ตอนที่ 123

"เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมากันแล้วก็เริ่มเลยเถอะ"

เล่ยอิ่งจีพูดขึ้น

"ได้ครับ!"

นักฆ่าวัยกลางคนย่อมไม่เห็นค้านจากเล่ยอิ่งจี

เล่ยอิ่งจีปรายตามองนักเวทคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ

นักเวทนั้นตัวสั่นเทา

ที่อีกด้านหนึ่ง พวกนักศึกษาคลาสนักฆ่าต่างก็เริ่มเรียกอุปกรรืออกมาสวมใส่อย่างกระตือรือร้น

เล่ยอิ่งจีปรายตามองหลินอวี่

"หลินอวี่ เธอเป็นผู้ช่วยสอนของฉัน ดังนั้นควรออกไปเป็นคนแรก"

หลินอวี่ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ฉายแววแปลกๆ

ให้เขาสู้กับพวกนักฆ่าคลาส 1 คลาส 2 พวกนั้นเหรอ?

หลินอวี่ได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ

"ครับ"

ใครใช้ใช้เล่ยอิ่งจีเป็นนายจ้างของเขากันเล่า?

หลินอวี่ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินไปยังเวทีประลอง

เมื่อเห็นหลินอวี่เดินออกมา นักฆ่าทั้งหมดก็หน้าแปรเปลี่ยน

แตกต่างจากท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือก่อนหน้านี้ พวกนักศึกษาจากคลาสนักฆ่าพากันก้มหน้าก้มตาตรวจเช็คความเรียบร้อยของอุปกรณ์อย่างไม่รู้จักจบสิ้น

ฉันกำลังยุ่ง ใครพร้อมก็ไปก่อนเลย

ฝีมือในช่วงการสอบเข้าของหลินอวี่นั้นฉูดฉาดเกินไป

ในบรรดานักศึกษาคลาสนักฆ่าเหล่านี้มีปู้เจิ่งซิ่นอยู่ด้วย

เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ทราบความแข็งแกร่งของหลินอวี่ดีที่สุด

แบบนี้ใครจะกล้าออกไปกันล่ะ?

นักฆ่าวัยกลางคนย่อมเคยได้ยินชื่อหลินอวี่มาบ้าง เขากวาดตามองดูหลินอวี่

เขาหันกลับไปมองทางด้านหลัง เขาพยักหน้าไปยังนักศึกษาเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ก้มหน้าหลบตา

"ตงกงเยว่ ออกมา"

หญิงสาวผมสั้นสีดำเดินขึ้นไปบนเวทีประลองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ดวงตาสีดำของเธอหันมามองหลินอวี่

เมื่อหลินอวี่เห็นดังนั้นก็มีความสุข

เขาเองก็จ้องเธอกลับไปเช่นกัน

ทั้งสองจ้องมองตากัน หลังจากนั้นพักหนึ่ง ตงกงเยว่ก็เบือนสายตาหลบไปเงียบๆ

หลินอวี่ยิ้มอย่างภูมิใจ

ตอนนี้เอง เสียงของเล่ยอิ่งจีก็ดังขึ้น

"เริ่มได้"

ทันทีที่สิ้นเสียงของเล่ยอิ่งจี ตงกงเยว่ก้พลันหายไปจากตำแหน่งเดิม

วินาทีถัดมา มีดสั้นที่เปล่งแสงก็ปรากฏขึ้นในมือแต่ละข้างพลางฟันไปยังหลินอวี่

เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

เกราะแสงสีเงินยวงปรากฏขึ้นต้านรับการโจมตีทั้งหมดเอาไว้

-0

-0

-0

…..

ในขณะที่ตงกงเย่วเพิ่งลงมือเสร็จ หลินอวี่ก็ยกมือขึ้นร่ายระเบิดกระแทก

-32859

ตงกงเยว่คุกเข่าลงกับพื้น

หลินอวี่ชะงัก

นี่เขาเก็บออมพลังแทบทั้งหมดแล้วนะ

คิดไม่ถึงเลยว่าตงกงเยว่จะเปราะบางอย่างมาก

เล่ยอิ่งจี "......"

นักฆ่าวัยกลางคน "......"

เหล่านักศึกษาคลาสนักเวท "......"

เหล่านักศึกษาคลาสนักฆ่า "......"

บรรยากาศพลันจมลงสู่ความเงียบจนเกิดความกระอักกระอ่วนไปพักหนึ่ง

ตงกงเยว่มองดูหลอดพลังชีวิตที่เหลือของเธอ จากนั้นจึงหันไปมองหลินอวี่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า สีหน้าท่าทางของเธอในยามนี้ดูน่ารักทีเดียว

เล่ยอิ่งจียกมือขึ้นคลึงขมับ ในใจรู้สึกปวดหัวขึ้นเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าฉันจะยังประเมินเด็กคนนี้ต่ำเกินไป

แข็งแกร่งมาก

นักฆ่าวัยกลางคนเหม่อมองหลินอวี่ขณะที่สมองว่างเปล่า

ตงกงเยว่เป็นคนที่เก่งที่สุกในคลาสของเขาแล้ว แต่ทำไมถึงแพ้ไปง่ายๆแบบนี้?!

นี่ก็คือหลินอวี่ในข่าวลือผู้นั้น?

แข็งแกร่งมาก!

หลินอวี่ทำลายสถิติในการทดสอบหัวระดับกะทิ ทุกคนในมหาวิทยาลัยขงหมิงต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี

เพียงแต่เมื่อได้มาเห็นเองกับตา เขาก็ยังต้องรู้สึกหวาดกลัวกับความแข็งแกร่งของหลินอวี่

เล่ยอิ่งจีพูดด้วยความจนใจว่า

"หลินอวี่ เธอแข็งแกร่งเกินไป การทดสอบนี้ไม่มีความหมายสำหรับเธอ ลงมาเถอะ"

หลินอวี่เกาศีรษะ

"อ้อ"

เขาหันไปมองตงกงเยว่ที่กำลังลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้อารมณ์

ทั้งสองต่างแยกยายกันเดินลงจากเวทีประลอง

"คนต่อไป เฟิงหยวนเจิ้ง ออกมา"

เล่ยอิ่งจีหันกลับมามองกลุ่มนักเวททางด้านหลังของเธอก่อนจะสุ่มเรียกชื่อ

เด็กหนุ่มที่ใบหน้าอวบเล็กน้อยสะดุ้งก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน

"ครับ!"

หลินอวี่หันไปมอง เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือเด็กหนุ่มที่คาบเรียนแรกนั่งอยู่ข้างเขา ก่อนที่ต่อมาจะถูกพวกผู้หญิงมาขอแลกที่นั่ง

"ปู้เจิ่งซิ่น ตาเธอแล้ว"

นักฆ่าวัยกลางคนพูด

เมื่อปู้เจิ่งซิ่นเห็นว่าเขาไม่ต้องสู้กับหลินอวี่ เขาก็เดินขึ้นเวทีประลองไปด้วยความยินดี

เฟิงหยวนเจิ้งเรียนรู้สกิลไว้สี่สกิล คือ ธาตุไฟหนึ่ง ธาตุน้ำแข็งหนึ่ง ธาตุสายฟ้าหนึ่ง และสกิลเพิ่มการเคลื่อนไหวหนึ่ง

โดยรวมแล้วถือว่าเป็นชุดสกิลที่ดีทีเดียว

แม้ว่าสกิลเหล่านั้นจะเป็นสกิลระดับ E เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเวทคลาส 1 แล้ว สกิลระดับ D ยังไม่ค่อยมีความจำเป็นสักเท่าใด

เพราะต่อให้เรียนรู้ไปก็คงมีพลังมานาไม่พอจะใช้อยู่ดี

เพียงสกิลระดับ E ก็เพียงพอแล้ว

ที่โดดเด่นคือสกิลเพิ่มความเคลื่อนไหว ดังนั้นความเร็วของเขาจึงค่อนข้างดี

น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้เป็นอาชีพนักฆ่า

ทันทีที่ปู้เจิ่งซิ่นหายตัวไป เฟิงหยวนเจิ้งก็มีสภาพราวกับคนตาบอด

แต่เขาก็ใช่ว่าจะยืนเป็นเป้านิ่ง ดังนั้นเขาจึงเริ่มออกวิ่ง

หากแต่ปู้เจิ่งซิ่นเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเขายังใช้ก้าวย่างเงาออกมา

เมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้น เฟิงหยวนเจิ้งก็ใช้สกิลโจมตีออกไปก่อน จากนั้นจึงค่อยใช้สกิลสายควบคุม

จากนั้นเขาก็ถูกมีดหลายเล่มตีเข้าที่เข่าไปหลายครั้ง

นักเวทที่ไร้ซึ่งสกิลสายป้องกันนั้นเปราะบางยิ่ง

เล่ยอิ่งจีที่ชมดูการต่อสู้อยู่ด้านข้างพลันขมวดคิ้ว

"ใช้ไม่ได้!

นักฆ่าที่ใช้สกิลล่องหนและไม่ใช้สกิลล่องหนแตกต่างกันยังไง?!

สังเกตรอบตัวให้ดี

เศษฝุ่นบนพื้น เสียงของลม เสียงหายใจ สิ่งเหล่านี้จะบอกพวกเธอว่านักฆ่าอยู่ตรงไหน!

จะเอาแต่วิ่งไปรอบๆแบบนี้น่ะเหรอ?!

ลองกลับไปคิดทบทวนให้ดี"

เล่ยอิ่งจีตะคอกใส่เฟิงหยวนเจิ้งทันที เธอเป็นคนที่อารมณ์ร้อนคนหนึ่ง

เฟิงหยวนเจิ้งที่ถูกตะคอกย่นคอด้วยความกลัว

หลินอวี่ที่ฟังอยู่เข้าใจสิ่งที่เล่ยอิ่งจีต้องการจะสื่อ

การล่องหนของนักฆ่าใช่ว่าจะลบตัวตนให้หายไปโดยสิ้นเชิง ตราบใดที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหว เช่นนั้นก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้แน่นอน

น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไม่จำเป็นสำหรับเขา

เขามีเนตรตรวจจับอยู่ ดังนั้นจึงการล่องหนจึงไร้ผลกับเขา

นักฆ่าวัยกลางคนที่อยู่อีกด้านเองก็ชี้ข้อบกพร่องของปู้เจิ่งซิ่นออกมาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของปู้เจิ่งซิ่นก็ยังทำให้เขารู้สึกพอใจ

ฝั่งตรงข้ามเป็นถึงเล่ยอิ่งจีเชียวนะ!

แม้ว่าจะเป็นการส่งนักเรียนออกมาประลอง แต่ชัยชนะครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจได้อีกนาน

หลังจากนั้น เล่ยอิ่งจีและนักฆ่าวัยกลางคนก็ส่งนักศึกษาขึ้นไปต่อสู้เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทีละคน

หลังจากจบการต่อสู้ของแต่ละคู่ เล่ยอิ่งจีและนักฆ่าวัยกลางคนก็จะชี้แนะให้กับนักศึกษาของตน

การเรียนรู้จากกันและกันนั้นไม่ใช่ประเด็น ที่สำคัญก็คือการค้นหาข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงและพัฒนาฝีมือ

นี่ก็คือความตั้งใจของอาจารย์ในการชี้แนะลูกศิษย์

ประสบการณ์บางอย่างต้องใช้เวลา กระทั่งอาจยังต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ

ซึ่งหน้าที่ของอาจารย์ก็คือชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้กับลูกศิษย์ไม่ให้ต้องเดินอ้อม

เพราะบางทางอ้อมก็อาจชักนำไปเจอกับทางตัน