ตอนที่ 256

无双剑皇,又是神榜第十?(三更)

ได้ยินถังปินเอ่ยว่าเป็นห้องโถงนิกายซั่งเหล่ยและแดนบรรพชน,ลู่อี้ผิงก็พยักหน้า.

ถังเสวี๋ยเหยาเอ่ย”คุณชายลู่เป็นแขก,พื้นที่ฝั่งนั้นเป็นห้องโถงหลักของนิกาย,จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้านิกายก่อนถึงจะผ่านไปได้,ดังนั้น,พวกเราจึงไม่อาจนำคุณชายลู่ไปได้.”

ลู่อี้ผิงส่ายหน้าไปมา”ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้น.”

หลังจากนั้น,พวกเขาก็กลับทางเดิม.

หลังจากผ่านพื้นที่ศิลาจารึกกระบี่,เหว่ยหมิงและคนอื่น ๆ ยังคงตระหนักรู้จารึกกระบี่เช่นเดิม.

ถังเสวี๋ยเหยาเอ่ย”หลายปีมานี้,ไม่มีใครสามารถตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ระดับ 14 ได้เลย,ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีศิษย์สักคนตระหนักรู้ถึงขั้นที่ 14 ได้,บางทีอาจจะใช้เวลาล้านปี,ก็ไม่แน่ว่าจะมีคนตระหนักรู้ได้.”

ลู่อี้ผิงได้ยินถังเสวี๋ยเหยาเอ่ย,ก็เอ่ยถาม”ความหมายของแม่นางถัง,คงหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีคนสามารถตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ระดับ 14 ได้อย่างงั้นรึ?”

ถังเสวี๋ยเหยาเอ่ย”นิกายเทวะซั่งเหล่ยของพวกเรานั้นได้รับศิลาจารึกกระบี่พันมายามา,ทว่ายังได้รับค่ายกลกระบี่พันมายาที่ไม่สมบูรณ์มาด้วย.”

“ค่ายกลกระบี่พันมายา,หนึ่งในสิบค่ายกลโบราณ.”

ถังเสวี๋ยเหยาที่เผยความอัศจรรย์ใจ”คาดไม่ถึงเลยว่าคุณชายลู่จะรู้จักค่ายกลกระบี่พันมายาด้วย.”จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า”ใช่แล้ว,ค่ายกลกระบี่พันมายาคือหนึ่งในสิบค่ายกลกระบี่โบราณ,ทว่าน่าเสียดาย,ค่ายกลกระบี่พันมายานั้นไม่สมบูรณ์.หลายปีมานี้,นิกายเทวะซั่งเหล่ยของพวกเราได้หาวิธีทำให้ค่ายกลกระบี่พันมายาสมบูรณ์มาตลอด.”

“ท่านบรรพชนกระบี่เอ่ยว่าหากมีคนที่ตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ขั้นที่ 14 ได้,ก็มีโอกาสในการทำให้ค่ายกลกระบี่พันมายากลับมาสมบูรณ์ได้,เพียงแค่หลายปีมานี้ไม่เคยมีใครตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ขั้นที่ 14 ได้เลย,ท่านบรรพชนกระบี่ของพวกเราเองก็ตระหนักรู้ได้เพียงแค่ระดับที่ 12 เท่านั้น.”

นี่ไม่ใช่ความลับอะไร,ถังเสวี๋ยเหยาจึงไม่มีความจำเป็นต้องปกปิด.

ลู่อี้ผิงเอ่ยสอบถาม”ไม่ใช่ว่านิกายเทวะซั่งเหล่ยสามารถเชิญยอดฝีมือค่ายกลกระบี่มาช่วยซ่อมค่ายกลกระบี่พันมายาได้หรอกรึ?”

ถังเสวี๋ยเหยาเอ่ย”ได้เชิญมาแล้ว,พวกเราเชิญอาวุโสจักรพรรดิกระบี่ไร้คู่เปรียบมา,แต่ก็ไม่อาจซ่อมแซมค่ายกลกระบี่พันมายาได้,ในความเห็นของอาวุโสจักรพรรดิกระบี่ไร้คู่เปรียบเอ่ยว่าคนที่จะซ่อมแซมได้นั้น ก็คือคนที่สามารถตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่จากศิลากระบี่พันมายาขั้นที่ 14 ได้ความเห็นเช่นเดียวกันกับท่านบรรพชนกระบี่.”

จักรพรรดิกระบี่ไร้คู่เปรียบ,คือหนึ่งในผู้บ่มเพาะวิถีกระบี่ที่มีระดับสูงสุดในพื้นที่ดาราเป่ยหวงนั่นเอง.

วัวกระทิงมังกรเขาทองคำส่ายหน้าไปมา”ไม่อาจแม้แต่ซ่อมค่ายกลกระบี่พันมายาได้,กล้าใช้ฉายาจักรพรรดิกระบี่ไร้คู่เปรียบอีกรึ?”

ถังเสวี๋ยเหยาที่ได้ยิน,ถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสีเอ่ยออกมาว่า”คำพูดดังกล่าว,กล่าวต่อหน้าข้าอาจจะไม่เป็นไร,หากล่าวต่อคนอื่นจะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่.”

“จักรพรรดิกระบี่ไร้คู่เปรียบ,คือยอดฝีมือวิถีกระบี่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพื้นที่ดาราเป่ยหวง,เขามีศิษย์สิบคน,ศิษย์แต่ละคนนั้นล้วนแต่เป็นยอดฝีมือทำเนียบเทพเป่ยหวง,ส่วนเขายังเป็นยอดฝีมือทำเนียบเทพเป่ยหวงลำดับสิบ!”

วัวกระทิงมังกรเขาทองคำได้ยินคำพูดดังกล่าว,ก็เผยยิ้ม”ทำเนียบเทพลำดับสิบ?”

ก่อนหน้านี้เขายังจำได้ถึงจ้าวจิ่วซิง,หยวนเจี่ยหงทำเนียบเทพโม่เหอ,ลำดับสิบเช่นกัน.

“ลำดับสิบ?”ถังเสวี๋ยเหยาที่จ้องมองวัวกระทิงด้วยความงงงวย,ไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ.

ลู่อี้ผิงเผยยิ้ม”เขาพูดเรื่อยเปื่อย,แม่นางถังอย่าได้ใส่ใจ.”

ถังเสวี๋ยเหยาเอ่ย,”สองสามวันก่อนวังเทวะซั่งเฉียงได้ส่งคนมา,คำพูดดังกล่าว,เจ้าไม่อาจเอ่ยเช่นนี้กับพวกเขาได้.”จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า”อาวุโสจักรพรรดิกระบี่ไร้ที่เปรียบนั้นครั้งหนึ่งเคยชี้แนะเจ้าวังเทวะซั่งเฉียง,นอกจากนี้อาวุโสจักรพรรดิกระบี่ไร้คู่เปรียบและบรรพชนชราคนหนึ่งของวังเทวะซั่งเฉียงยังเป็นสหายที่ดีต่อกันด้วย.”

“คนของวังเทวะซั่งเฉียงมาทำอะไรอย่างงั้นรึ?”ลู่อี้ผิงเอ่ยถาม.

ถังปินกล่าวเพิ่ม ”เหรือว่าคิดจะมาเปรียบฝีมือกับศิษย์นิกายเทวะซั่งเหล่ยของพวกเราอย่างงั้นรึ?”

จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า”ผู้เยาว์ของวังเทวะซั่งเฉียงนั้นเต็มไปด้วยอสุรกายพรสวรรค์,มีคนที่มีนามว่าหยางติงเทียน,สามารถรวมตราประทับ 80 ลี้ได้ด้วย,หากพวกเขามาท้าประลอง,คงไม่ใช่ว่ามาเพื่อข่มเหงพวกเราหรอกรึ?”

“หยางติงเทียน?(เหนือสวรรค์,สูงกว่าสวรรค์)”วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเผยยิ้ม”นามนี้ช่างโอหังการนัก,สูงยิ่งกว่าสวรรค์,เหนือล้ำกว่าสวรรค์อีกเหรอ.”

ถังปินที่ตกใจ,พร้อมกับหัวเราะ”ใช่ ๆ,เขาไม่ควรชื่อหยางติงเทียน,ควรเรีกหยางติงเต๋อ(เหนือแผ่นดิน) มากกว่า.”

ถังเสวี่ยเหยาที่เอ่ยตำหนิทันที”น้องเล็ก,เจ้าพูดหยาบคายอีกแล้ว,หลายปีมานี้ไปเรียนจากที่ใหนมา.”

ถังปิดที่เร่งรีบโบกมือไปมาด้วยท่าทางหวังเกรง ”พี่สาว,ข้าไม่พูด,ข้าไม่พูดอีกแน่นอน.”

วัวกระทิงมังกรเขาทองคำที่ลอบยกนิ้วโป้งให้.

จากนั้นพวกเขาก็กลับมายังยอดเขาซิงเยว่.

ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำเองก็กลับตำหนักที่พัก.

ในคืนนั้น,ท้องฟ้ามืดมิดเงียบสงัด.

ลู่อี้ผิงแจ้งต่อวัวกระทิงมังกรเขาทองคำให้เฝ้าที่พักส่วนเขานั้นลอบออกจากยอดเขาซิงเยว่,มุ่งสู่ทิศทางของห้องโถงหลักนิกายเทวะซั่งเหล่ย.

วันนี้,เขาสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของหยกเจาหัวจากทิศทางห้องโถงหลักและดินแดนบรรพชนซั่งเหล่ย,ตำแหน่งแท้จริงนั้นไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจน,เขาจึงคิดที่จะเข้าไปสำรวจภายในห้องโถงก่อน.

ลู่อี้ผิงที่ซ่อนอยู่ในห้วงมิติจึงไม่มีใครสามารถมองเห็นได้,นอกจากนี้ด้วยระดับของเขาที่ไม่มีความผันผวนใด ๆ ของมิติแม้แต่น้อย แม้ข้างหน้าจะเป็นเทพโบราณที่รวมตราประทับ 12 ตราประทับได้แล้วก็ตาม.

ดังนั้น,ลู่อี้ผิงจึงสามารถสำรวจพื้นที่ห้องโถงนิกายเทวะซั่งเหล่ยได้อย่างไม่มีใครขวางเขาได้.

หลังจากเข้ามาในห้องโถงนิกายเทวะซั่งเหล่ย,หยกเจาหัวก็สั่นไปมารุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ.

อย่างไรก็ตาม,หลังจากเข้ามาในห้องโถงนิกายเทวะซั่งเหล่ยแล้ว,ลู่อี้ผิงก็บอกได้ว่าหยกเจาหัวไม่ได้อยู่ที่นี้,ทว่าเป็นหลังเทือกเขาดินแดนบรรพชนของนิกายเทวะซั่งเหล่ย.

ลู่อี้ผิงไม่ลังเล,มุ่งตรงเข้าไปในดินแดนบรรพชนนิกายเทวะซั่งเหล่ยทันที.

นิกายเทวะซั่งเหล่ยคือกลุ่มอิทธิ์ลำดับหกของพิภพฮุ่นหลวน,แน่นอนว่าย่อมมีค่ายกลที่แข็งแกรงมากมายขวางกั้นอยู่,แม้แต่มหาค่ายกลชั้นยอดที่บรรพชนผู้ก่อตั้งนิกายเทวะซั่งเหล่ยวางเอาไว้กับไร้ผล.

ไม่มีสิ่งใดขวางกันลู่อี้ผิงเอาไว้ได้.

สัมผัสของหยกเจาหัว ชิ้นที่สี่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ.

ลู่อี้ผิงที่ก้าวเข้าไปในส่วนลึก.

ท้ายที่สุด,ก็มาถึงตำหนักส่วนลึกด้านในดินแดนบรรพชน.

ที่ด้านหน้าตำหนัก,มีชายชราร่างอ้วนยืนอยู่ เผ้าผมกระเซอะกระเซิง,จ้องมองค่ายกลกระบี่ด้านหน้าไม่วางตา,ปากที่บ่นพึมพำ,”ค่ายกลกระบี่พันมายา,ทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนเป็นพันผันแปรได้?”

ค่ายกลกระบี่พันมายา,โจมตีพันแบบ,แม้นว่าเขาจะรู้,ทว่ากับไม่อาจทำให้มันสำเร็จทำงานได้.

ลู่อี้ผิงที่รับรู้ว่าชายชราร่างอ้วนผู้นี้ก็คือบรรพชนกระบี่นิกายเทวะซั่งเหล่ย,โจวฉาน.

เขาไม่ได้สนใจฝ่ายตรงข้าม,ลู่อี้ผิงก้าวผ่านอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน,ตรงไปปยังประตูทางหน้า,เข้าไปในตำหนัก.

ตำหนักดังกล่าวนี้,เป็นตำหนักของโจวฉาน,คนนอกที่เข้าไป,จะต้องถูกค่ายกลจับตัวได้,โจวฉานก็จะรู้ตัวทันที,ทว่าลู่อี้ผิงเข้าไปได้โดยที่โจวฉานไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ.

ลู่อี้ผิงที่มาถึงพื้นที่ส่วนใน,เปิดคลังสมบัติเข้าไปด้านใน,มีแสงหลากสีส่องสว่างวับวาว,สมบัติมากมายที่ถูกเก็บเอาไว้มากมาย.

ท้ายที่สุด,ลู่อี้ผิงก็มายืนอยู่ด้านหน้ากล่องหยกที่วางอยู่ที่มุม,ด้านในกล่องหยกนั้น,มีชิ้นส่วนหยกเจาหัวชิ้นที่สี่วางอยู่.

จ้องมองหยกเจาหัวชิ้นที่สี่,ทำให้ลู่อี้ผิงดีใจขึ้นมา,ท้ายที่สุดเขาก็พบหยกเจาหัวชิ้นที่สี่แล้ว.

หลังจากเก็บหยกเจาหัวชิ้นที่สี่ไป,ลู่อี้ผิงที่ครุ่นคิดไปมาเล็กน้อย,จากนั้นก็นำหยกชั้นดีจากยุคบรรพกาลออกมา,จากนั้นก็สลักรูปลักษณ์ของมันให้เหมือนกับหยกเจาหัวก่อนหน้านี้ ใส่เข้าไปแทนในกล่องหยกดังกล่าว.