ตอนที่ 91

เมื่อมีจั่วจิงเย่อยู่ ตลอดทางก็ปลอดภัยไร้เรื่องราว

ตกค่ำ พวกเขาก็กลับถึงเมืองประกายแสง

เป็นการกลับมาอย่างมีหน้ามีตา

นักเรียนที่ได้ผลการสอบดีต่างก็ทักทายคนในครบอครัวที่มารอรับด้วยรอยยิ้มสดใส

แม้ว่าจะมีบางคนที่ผิดหวัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้โสกเศร้าเกินไปนัก

ต่อให้แย่แค่ไหน พวกเขาก็ยังสามารถเข้ามหาวทิยาลัยชั้นหนึ่งได้อยู่ดี

เกิดเสียงพูดคุยระหว่างนักเรียนและผู้ปกครองดังนทั่วบริเวณ

ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น

"ทำไมลูกถึงไม่รีบออกมา?! แล้วนี่พ่อกับแม่จะอยู่กันยังไง?"

"เซียวเหยียน...ฮือ...เซียวเหยียน แม่ไม่น่าให้ลูกเข้าร่วมการสอบระดับหัวกะทิเลย เป็นความผิดของแม่เอง!"

"........."

เสียงหัวเราะพูดคุยพลันหยุดชะงัก

ทุกคนมองไปยังเหล่าพ่อแม่ที่กำลังร้องไห้อยู่หน้าศพปานจะขาดใจ

บรรยากาศดูอึดอัดอยู่บ้าง

การสอบระดับหัวกะทินั้นมีการตายเกิดขึ้นทุกปี

การเป็นผู้มีพลังพิเศษนั้น พวกเขาจะมีฐานะที่เหนือกว่าคนธรรมดา

สามารถเสพสุขกับชื่อเสียงและฐานะ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนก็คือ ความเสี่ยงและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ

และการเป็นผู้มีพลังพิเศษก็หมายความว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้กับความตายเสมอ

ทำภารกิจ ล่ามอนสเตอร์ เข้าสู่สนามรบ พวกเขาอาจจะจบชีวิตลงได้ทุกชั่วขณะ

เช่นเดียวกับการสอบระดับหัวกะทิ

ในการสอบครั้งนี้ มีนักเรียนจากเมืองประกายแสงเข้าร่วม 100 คน โดยมีนักเรียนที่ตายไป 4 คน

โดยสามคนตายในการสอบ

ส่วนอีกคนนั้น......

สายตาของหลินอวี่จับจ้องไปที่ศพของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง

เด็กหนุ่มนั้นก็คือเว่ยเฟยกวง

ขณะนี้มีคนอยู่สี่คนที่ยืนอยู่ข้างๆศพของเว่ยเฟยกวง

คู่สามีภรรยาสูงอายุที่หลังค่อมและมีผมสีดอกเลาเป็นเพียงคนธรรมดา

หากว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษจะต้องไม่มีสภาพร่างกายเช่นนี้

นอกจากนี้ยังมีชายหญิงที่ยังดูอายุไม่มาก

เวลานี้คู่สามีภรรยาที่แก่ชรากำลังมองดูร่างอันไร้วิญญาณของเว่ยเฟยกวงด้วยสีหน้าว่างเปล่า คล้ายกับถูกตัดขาดจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ

ขณะเดียวกันก็คล้ายจะยอมรับความจริงไม่ได้

หญิงสาวหน้าตาดีที่ตาแดงก่ำก็คล้ายจะอดกลั้นไม่ไหว น้ำตาไหลรินอาบแก้ม เธอได้แต่ร้องไห้อยู่เงียบๆ

ชายหนุ่มโอบไหล่พลางปลอบโยนหญิงสาว แก้มของเขากระตุกเบาๆ คล้ายพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดใจไม่ให้ร้องไห้ออกมา

เมื่อหันมองไปตามสายตาของหลินอวี่ จางหงไช่ก็ถอนหายใจเบาๆ

เขากล่าวขึ้นเบาๆว่า

"ฉันบอกต่อครอบครัวอขงเว่ยเฟยกวงว่าเขาถูกลอบโจมตีและเสียชีวิตในระหว่างทาง ปู่และย่าของเขาอายุมากแล้ว ฉันกลัวว่าจะรับความจริงไม่ไหว"

ความหมายก็คือ เขาไม่ได้บอกออกไปว่าเว่ยเฟยกวงนั้นช่วยนำทางให้พวกเมอร์ล็อคและกลายเป็นคนทรยศของมนุษยชาติ

หลินอวี่พยักหน้า

"ดีแล้วครับ"

จั่วมู่เกอมองดูศพของเว่ยเฟยกวงและมุ่ยหน้าโดยไม่พูดอะไร

หยานจีจับมือหลินอวี่ก่อนจะบีบมือเบาๆ

หลินอวี่มองเธอก่อนจะกุมมือเธอไว้เงียบๆ

สวีเผิงเทียนและคนอื่นๆเองก็ได้แต่ส่ายหน้า

ล้วนเป็นเพราะทำตัวเองแท้ๆ

หากว่าเว่ยเฟยกวงไม่ได้ทำตัวงี่เง่าและตัดสินใจอย่างสุดโต่ง ตอนนี้เขาก็คงจะได้ยืนอยู่กับพวกเขาที่นี่

ทักทายคนในครอบครัวด้วยความอบอุ่น บอกกล่าวความสำเร็จด้วยความภาคภูมิใจ

น่าเสียดายที่เขาเลือกเดินทางผิด

นักเรียนและผู้ปกครองของพวกเขาเริ่มทยอยแยกย้ายกันกลับบ้าน

นักเรียนที่เสียชีวิตในการสอบจะได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล

ต่อให้เป็นเพียงผู้มีพลังพิเศษคลาส 1 แต่ค่าชดเชยที่ได้รับก็ไม่น้อยเลย

"อาหวี่ ทำไมนายไม่มาที่บ้านของฉันล่ะ? พ่อฉันเพิ่งบอกให้ชวนนายไปกินข้าวเย็นที่บ้าน"

จั่วมู่เกอจับมือหลินอวี่พลางเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้ม

แม้ว่าเธอจะรู้ว่าพ่อของเธอและหลินอวี่เคยพบหน้ากันแล้ว

แต่เธอก็ไม่รู้ว่าพวกเขาได้พูดคุยอะไรกันแน่

ตอนนี้ พ่อของเธอกระทั่งชวนหลินอวี่ไปกินข้าวที่บ้านแล้ว?

แน่นอนว่าเธอย่อมทราบความหมายของเรื่องนี้

ในใจเธอเต้มไปด้วยความสุข

หลินอวี่ชะงัก ขณะที่กำลังจะตอบตกลงนั้นเอง

หยานจีที่อยู่อีกด้านก็ดึงมือของเขา ใบหน้างามขึ้นสีขณะพูดว่า

"ฉะ...ฉันก็ด้วย พ่อฉันก็ส่งข้อความมาบอกให้ชวนนายไปกินข้าวเย็นที่บ้าน"

หลินอวี่ "???"

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

คุณอาสองคนนั้นมีแผนจะเล่นงานเขาให้ตายเลยรึไง?!

หลินอวี่ยกมือขึ้นนวดหน้าผาก

"เอางี้เป็นไง ฉันจะแบ่งร่างตัวเองเป็นสองส่วน พวกเธอก็พาฉันกลับไปคนละครึ่งเป็นไง......"

จั่วมู่เกอคว้าแขนของหลินอวี่ไว้ แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์

"ตกลง ครึ่งซ้ายเป็นของฉัน!"

เมื่อหยานจีเห็นสายตาของจั่วมู่เกอ เธอก็เม้มปากด้วยความอาย

"งั้นฉันขอครึ่งขวา"

หลินอวี่นิ่งอึ้ง

"สุภาพสตรีทั้งสอง โปรดปล่อยฉันไปเถอะ"

"ฮี่ฮี่~"

จั่วมู่เกอส่งเสียงเบาๆพลางกอดแขนหลินอวี่เอาไว้แน่นก่อนจะพูดว่า

"เสี่ยวจีจี พวกเราไม่ต้องกลับบ้าน แล้วไปกินข้าวเย็นที่บ้านหลินอวี่กันเถอะ"

"ห้ะ?"

หยานจีชะงัก จากนั้นเธอก็เข้าใจความหมาย

เธอเลิกคิ้วก่อนจะพยักหน้าด้วยความมุ่งมั่น

"ก็ดี"

สำหรับหลินอวี่ ไม่ว่าเลือกไปที่ไหนก็ลำบากใจทั้งนั้น

สองสาวไม่ยอมกลับบ้านแล้ว

หลินอวี่กุมมือทั้งสองคนไว้พลางพูดด้วยรอยยิ้ม

"ถ้างั้นฉันจะทำของอร่อยๆให้พวกเธอกินเอง"

"จริงเหรอ? ว้าว สุดยอดไปเลย!"

จั่วมู่เกอและหยานจีชะงักก่อนจะเผยสีหน้าที่ดูดีใจและคาดหวัง

หลินอวี่ยิ้มด้วยความมั่นใจ

เขาไม่ได้โอ้อวดเกินจริงอะไร แต่ว่าเขาใช้ชีวิตอยู่โดยลำพังมาห้าปี ดังนั้นย่อมต้องทำอาหารได้บ้าง

"พวกเธอเลือกซื้อวัตถุดิบมาเลย ไม่อย่างนั้นฉันก็ทำอาหารไม่ได้หรอกนะ"

หยานจีฉุดดึงจั่วมู่เกอออกวิ่ง

"ไป ไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาดกัน"

หลินอวี่มองดูสองสาวที่กระดี๊กระด๊าพลางยิ้มบาง เขาค่อยๆเดินตามทั้งสองคนไป

..................................

ณ ตระกูลหยาน

หยานอวี้กำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เขาหัวเราะเหอเหอขณะพูดคุยกับจั่วจิงเย่ผ่านระบบสื่อสาร

"เจ้าเด็กนั่นต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง จะได้รู้สึกถึงความชอกช้ำของผู้เป็นพ่อที่ถูกพรากลูกสาวที่แสนล้ำค่าไป!"

จั่วจิงเย่เองก็คลี่ยิ้มบาง

"คิดว่าครั้งนี้เขาจะรับมือยังไง? เลือกไปบ้านนายหรือว่าบ้านฉัน?"

"ยังต้องถามอีกเหรอ? บ้านฉันแน่นอนอยู่แล้ว"

"เหอะ คิดว่ามู่เกอของฉันด้อยกว่าลูกสาวนายรึไง?"

"อะไร? ไม่เชื่องั้นเหรอ?"

"ยังไงก็เถอะ ฉันได้สั่งให้คนเตรียมอาหารชั้นเลิศเอาไว้แล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้แขกมาถึง"

"บังเอิญจังเลยนะ ฉันเองก็เตรียมไว้เหมือนกัน"

ตอนนั้นเอง หยานอวี้ก้ได้รับข้อความจากหยานจี

"พ่อ คืนนี้หนูจะไปกินข้าวเย็นที่บ้านอาหวี่นะ"

ที่อีกฝั่งหนึ่ง จั่วจิงเย่ก็ได้รับข้อความจากจั่วมู่เกอเช่นกัน

"พ่อ คืนนี้หนูไม่กลับบ้านนะ อาหวี่จะทำอาหารอร่อยๆให้หนู พ่อกินข้าวไปเลยนะ ไม่ต้องรอ!"

หยานอวี้ "???"

จั่วจิงเย่ "???"

ทั้งสองต่างก็กลายเป็นโง่งม

".....ได้รับข้อความมั้ย?"

"......ได้"

ทั้งสองต่างก็กุมขมับพลางถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

"ลูกสาว ยังไม่ทันแต่งออกก็เอาใจออกห่าง แต่นี่ไม่เร็วไปหน่อยเรอะ?!"

หยานอวี้เกิดคำถามกับชีวิตของตน

"ทำไมตอนที่ฉันตามจีบเมียถึงได้ยากเย็นปานนั้นกัน?"

เสียงที่เรียบนิ่งของจั่วจิงเย่ตอบขึ้นว่า

"เพราะนายไม่หล่อล่ะมั้ง?"

"หุบปากไปเลย! ฉันหล่อกว่านายเยอะ!"

"เหอะ.....น่าประทับใจจริงที่โตขึ้นมาถึงขนาดนี้แล้วก็ยังรักษาความไร้ยางอายเอาไว้ได้"

"ว่าไงนะ....."

หยานอวี้แค่นเสียง "ยังไงก็เถอะ ได้ยินมาว่าเด็กนั่นจะลงมือทำอาหารด้วยตัวเองงั้นเหรอ? ฉันต้องไปชิมดูซะแล้ว!"

"ฉันด้วย!"

จั่วจิงเย่ตอบกลับในทันที