"เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมากันแล้วก็เริ่มเลยเถอะ"
เล่ยอิ่งจีพูดขึ้น
"ได้ครับ!"
นักฆ่าวัยกลางคนย่อมไม่เห็นค้านจากเล่ยอิ่งจี
เล่ยอิ่งจีปรายตามองนักเวทคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
นักเวทนั้นตัวสั่นเทา
ที่อีกด้านหนึ่ง พวกนักศึกษาคลาสนักฆ่าต่างก็เริ่มเรียกอุปกรรืออกมาสวมใส่อย่างกระตือรือร้น
เล่ยอิ่งจีปรายตามองหลินอวี่
"หลินอวี่ เธอเป็นผู้ช่วยสอนของฉัน ดังนั้นควรออกไปเป็นคนแรก"
หลินอวี่ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ฉายแววแปลกๆ
ให้เขาสู้กับพวกนักฆ่าคลาส 1 คลาส 2 พวกนั้นเหรอ?
หลินอวี่ได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ
"ครับ"
ใครใช้ใช้เล่ยอิ่งจีเป็นนายจ้างของเขากันเล่า?
หลินอวี่ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินไปยังเวทีประลอง
เมื่อเห็นหลินอวี่เดินออกมา นักฆ่าทั้งหมดก็หน้าแปรเปลี่ยน
แตกต่างจากท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือก่อนหน้านี้ พวกนักศึกษาจากคลาสนักฆ่าพากันก้มหน้าก้มตาตรวจเช็คความเรียบร้อยของอุปกรณ์อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ฉันกำลังยุ่ง ใครพร้อมก็ไปก่อนเลย
ฝีมือในช่วงการสอบเข้าของหลินอวี่นั้นฉูดฉาดเกินไป
ในบรรดานักศึกษาคลาสนักฆ่าเหล่านี้มีปู้เจิ่งซิ่นอยู่ด้วย
เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ทราบความแข็งแกร่งของหลินอวี่ดีที่สุด
แบบนี้ใครจะกล้าออกไปกันล่ะ?
นักฆ่าวัยกลางคนย่อมเคยได้ยินชื่อหลินอวี่มาบ้าง เขากวาดตามองดูหลินอวี่
เขาหันกลับไปมองทางด้านหลัง เขาพยักหน้าไปยังนักศึกษาเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ก้มหน้าหลบตา
"ตงกงเยว่ ออกมา"
หญิงสาวผมสั้นสีดำเดินขึ้นไปบนเวทีประลองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ดวงตาสีดำของเธอหันมามองหลินอวี่
เมื่อหลินอวี่เห็นดังนั้นก็มีความสุข
เขาเองก็จ้องเธอกลับไปเช่นกัน
ทั้งสองจ้องมองตากัน หลังจากนั้นพักหนึ่ง ตงกงเยว่ก็เบือนสายตาหลบไปเงียบๆ
หลินอวี่ยิ้มอย่างภูมิใจ
ตอนนี้เอง เสียงของเล่ยอิ่งจีก็ดังขึ้น
"เริ่มได้"
ทันทีที่สิ้นเสียงของเล่ยอิ่งจี ตงกงเยว่ก้พลันหายไปจากตำแหน่งเดิม
วินาทีถัดมา มีดสั้นที่เปล่งแสงก็ปรากฏขึ้นในมือแต่ละข้างพลางฟันไปยังหลินอวี่
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
เกราะแสงสีเงินยวงปรากฏขึ้นต้านรับการโจมตีทั้งหมดเอาไว้
-0
-0
-0
…..
ในขณะที่ตงกงเย่วเพิ่งลงมือเสร็จ หลินอวี่ก็ยกมือขึ้นร่ายระเบิดกระแทก
-32859
ตงกงเยว่คุกเข่าลงกับพื้น
หลินอวี่ชะงัก
นี่เขาเก็บออมพลังแทบทั้งหมดแล้วนะ
คิดไม่ถึงเลยว่าตงกงเยว่จะเปราะบางอย่างมาก
เล่ยอิ่งจี "......"
นักฆ่าวัยกลางคน "......"
เหล่านักศึกษาคลาสนักเวท "......"
เหล่านักศึกษาคลาสนักฆ่า "......"
บรรยากาศพลันจมลงสู่ความเงียบจนเกิดความกระอักกระอ่วนไปพักหนึ่ง
ตงกงเยว่มองดูหลอดพลังชีวิตที่เหลือของเธอ จากนั้นจึงหันไปมองหลินอวี่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า สีหน้าท่าทางของเธอในยามนี้ดูน่ารักทีเดียว
เล่ยอิ่งจียกมือขึ้นคลึงขมับ ในใจรู้สึกปวดหัวขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าฉันจะยังประเมินเด็กคนนี้ต่ำเกินไป
แข็งแกร่งมาก
นักฆ่าวัยกลางคนเหม่อมองหลินอวี่ขณะที่สมองว่างเปล่า
ตงกงเยว่เป็นคนที่เก่งที่สุกในคลาสของเขาแล้ว แต่ทำไมถึงแพ้ไปง่ายๆแบบนี้?!
นี่ก็คือหลินอวี่ในข่าวลือผู้นั้น?
แข็งแกร่งมาก!
หลินอวี่ทำลายสถิติในการทดสอบหัวระดับกะทิ ทุกคนในมหาวิทยาลัยขงหมิงต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี
เพียงแต่เมื่อได้มาเห็นเองกับตา เขาก็ยังต้องรู้สึกหวาดกลัวกับความแข็งแกร่งของหลินอวี่
เล่ยอิ่งจีพูดด้วยความจนใจว่า
"หลินอวี่ เธอแข็งแกร่งเกินไป การทดสอบนี้ไม่มีความหมายสำหรับเธอ ลงมาเถอะ"
หลินอวี่เกาศีรษะ
"อ้อ"
เขาหันไปมองตงกงเยว่ที่กำลังลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้อารมณ์
ทั้งสองต่างแยกยายกันเดินลงจากเวทีประลอง
"คนต่อไป เฟิงหยวนเจิ้ง ออกมา"
เล่ยอิ่งจีหันกลับมามองกลุ่มนักเวททางด้านหลังของเธอก่อนจะสุ่มเรียกชื่อ
เด็กหนุ่มที่ใบหน้าอวบเล็กน้อยสะดุ้งก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน
"ครับ!"
หลินอวี่หันไปมอง เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือเด็กหนุ่มที่คาบเรียนแรกนั่งอยู่ข้างเขา ก่อนที่ต่อมาจะถูกพวกผู้หญิงมาขอแลกที่นั่ง
"ปู้เจิ่งซิ่น ตาเธอแล้ว"
นักฆ่าวัยกลางคนพูด
เมื่อปู้เจิ่งซิ่นเห็นว่าเขาไม่ต้องสู้กับหลินอวี่ เขาก็เดินขึ้นเวทีประลองไปด้วยความยินดี
เฟิงหยวนเจิ้งเรียนรู้สกิลไว้สี่สกิล คือ ธาตุไฟหนึ่ง ธาตุน้ำแข็งหนึ่ง ธาตุสายฟ้าหนึ่ง และสกิลเพิ่มการเคลื่อนไหวหนึ่ง
โดยรวมแล้วถือว่าเป็นชุดสกิลที่ดีทีเดียว
แม้ว่าสกิลเหล่านั้นจะเป็นสกิลระดับ E เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเวทคลาส 1 แล้ว สกิลระดับ D ยังไม่ค่อยมีความจำเป็นสักเท่าใด
เพราะต่อให้เรียนรู้ไปก็คงมีพลังมานาไม่พอจะใช้อยู่ดี
เพียงสกิลระดับ E ก็เพียงพอแล้ว
ที่โดดเด่นคือสกิลเพิ่มความเคลื่อนไหว ดังนั้นความเร็วของเขาจึงค่อนข้างดี
น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้เป็นอาชีพนักฆ่า
ทันทีที่ปู้เจิ่งซิ่นหายตัวไป เฟิงหยวนเจิ้งก็มีสภาพราวกับคนตาบอด
แต่เขาก็ใช่ว่าจะยืนเป็นเป้านิ่ง ดังนั้นเขาจึงเริ่มออกวิ่ง
หากแต่ปู้เจิ่งซิ่นเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเขายังใช้ก้าวย่างเงาออกมา
เมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้น เฟิงหยวนเจิ้งก็ใช้สกิลโจมตีออกไปก่อน จากนั้นจึงค่อยใช้สกิลสายควบคุม
จากนั้นเขาก็ถูกมีดหลายเล่มตีเข้าที่เข่าไปหลายครั้ง
นักเวทที่ไร้ซึ่งสกิลสายป้องกันนั้นเปราะบางยิ่ง
เล่ยอิ่งจีที่ชมดูการต่อสู้อยู่ด้านข้างพลันขมวดคิ้ว
"ใช้ไม่ได้!
นักฆ่าที่ใช้สกิลล่องหนและไม่ใช้สกิลล่องหนแตกต่างกันยังไง?!
สังเกตรอบตัวให้ดี
เศษฝุ่นบนพื้น เสียงของลม เสียงหายใจ สิ่งเหล่านี้จะบอกพวกเธอว่านักฆ่าอยู่ตรงไหน!
จะเอาแต่วิ่งไปรอบๆแบบนี้น่ะเหรอ?!
ลองกลับไปคิดทบทวนให้ดี"
เล่ยอิ่งจีตะคอกใส่เฟิงหยวนเจิ้งทันที เธอเป็นคนที่อารมณ์ร้อนคนหนึ่ง
เฟิงหยวนเจิ้งที่ถูกตะคอกย่นคอด้วยความกลัว
หลินอวี่ที่ฟังอยู่เข้าใจสิ่งที่เล่ยอิ่งจีต้องการจะสื่อ
การล่องหนของนักฆ่าใช่ว่าจะลบตัวตนให้หายไปโดยสิ้นเชิง ตราบใดที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหว เช่นนั้นก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้แน่นอน
น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไม่จำเป็นสำหรับเขา
เขามีเนตรตรวจจับอยู่ ดังนั้นจึงการล่องหนจึงไร้ผลกับเขา
นักฆ่าวัยกลางคนที่อยู่อีกด้านเองก็ชี้ข้อบกพร่องของปู้เจิ่งซิ่นออกมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของปู้เจิ่งซิ่นก็ยังทำให้เขารู้สึกพอใจ
ฝั่งตรงข้ามเป็นถึงเล่ยอิ่งจีเชียวนะ!
แม้ว่าจะเป็นการส่งนักเรียนออกมาประลอง แต่ชัยชนะครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจได้อีกนาน
หลังจากนั้น เล่ยอิ่งจีและนักฆ่าวัยกลางคนก็ส่งนักศึกษาขึ้นไปต่อสู้เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทีละคน
หลังจากจบการต่อสู้ของแต่ละคู่ เล่ยอิ่งจีและนักฆ่าวัยกลางคนก็จะชี้แนะให้กับนักศึกษาของตน
การเรียนรู้จากกันและกันนั้นไม่ใช่ประเด็น ที่สำคัญก็คือการค้นหาข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงและพัฒนาฝีมือ
นี่ก็คือความตั้งใจของอาจารย์ในการชี้แนะลูกศิษย์
ประสบการณ์บางอย่างต้องใช้เวลา กระทั่งอาจยังต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ
ซึ่งหน้าที่ของอาจารย์ก็คือชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้กับลูกศิษย์ไม่ให้ต้องเดินอ้อม
เพราะบางทางอ้อมก็อาจชักนำไปเจอกับทางตัน
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved