ตอนที่ 68 ฆ่าไปสองคนคงไม่เป็นไรนะ

"ครูมินาโตะ!"

เสียงของคาคาชิดังขึ้น

และในไม่ช้าชินหยูก็ได้เห็นทุกอย่าง

เบื้องหน้าเขานั้นมีนินจานอกเหนือจากนินจาอิวะงาคุเระอยู่อีกคน

ผู้นํากลุ่มในครั้งนี้คือ บิวะจูโซ ในกลุ่ม 7 ดาบนินจา

เมื่อมองไปที่ ชินหยู และ มินาโตะ ที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน สีหน้าของนินจาทั้งหมดในพื้นที่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

"แย่แล้ว นั่นมันประกายแสงสีทองมินาโตะ นอกจากนี้ยังมีเด็กอัจฉริยะอย่างอุวิจะ ชินหยู อยู่ด้วย ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?!"

"ดูเหมือนว่ามินาโตะจะมีคาถาบางอย่างที่ทำให้เคลื่อนที่ผ่านมิติมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เขามาที่นี่ได้เร็วขนาดนี้"

"มีผู้อาวุโสคนหนึ่งในหมู่บ้านบอกว่า ไม่ว่าจะทําภารกิจอะไรอยู่ถ้าหากได้เจอกับประกายแสงสีทองให้รีบหนีไปทันที!!"

บรรยากาศโดยรอบของนินจาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมองไปที่แขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา บรรยากาศในตอนนี้ก็เริ่มกดดันมากขึ้น ราวกับว่ามีมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นกําลังกําหัวใจของพวกเขาเอาไว้แน่น

"หนีเร็ว!"

ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนที่ตะโกนขึ้นมา

นินจาอิวะงาคุเระ และ นินจาคิริงาคุเระนั้นรีบไปอย่างรวดเร็วทันที!!

ในฐานะหัวหน้ากลุ่มในครั้งนี้ หลังจากที่เหลือบไปมองชินหยูอีกครั้ง บิวะ จูโซ ก็เริ่มที่จะหนีไปด้วยเช่นกัน

ในขณะเดียวกัน ม่านหมอกก็ปรากฎขึ้นและปกคลุมไปทั่วทั้งป่าในทันที

"ครูมินาโตะ รีบไล่ตามพวกคิริงาคุเระนั่นไปเร็ว พวกมันเอาตัวรินไป!!" ใบหน้าครึ่งหนึ่งของโอบิโตะนั้นอาบไปด้วยเลือด

บาดแผลขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา

แต่สิ่งที่ดึงดูดชินหยูมากที่สุดคือโอบิโตะได้เบิกเนตรวงแหวนได้แล้ว

แม้ว่าจะเป็นเพียงเนตรวงแหวนหนึ่งลูกน้ำที่ แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี

"ดูเหมือนนายจะเบิกเนตรได้แล้วสินะ" ชินหยูพูดกับโอบิโตะต่อ "ไม่ต้องห่วง รินน่ะยังไม่ตกอยู่ในอันตรายหรอก"

"ร่างกายของเธอน่ะพิเศษมาก ถ้าหากฉันเดาไม่ผิด พวกคิริงาคุเระนั่นวางแผนที่จะลักพาตัวรินไปและเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นพลังสถิตร่างสามหาง"

“พลังสถิตร่างงั้นเหรอ?”

มินาโตะนั้นไม่เคยได้ยินชื่อของสามหางมาก่อน

อย่างน้อย ในบรรดาคนที่เขารู้จักคุชินะก็คือพลังสถิตร่างของเก้าหาง

และตอนนี้คิริงาคุเระตั้งใจจะทำให้รินกลายเป็นพลังสถิตร่างซึ่งมันทำให้มินาโตะตะลึงมาก

"ชินหยู เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นรีบไปช่วยรินกันเถอะ ฉันขอร้องล่ะ" โอบิโตะพูดด้วยความกังวล

เมื่อเทียบกับคาคาชิแล้วรินมีความสําคัญมากกว่าในสายตาของเขา

มิฉะนั้นเขาคงไม่เบิกเนตรวงแหวนได้แน่ๆ

"ไม่ต้องห่วง พวกคิริงาคุเระให้ฉันจัดการเอง ส่วนมินาโตะนายไปรับผิดชอบเรื่องระเบิดสะพานนะ" ชินหยูพูดขึ้น

ทันใดนั้นจักระสายฟ้าบนร่างกายของเขาก็ปะทุขึ้น ก่อนที่ในวินาทีต่อมาชินหยูจะรีบพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ความเร็วของเขาเร็วมากจนแม้แต่หมอกโดยรอบนั้นก็ยังสลายออกไป และในพริบตาเดียวเขาก็หายตัวไปแล้ว

"ชินหยู!" การแสดงออกของมินาโตะนั้นเปลี่ยนเป็นความกังวล

แม้ว่ามันอาจจะฟังดูไร้สาระเมื่อชินหยูพูดถึงมาดาระ

แต่ตอนนี้เขาก็พอรู้แล้วว่าสิ่งที่คิริงาคุเระทำนั้นอาจเป็นกับดักเพื่อล่อชินหยูออกไป

แล้วทําไมชินหยูถึงรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพารินไปได้?

นอกจากนี้ เมื่อพูดกึงสามหาง หัวใจของมินาโตะก็เต็นเร็วมากขึ้นทันที

หรือว่าชินหยูกำลังวางแผนที่จะชิงสามหางมาเป็นของตัวเอง?

ถ้าคู่หากว่าต่อสู้ของชินหยูในตอนนั้นคือมาดาระจริงๆ

ก็เป็นไปได้ว่าชินหยูอาจจะไปชิงพลังของสามหางมาไว้ได้!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มินาโตะก็ไม่สามารถข่มอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป

"เร็วเข้า รีบไประเบิดสะพานคันนาบิแล้วรีบไล่ตามชินหยูไปกันเถอะ ฉันกลัวว่าเขาจะวางแผนทําอะไรบางอย่างไว้" มินาโตะสั่งอย่างรวดเร็ว

"ครูมินาโตะ ชินหยูจะไปช่วยรินไม่ใช่เหรอ?" คาคาชิอดไม่ได้ที่จะถาม

หลังจากที่เห็นการต่อสู้ของชินหยูหลายครั้ง คาคาชิก็เริ่มเชื่อมั่นในตัวของเขามากขึ้น

ด้วยเหตุผลนี้เองที่เขารู้สึกมั่นใจว่าชินหยูจะชิงตัวรินกลับมาได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ ในความคิดของคาคาชิ การตายของพ่อของเขาก็ยังคงส่งผลกระทบโดยตรงต่อเขาด้วย

"ถ้ามันเป็นเพียงแค่การช่วยชีวิตใครสักคน ฉันก็จะไม่กังวลเลย" ใบหน้าของมินาโตะจริงจังขึ้นก่อนที่เขาจะพูดว่า "ฉันแค่กลัวว่าเขาจะโจมตีสัตว์หางของพวกคิริงกาคุเระนั่นมากกว่า"

"ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้น ความขัดแย้งระหว่างสองแคว้นจะเริ่มขึ้นอย่างสมบูรณ์แน่ๆ"

“โจมตีสัตว์หางงั้นเหรอ?”

คาคาชิ และ โอบิโตะถึงกับตกตะลึง

สัตว์หางและพลังสถิตร่างนั้นอยู่เหนือกว่าการจินตนาการของพวกเขาทั้งสองคนมาก

ที่สําคัญที่สุด ในความคิดของพวกเขาสัตว์หางนั้นเป็นเหมือนกับตัวแทนของความหายนะขนาดใหญ่

พลังสถิตร่างนั้นถูกทำให้เป็นปรปักษ์และแปลกแยกจากบุคคลภายนอกมาโดยตลอด

แต่ตอนนี้ชินหยูกลับคิดที่จะต่อสู้กับสัตว์หางขึ้นมาด้วยตัวเอง ถ้าหากพวกเขาไม่ได้ยินจากปากของมินาโตะ พวกเขาก็จะไม่เชื่อเรื่องแบบนี้แน่นอน

"เอาล่ะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดคุยกันแล้ว รีบไปทําลายสะพานคันนาบิแล้วไปหยุดชินหยูไว้ให้ทันเร็วเข้า" มินาโตะออกคำสั่งอย่างกังวล

พวกเขาอยู่ห่างจากสะพานคันนาบิไปประมาณหลายกิโลเมตร

….

จู่ๆ ร่างๆหนึ่งได้ปรากฎตัวขึ้นมาจากม่านหมอก

เขาคือ บิวะจูโซ ผู้ครอบครองดาบสะบั้นคอที่พาดไว้บนหลังของเขา

นินจาคิริงาคุเระอีกสิบสามคนนั้นติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด

"ท่านจูโซ ตอนนี้พวกเราควรทําอย่างไรดี?" หนึ่งในนินจาคิริงาคุเระนั้นถามด้วยความสงสัย

"พวกเราได้รับคําสั่งให้กําจัดพวกมันทั้งหมด ถ้าหากเราปล่อยให้พวกโคโนฮะรอดกลับไปได้ ฉันกลัวว่ามันจะส่งผลต่อแผนการของเรา"

"หุบปากซะ!" จูโซตะโกนด้วยความโกรธ

“คนที่พวกเราได้เจอน่ะเป็นถึงประกายสีทองแห่งโคโนฮะและเด็กอัจฉริยะ ถ้าหากไม่หนีมาแบบนี้ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น!"

"แยกตัวไปแล้วหนีกันไปคนละทางได้แล้ว"

หลังจากที่พูดจบ จูโซก็ยกมือและประสานอินอย่างรวดเร็ว

“คาถาหมอกอำพราง!”

ม่านหมอกแผ่กระจายออกไปอีกครั้งและปกคลุมพื้นที่ในป่าเอาไว้ทั้งหมด

เมื่อฟังเสียงฝีเท้าที่ดังกระจายอยู่รอบๆตัวเขา จูโซก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แต่จู่ๆ กลิ่นอายแห่งความตายได้เข้ามาปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของเขาจนลามไปถึงสันหลัง ทําให้กล้ามเนื้อของเขากระตุกขึ้นตามสัญชาติญาณทันที!

เขารีบเคลื่อนไหวแล้วหลบการโจมตีทันที!!

ตู้มมม!

ทันใดนั้นจักระสายฟ้าก็ปรากฎขึ้นและส่องประกายไปทั่วทั้งท้องฟ้า

จูโซนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ใบหน้าของเขาเท่านั้น ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าต้นไม้โดยรอบของเขานั้นก็ถูกทำลายลงอย่างเลือนลาง

พร้อมกับเสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวสองเสียงที่ดังก้องอยู่ในม่านหมอก

แต่ถึงอย่างนั้นเสียงกรีดร้องทั้งสองนั้นก็เงียบลงในทันที โดยมันทำให้นินจาคิริที่กำลังจะหนีนั้นหยุดฝีเท้าอย่างรวดเร็ว

เมื่อเผชิญกับม่านหมอกที่หนาทึบแผ่กระจายไปทั่วทั้งป่า ราวกับว่ามือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นกำลังกุมหัวใจของพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

"โทษๆ ฉันเพิ่งฆ่านินจคิริงาคุเระไปสองคนน่ะ นายคงไม่ว่าอะไรหรอกใช่ไหม?"