ตอนที่ 122

ดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ณ เกาะร้างแห่งหนึ่ง

ภายในส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขากลางเกาะแห่งนี้ ที่นั่นมีโพรงขนาดใหญ่อยู่

ตามกำแพงและพื้นโพรงเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ ทำให้บรรยากาศดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

บนกำแพงเลือดเนื้อนั้นมีสิ่งที่คล้ายกับเส้นเลือดกำลังขยุกขยิกไปมา ตามพื้นเองก็มีการยุบพองอยู่ตลอด

คล้ายกับทั้งโพรงแห่งนี้มีชีวิต

หากว่าคนธรรมดาผ่านมาเห็นฉากนี้เข้า เกรงว่าคงรีบเผ่นหนีไปโดยเร็ว

ที่จุดศูนย์กลางของโพรงแห่งนี้มีแท่นบูชาที่ถูกสร้างจากเลือดเนื้ออยู่

ทางด้านหลังแท่นมีรูปปั้นของสตรีที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน ทั้งรูปปั้นนี้ถูกสลักขึ้นจากคริสตัลสีเลือด

ที่หน้ารูปปั้นนั้นมีชายในชุดคลุมสีแดงกำลังสวดภาวนาด้วยความศรัทธา

ตอนนี้เอง ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นคราหนึ่ง จากนั้นเขาจึงเริ่มไออย่างรุนแรง สุดท้ายจึงฟุบคว่ำไปกับพื้น

วินาทีถัดมา เลือดเนื้อภายในร่างของเขาก็คล้ายมีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง พวกมันผุดยุบขึ้นตามร่างคล้ายกับกำลังเต้นรำ

ชุดคลุมสีแดงของเขาเองก็ยุบพองด้วยเช่นกัน

อาจเป็นเพราะความเจ็บปวดอย่างมหาศาล ร่างกายของเขาจึงสั่นเทา แม้นั้นเขาก็ยังลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าภาวนาด้วยความศรัทธาต่อไป

"พระแม่โลหิตผู้ยิ่งใหญ่ ขอพระองค์ทรงอภัยต่อบาปของลูก ลูกขอสรรเสริญ......พระองค์ผู้เป็นนายเหนือแห่งเลือดเนื้อ....."

หลังจากนั้นพักหนึ่ง เลือดเนื้อภายในร่างของเขาก็สงบลง

สาวกชายยังคงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เหงื่อเย็นที่ผุดออกมาตามร่างได้หยดลงไปบนพื้นที่เป็นเลือดเนื้อของโพรงถ้ำ

หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่สั่นเทา เขาเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ยังหนุ่มและหล่อเหลา สิ่งที่ดูขัดตาเพียงอย่างเดียวก็คือใบหน้าของเขาเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน

เขาก็คือผู้นำสูงสุดของนิกายดอกไม้โลหิต

ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา

"ท่านผู้นำ นิกายสาขาย่อยในทะเลทรายร้อนระอุถูกทำลายไปแล้วครับ"

ซือเจ้อเซิงหันกลับไป ดวงตาของเขาดูว่างเปล่าจนคล้ายกับไม่ใช่ดวงตาของสิ่งมีชีวิต

"ฝีมือของพวกมือปราบ?"

"ยังไม่แน่ใจครับ แต่....เพื่อที่จะทำให้พระองค์พึงพอใจ สาขาย่อยจึงได้ดูดซับเลือดเนื้อของคนทั้งตระกูลหนึ่งในเมืองชิงซง พวกเขาวางแผนจะประกอบพิธีกรรม ซึ่งนั่นคงจะไปดึงดูดความสนใจจากพวกมือปราบเข้า"

"พวกนั้นกระหายเลือดจนกลายเป็นไร้สมองไปแล้ว?!"

ซือเจ้อเซิงกล่าว

ร่างในชุดคลุมนั้นนิ่งเงียบไป

ภายในโพรงถ้ำเกิดความเงียบงันอยู่พักใหญ่ จากนั้นซือเจ้อเซิงจึงค่อยๆพูดขึ้นว่า

"ให้สาขาอื่นๆเก็บตัวก่อน ส่วนเรื่องทะเลทรายร้อนระอุ....ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องไปสนใจทางด้านนั้น"

"ครับ! นอกจากนั้น การเจรจาร่วมมือกับพวกปีศาจก็พร้อมแล้วเรียบร้อยครับ"

ซือเจ้อเซิงพยักหน้า

"งั้นก็เตรียมตัวเดินทาง"

เขาหันกลับไปมองดูรูปปั้นทางด้านหลัง ดวงตาฉายแววศรัทธาอยู่เต็มเปี่ยม

"นี่เป็นก้าวแรกในการต้อนรับพระองค์ พวกเราจะเข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์และมีชีวิตนิรันดร์!"

"สรรเสริญพระแม่โลหิต นายเหนือแห่งเลือดเนื้อทั้งปวง!"

...........................

เช้าวันต่อมา หลินอวี่มีคาบเรียน

หลินอวี่เดินทางไปยังห้องเรียน แต่แทนที่จะไปนั่งเก้าี้เรียน เขากลับเดินไปยืนอยู่ข้างโพเดี่ยม

กลุ่มผู้หญิงที่เปรียบได้กับฝูงหมาป่านั้นน่ากลัวไปแล้ว

หากว่าเขาไปนั่งตรงนั้น พวกผู้หยิงคงเข้ามารุมจนอึดอัดแน่

เป็นคนหน้าตาดีนี่ช่างลำบากจริงๆ

หลินอวี่ได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้

เขาย่อมไม่ไปนั่งเก้าอี้เรียนอีกแล้ว

หลังจากนั้นไม่นาน เล่ยอิ่งจีก็เดินเข้ามาในห้อง

เมื่อเห็นหลินอวี่กำลังอยู่อยู่ข้างโพเดี่ยมด้วยสีหน้าเรียบเฉย มุมปากของเธอก็ยกขึ้นเบาๆ เธอปรายตามองพวกนักศึกษาหญิงที่เอาแต่จ้องมองหลินอวี่

เธอเข้าใจเรื่องราวแล้ว

ในบรรดานักศึกษาภายในคลาส หลินอวี่มีความโดดเด่นเกินไป

เขาทั้งแข็งแกร่ง หล่อเหลา และเป็นสุภาพบุรุษ

ดังนั้นจะดึงดูดความสนใจจากสาวๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เธอเดินไปที่โพเดี่ยม หลังจากกวาดตามองนักศึกษาภายในห้องแล้ว เธอจึงค่อยพูดขึ้นว่า

"วันนี้คลาสเราจะไม่ได้เรียนอยู่ในภายห้อง"

ได้ยินแบบนี้ พวกนักศึกษาก็พากันประหลาดใจ

ฮือฮา

หลายคนเผยสีหน้าที่ดูคาดหวังออกมา

มีเพียงการต่อสู้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถประเมินได้ว่าตนเองอยู่ในระดับไหนแล้ว

ถึงอย่างไรเสีย การเป็นผู้มีพลังพิเศษก็ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการต่อสู้ไปได้ชั่วชีวิต บ้างก็เพื่อความก้าวหน้า บ้างก็เพื่อปกป้อง

ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไปได้

"ศัตรูตามธรรมชาติของนักเวทก็คือนักฆ่า วันนี้อาจารย์ได้ติดต่ออาจารย์จากคลาสเรียนนักฆ่ามา พวกเราจะสู้กับนักฆ่า"

สีหน้าของเล่ยอิ่งจีเผยความเข้มงวดออกมา

"ศักยภาพที่แสดงออกมาในวันนี้จะส่งผลถึงเกรดเทอมนี้ ดังนั้นจงตั้งใจ"

"อะไรนะ?!"

ได้ยินเช่นนี้ นักศึกษาหลายคนก็มีสีหน้าไม่สู้ดี

ล้อกันเล่นรึเปล่า?

มีนักเวทคลาส 1 คลาส 2 จำนวนไม่มากที่มีสกิล 3 ถึง 5 สกิล และส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ได้เรียนรู้สกิลเอาตัวรอดมา

หลายคนเพิ่มมุ่งเน้นไปที่สกิลสร้างค่าความเสียหายเป็นหลัก

ที่สำคัญก็คือ เกรดนั้นส่งผลถึงค่าเครดิตที่จะได้รับ

หากว่าเกรดแย่ ถ้างั้นก็ต้องขอโทษด้วย บางทีตอนจบเทอมอาจจะได้รับเครดิตราว 1-200 เครดิต

ซึ่งเครดิตเพียงเท่านั้น บางทียังซื้อไม่ได้แม้แต่อุปกรณ์ระดับ E ด้วยซ้ำ

แล้วพวกเขาที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนจะแสดงผลงานดีๆออกมาได้งั้นเหรอ?

แน่นอนว่าหลินอวี่ไม่ได้สนใจอะไร

ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ หากว่าเป็นนักฆ่าคลาส 5 ที่แข็งแกร่งหน่อย บางทีก็อาจจะพอคุกคามเขาได้บ้าง

แต่ก็เพียงแค่คุกคามเท่านั้น หากไม่ใช่คลาส 6 อีกฝ่ายก็แทบจะทำอะไรเขาไม่ได้

เล่ยอิ่งจียังคงเข้มงวดเช่นเคย เธอไม่ได้สนใจเสียงโอดครวญของพวกนักศึกษาและพาพวกเขาไปยังสนามประลอง

...........................

ภายในสนามประลอง มีคนกลุ่มหนึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว

เป็นพวกนักศึกษาจากคลาสนักฆ่า

ที่ด้านหน้าของกลุ่มเป็นชายวัยกลางคนในชุดเกราะหนัง

เมื่อเห็นเล่ยอิ่งจีนำพวกนักศึกษาเดินเข้ามา เขาก็รีบเข้าไปวันทยาหัตถ์ด้วยความเคารพ

"ผู้กองเล่ย!"

เล่ยอิ่งจีโบกมือ

"ที่นี่ไม่ใช่ค่ายทหาร"

นักฆ่าวัยกลางค่อยผ่อนคลายลง

อันที่จริงแล้ว คนเกือบทั้งหมดภายในมหาวิทยาลัยขงหมิงเป็นทหาร

อาจารย์ทุกคนภายในมหาวิทยาลัยล้วนเป็นนายทหาร

ซึ่งชายวัยกลางคนผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามีตำแหน่งไม่สูงเท่าเล่ยอิ่งจี

เมื่อพวกนักศึกษาคลาสนักฆ่าได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็มองดูด้วยความอิจฉา

พวกเขาเองก็ต้องการให้ระดับท็อปของอาชีพนักฆ่ามาสอนให้เหมือนกัน

น่าเสียดายที่ปกติแล้ว ตัวตนระดับสูงอย่างเล่ยอิ่งจีมักไม่ได้มาสอนพวกนักศึกษา

ต่อให้มาก็คงจะมาเป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายให้พวกนักศึกษาฟังสักคาบสองคาบต่อเทอม

สาเหตุที่เล่ยอิ่งจีถูกส่งมาสอนก็เพราะหลินอวี่