ตอนที่ 219

建树初长成,神榜前十之战(四更)

แสงแดดที่สาดส่อง,พวกลู่อี้ผิที่สามารถค้นหาได้เร็วขึ้น.

ภายใต้แสงแดด,ลู่อี้ผิงและคนอื่น ๆ ที่ทำงานกันไม่หยุด.

การสำรวจที่คืบหน้าที่ละน้อย ๆ,ก่อนที่ดวงตะวันจะเคลื่อนคล้อยลับตาในที่สุด.

เมื่อดวงตะวันลับของฟ้า,ลู่อี้ผิงก็ให้ทุกคนหยุด.

หลังจากนั้นลู่อี้ผิงก็เผยยิ้มกับทุกคน”จุดไฟ,ย่างเนื้อ,ดื่มกิน!”

ทุกคนที่ส่งเสียงเฮดัง.

ในเวลานั้น,กลุ่มละสิบคน,ก็จุดไฟหมื่นกอง,เริ่มนั่งล้อมวง,ย่างเนื้อดื่มสุรา.

เนื้อสัตว์ที่หอมกรุ่น,กระจายไปทั่ว.

แม้นว่าความมืดจะคุกคามเข้ามา,ทว่าพื้นที่ป่าลึกกับยังคงอบอุ่น.

ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ,เห่ยเซี่ยและคนอื่น ๆ ต่างก็นั่งล้อมวง,กองไฟย่างเนื้อดื่มกินกันอย่างมีความสุข,กลางวันดูเหมือนว่าจะเก็บเกี่ยวได้มากกว่าตอนกลางคืน,กลางคืนค้นพบเพียงแค่แปดชิ้น,ทว่ากลางวันท่ามกลางแสงแดด,พบมากกว่ายี่สิบชิ้น.

กล่าวให้ถูกต้องคือ 23 ชิ้น!

นอกจากนี้ชิ้นใหญ่สุดยังมีขนาดถึง3-4 เมตร.

หลังจากที่ผสานท่อนไม้ทั้ง 23 ท่อน,ตอนนี้เจี้ยนมู่สูงกว่า 20 เมตรแล้ว!

ต้นไม้ที่สูงกว่า 20 เมตร,ควรเรียกว่าต้นไม้ใหญ่ได้.

เวลานี้,รอบ ๆ เจี้ยนมู่,มีลมปราณปฐมกาลฮุ่นตุ้นเต็มไปหมด,แสงสีทองที่ส่องสว่างวับวาวน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก.

แน่นอนว่ากลิ่นอายเทพปฐมกาลสวรรค์และปฐพีที่ส่องสว่างเจิดจ้าเป็นอย่างมาก.

อักขระวายุบนใบของเจี้ยนมู่,ชัดเจนมากยิ่งขึ้น,นอกจากอักขระวายุ,อักษรยุคเปิดสวรรค์,ยังมีอักขระอีกหลายตัวที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น.

ลู่อี้ผิง,รู้สึกว่าอักขระวายุเหล่านี้,เป็นวิชาบ่มเพาะระดับเปิดสวรรค์ที่ซ่อนเอาไว้.

หากเขาสามารถฝึกฝนสำเร็จ,ควบคุมกับวิชาลับอมตะจากหยกเจาหัว,พลังของเขาก็จะก้าวไปถึงระดับที่สูงยิ่งกว่าเดิม.

อย่างไรก็ตาม,ตอนนี้เจี้ยนมู่ที่เติบโตสูงกว่ายี่สิบเมตร,อักขระที่ปรากฏขึ้น,วิชาบ่มเพาะระดับเปิดสวรรค์จึงยังไม่สมบูรณ์.

เพื่อที่จะให้วิชาบ่มเพาะระดับเปิดสวรรค์สมบูรณ์,เขาจำเป็นต้อค้นหาชิ้นส่วนของเจี้ยนมู่ต่อไป.

ส่วนต้นไม้ไท่หยางฟู่ซ่าง,ลู่อี้ผิงเองก็ใช้น้ำพุแห่งชีวิต,ปักชำปลูกบนดินลมหายใจเก้าสวรรค์จนกลายเป็นต้นอ่อนขึ้นมาแล้ว,เพราะไม่ได้เร่งรีบยกระดับนำมาใช้ประโยชน์เมื่อเติบโตกลับมามีชีวิตแล้ว,เขาไม่ได้ใช้น้ำพุแห่งชีวิตรดต่อ.

กลุ่มของลู่อี้ผิงที่หยุดพัก,ดื่มกินเนื้อย่าง,ที่ไกลออกไป,ผู้ฝึกตนเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณได้เข้ามาใกล้.

“ศิษย์พี่หญิงจิง,ท่านดูนั่น,มีกองเพลิงมากมาย!”คนของเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณที่เผยความประหลาดใจออกมา.

ฟางจิงและคนอื่น ๆ ของเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณที่จ้องมองไป,เห็นเปลวเพลิงที่ลุกโชนส่องสว่างก็เผยความประหลาดใจ.

“ด้วยจำนวนกองเพลิงมากมายเช่นนี้,เป็นไปได้ว่ายกกันมาทั้งนิกายเลยหรือไม่?”ผู้ฝึกตนคนหนึ่งเผยความประหลาดใจ”เข้าไปดูใหม?”

ฟางจิงส่ายหน้าไปมา,”ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นมิตรหรือศัตรู,เอาล่ะ,พวกเราอ้อมไปอีกทาง.”จากนั้นนางก็นำคนเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณอ้อมไปอีกทาง.

อย่างไรก็ตามแม้นว่าจะอ้อมมาไกลแล้ว,ก็ยังมองเห็นเปลวเพลิง,แม้แต่ดูสว่างขึ้นยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ.

ซึ่งไม่มีทางให้พวกเขาได้อ้อมไปได้เลย.

“ทำไมมีกองเพลิงมากมายขนาดนี้! คนที่มามีจำนวนมากมายขนาดใหนกัน?”ผู้ฝึกตนเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณที่ตกใจเอ่ยออกมาว่า”เกรงว่าคงจะมีมากกว่า 30,000-40,000 คนหรือไม่?”

“ไม่ใช่ว่าเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพวิญญาณทั้งหมดหรอกนะ? ภายในป่าที่มีสัตว์ร้ายมากมายขนาดนี้,มีเพียงแค่ระดับเทพวิญญาณเท่านั้นที่กล้าเข้ามา.”ทุกคนที่เผยความประหลาดใจออกมา.

ส่งยอดฝีมือขอบเขตเทพวิญญาณ 30,000-40,000 ออกมาทันที.

คงมีเพียงแค่สุดยอดกลุ่มอิทธิพลหนึ่งในสิบของทวีปจิ่วซิงเท่านั้นถึงจะทำได้.

ฟางจิงที่ดูลังเล,เอ่ยออกมาว่า”พวกเราผ่านเข้าไปด้วยความเคารพ”ขณะดูลังเล,”อย่าได้เสียมารยาท,และหยาบคายเด็ดขาด.”

จากนั้นนางก็นำเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณก้าวเข้าไป.

ฟางจิงเมื่อเข้าใกล้มองออกไป.

เมื่อนางเห็นลู่อี้ผิง,วัวกระทิงมังกรเขาทองคำ,และพวกเห่ยเซี่ย,ก็ประหลาดใจ”เป็นพวกเจ้า!”

เหล่าคนของเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณเองก็จำลู่อี้ผิงได้,ต่างก็เผยความประหลาดใจ.

เมื่อคืนก่อน ไม่ใช่ว่าคือคนที่บังเอิญเข้ามาเจอพวกเขาไม่ใช่รึ?

เป็นไปได้ว่าพวกเขามาเสริมกำลังคนที่มาก่อนใช้ใหม?

ขณะที่ฟางจิงยื่นอึ้ง,ก่อนที่จะดึงสติกลับและเอ่ยออกมาว่า”ไม่คิดเลยว่าจะพบกับคุณชาย.”

ลู่อี้ผิงเผยยิ้ม”นับว่าบังเอิญจริง ๆ,จะมานั่งกับพวกเราใหม?”

ฟางจิงที่ไม่คิดเลยว่าลู่อี้ผิงจะชักชวน,นางที่ครุ่นคิดลังเล,ท้ายที่สุดก็ส่ายหน้าไปมา,เอ่ยออกไปว่า”ขอบคุณเจตนาดีของคุณชาย,พวกเรายังต้องค้นหาของบางสิ่ง.”จากนั้นนางก็กล่าวลาจากไป.

ฟางจิงที่นำคนของเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณจากไป,หายไปในความมืด.

หลังจากผ่านมาได้,ก็พ่นลมหายใจยาว.

“คนรอบ ๆ ต่างเคารพผู้เยาว์คนนั้นมาก,ไม่รู้ว่าชายหนุ่มนั่นเป็นประมุขน้อยนิกายใด?”ยอดฝีมือเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณคนหนึ่งเอ่ย.

“คนเหล่านี้แข็งแกร่งมาก,เกรงว่าจะเหนือกว่าข้า”ผู้ฝึกตนเทพแท้จริงขั้นปลายท้ายเผ่าจิ้งจอกเจ็ดวิญญาณเอ่ย.

ทุกคนต่างก็ตกอกตกใจไปตาม ๆ กัน.

“ศิษย์พี่มู่,ท่านจะบอกว่า,พวกเขาอาจเป็นเทพแท้จริงขั้นปลายหรือแม้แต่เทพสวรรค์อย่างงั้นรึ?”ผู้ฝึกตนอีกคนที่เอ่ยกล่าวด้วยความตกใจ”เป็นไปได้ด้วยรึ?!”

ฟางจิงเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน.

หลังจากพัก,ดื่มกินอย่างพอใจแล้ว,พวกลู่อี้ผิงก็ลงมือค้นหาต่อไป.

เจ็ดวันหลังจากนั้น.

เจี้ยนมู่ที่ผสานเข้าชิ้นส่วนเข้ามามากว่าหนึ่งร้อยชิ้น,มีความสูงกว่า 110 เมตรแล้ว!

และทุกวันหลังดวงตะวันลับตา,พวกลู่อี้ผิงก็จะพักย่างเนื้อ,ดื่มกินเติมพลังก่อนที่จะเริ่มต้นค้นหาต่อเป็นเช่นนี้ในทุกวัน.

เจี้ยนมู่ที่เติบโตสูงขึ้นเรื่อย ๆ,สัมผัสตรวจสอบเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆเช่นกัน,หลังจากที่เจี้ยนมู่สูงมากกว่าหนึ่งร้อยเมตร,ก็สามารถตรวจสอบพื้นที่ในรัศมีสิบลี้ได้.

เพราะว่าสัมผัสที่กว้างขยายขึ้น,ดังนั้นการค้นหาจึงรวดเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน.

วันที่สิบ,ลู่อี้ผิงก็ค้นป่ารกร้างจนสมบูรณ์.

ในสิบวันนี้,พวกเขาค้นแทบทุกมุม,แม้แต่ขุดจากส่วนลึก,นำชิ้นส่วนเจี้ยนมู่ออกมา.

ท้ายที่สุด,เจี้ยนมู่ก็สูงกว่า 140 เมตร.

เจี้ยนมู่สูง 140 เมตร,ขนาดใหญ่เทียบเท่า 20 คนโอบ,ตั้งตรงเหมือนกับเสาสวรรค์,ใต้ต้นไม้ที่เต็มไปดวยลมปราณปฐมภูมิฮุ่นตุ้น,ตั้งตระหง่านสูงใหญ่,จ้องมองแต่ไกล,ทำให้ทุกคนสั่นสะท้านด้วยความยิ่งใหญ่ของมัน.

แม้แต่วัวกระทิงมังกรเขาทองคำที่เห็นเจี้ยนมู่สูง 140 เมตร,แผ่กลิ่นอายลมปราณปฐมภูมิฮุ่นตุ้นที่หนาแน่น,ยังถอนหายใจเล็กน้อย.

ลู่อี้ผิงพบว่า,ตั้งแต่เจี้ยนมู่สูงหนึ่งร้อยเมตรขึ้นมา,หลังจากที่เขานั่งบำเพ็ญตระหนักรู้ศิลาจารึกสวรรค์และบ่มเพาะมหาเต๋าจากหยกเจาหัว,ความเร็วเพิ่มขึ้นไม่น้อย.

นอกจากนี้,หลังจากที่สูงหนึ่งร้อยเมตร,วิชาบ่มเพาะระดับเปิดสวรรค์ดูเหมือนว่าจะชัดเจนมากกว่าเดิม.

ลู่อี้ผิงสัมผัสได้ว่า,เมื่อเจี้ยนมู่เติบโตสูง 300 เมตร,วิชาบ่มเพาะระดับเปิดสวรรค์บนใบของมันจะสามารถนำมาฝึกฝนได้แล้ว.

หลังจากตรวจสอบค้นหาป่ารกร้างจนครบหมด,เขาก็นำจ้าวพิภพทั้งหนึ่งแสนคนกลับตำหนักดาราอู๋จี้,จากนั้นก็นำวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ,มุ่งตรงไปยังเมืองไหลเต๋า.

หลังจากมาถึงเมืองไหลเต๋า,บนถนนหนทางที่มีคนพูดคุยกันเรื่องการประลองของจ้าวจิ่วซิงและซุนเจิ้งเต๋อยอดฝีมือทำเนียบเทพลำดับสิบกันไม่หยุด.

“ท่านจ้าวจิ่วซิงได้ส่งสารท้าประลองกับท่านซุนเจิ้งเตอแล้ว,นอกจากนี้ท่านซุนเจิ้งเต๋อเองก็รับการประลองแล้ว,สถานที่คือทะเลจื่อซิง,เวลานี้มีผู้คนมากมายที่กำลังเดินทางไปยังที่นั่น!”