเลือกที่จะเปิดร้านต่อไปได้หากเจ้าของที่ละเมิดข้อตกลงกันจริงๆ แต่เจ้าของที่ก็จะพาญาติของเขามาที่ร้านค้าอยู่เป็นระยะๆ และทำตัวรบกวนส่งเสียงดังอยู่ในร้านของเขา ถึงเขาจะโทรแจ้งตำรวจไปก็เท่านั้น ทางตำรวจก็จะแค่เกลี้ยกล่อมพวกเขาและปล่อยให้พวกเขาจัดการแก้ปัญหากันเอาเอง

ถ้าหากมีการส่งเสียงดังโวยวายอยู่ภายในร้านค้า มันก็จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในร้านอย่างแน่นอน

ท้ายที่สุดแล้วมีใครบ้างที่อยากซื้อเสื้อผ้าในร้านขายเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสียงดังรบกวนอยู่ตลอดล่ะ?

ซึ่งร้านค้าก็ไม่ใช่ของเขาเอง และโดยพื้นฐานแล้วเขาก็ทำอะไรกับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลย

แถมตอนนี้ทั้งจั่วหานกับเจ้าของที่ต่างก็ร่วมมือกันเพื่อจัดการกับเขา

แม้ว่าฉินหยุนจะไม่ได้กังวล แต่ตอนนี้ร้านเสื้อผ้าหานลู่ก็มีเงินทุนอยู่เยอะมาก ซึ่งเขาก็ยังไม่รู้ว่าต่อไปอีกฝ่ายจะทำเรื่องอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงต้องกำจัดจุดอ่อนนี้ออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียเปรียบ

‘ถ้าฉันต้องการแก้ปัญหานี้ ฉันก็ต้องสร้างร้านค้าที่เป็นของฉันเองโดยสมบูรณ์ แต่ถ้าฉันต้องการจะสร้างร้านของตัวเอง ฉันก็ต้องใช้เงินทั้งหมดที่มีเพื่อซื้อมัน’ ฉินหยุนคิดอย่างเงียบๆอยู่ภายในใจของเขา

เขาคิดจะซื้อที่ตั้งของร้านค้าโดยจ่ายด้วยเงินสดเต็มจำนวน แต่แค่คิดก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยแล้ว

อันที่จริงฉินหยุนรู้ข้อบกพร่องของตัวเองมานานแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยซุนหยาตงก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ

ธุรกิจของร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนจะเฟื่องฟูในทุกที่ที่ไปเปิดร้าน และเจ้าของที่บางคนจะต้องมีความคิดบางอย่างเหมือนกับซุนหยาตงแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ที่จินหลิงเป็นสถานที่ที่ที่ดินทุกตารางนิ้วมีราคาแพงมาก และร้านค้าทั้งหมดที่เขาเปิดต่างก็ตั้งอยู่ในถนนย่านการค้าที่พลุกพล่านใจกลางเมือง

สถานที่ไหนที่ยิ่งเจริญมาก ค่าเช่าที่ก็จะแพงมากขึ้นด้วย

แม้ว่าเขาจะซื้อแค่ร้านค้าขนาด 40 ตารางเมตรโดยจ่ายด้วยเงินสด เขาก็ยังต้องการเงินอย่างน้อยสองล้านหยวน!

ตอนนี้เขามีร้านค้าขนาด 40 ตารางเมตร 6 ร้านในเมืองจินหลิง และถ้าเขาซื้อที่ด้วยเงินสดทั้งหมด ราคารวมของมันอย่างน้อยก็ 12 ล้านหยวนเลย!

และสำหรับร้านค้าขนาดพื้นที่ 200 ตารางเมตร เขาจะต้องใช้เงินอย่างน้อย 10 ล้านหยวนในการซื้อด้วยเงินสดเต็มจำนวน!

ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เขายังมีร้านค้าที่มีขนาดพื้นที่ 230 ตารางเมตรถึง 2 ร้าน ซึ่งมันมีราคารวมอย่างน้อยก็ 24 ล้านหยวน!

กล่าวคือ ถ้าหากต้องการซื้อร้านค้าทั้ง 9 แห่งของฉินหยุนในเมืองจินหลิงนี้ จะต้องมีเงินถึง 46 ล้านหยวนอยู่ในมือ!

(จบตอน)