ตอนที่ 262

镇魔塔,超越十个图腾?(四更)

ถังเสวี๋ยเหยาเอ่ย”ได้ยินมาว่ามียอดฝีมือลึกลับได้ลอบเข้าไปในดินแดนบรรพชนซ่อมค่ายกลกระบี่พันมายาสมบูรณ์แล้ว.”

“ค่ายกลกระบี่พันมายาซ่อมเสร็จแล้วรึ?!”ถังปินตื่นตะลึง.

ยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วนของนิกายเทวะซั่งเหล่ยพยายามไม่หยุดหย่อน,แต่ก็ไม่อาจซ่อมค่ายกลกระบี่พันมายาสำเร็จได้,เวลานี้กับปรากฏยอดฝีมือลึกล้ำโผล่มาซ่อมจนสำเร็จอย่างงั้นรึ?

อย่างไรก็ตาม,เกี่ยวข้องอะไรกับจ้าวปิศาจซิวซาถูกสังหารกัน?

“จ้าวปิศาจซิวซาเองก็ควรถูกยอดฝีมือลึกล้ำผู้นั้นสังหาร.”ถังเสวี๋ยเหยาเอ่ย.

ถังปินดวงตาเบิกกว้าง.

“จ้าวปิศาจซิวซาผู้นี้มีชื่อเสียงเพียงนั้นเลยรึ?”ลู่อี้ผิงสอบถาม.

ถังปินตะลึงงัน,ถังเสวี๋ยเหยาเอ่ยอธิบาย”แน่นอนว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย,เป็นยอดฝีมือรวมตราประทับแปดอัน,นอกจากนี้แต่ละตราประทับยังมีขนาดใหญ่กว่า 50 ลี้,พลังต่อสู้น่าอัศจรรย์,เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งร้อยของทำเนียบเทวะเป่ยหวง.”

“หลายปีก่อน,เจ้านิกายของพวกเรา,เจ้านิกายเสี่ยวเหยาและประมุขเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง รวมยอดฝีมือหลายสิบคนล้อมสังหารจ้าวปิศาจซิวซา,อีกฝ่ายกับหนีรอดปลอดภัย.”

“สงครามครั้งนั้น,นิกายเทวะซั่งเหล่ย,นิกายเสี่ยวเหยาและเผ่าจิ้งจอกเก้าหางมีเทพโบราณตายไปไม่น้อย.”

ถังปินเอ่ย”อีกสองวันคนของนิกายเทวะซั่งเฉียงมาขอประลอง,เมื่อเห็นศพจ้าวปิศาจซิวซา,คงหยิ่งผยองไม่ออกแน่นอน.”

อย่างไรก็ตาม,ในเวลานั้น,ผืนปฐพีที่สั่นไหวไปมาเล็กน้อย.

ถังเสวี๋ยเหยาขมวดคิ้วไปมา,”หอคอยกำราบมารคงเกิดการเปลี่ยนแปลง,หลายปีมานี้เกิดขึ้นสามครั้งแล้ว.”

“หอคอยกำราบมาร?”ลู่อี้ผิงเอ่ยถาม.

ถังปินเอ่ยอธิบาย”ในยุคโบราณ,ผู้ก่อตั้งของพวกเราได้สะกดปิศาจตนหนึ่งเอาไว้,ปิศาจตนนี้ถูกสะกดเอาไว้ในหอคอยสะกดมารของนิกายเทวะซั่งเหว่ยมานานแล้ว.”

“ทว่า,ผ่านมาหลายปีแล้ว,ค่ายกลสะกดที่ผู้ก่อตั้งวางไว้เริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ,หลายปีมานี้,หอคอยสะกดมารกำลังจะพังทลายลงช้า ๆ.”

“แผ่นดินไหวเมื่อครู่นี้เป็นเพราะว่าปิศาจกำลังใช้พลังทำลายหอคอยสะกดมารอยู่.”

“ทว่า,ทุกครั้งที่อีกฝ่ายโจมตี,ก็ได้รับพลังโจมตีสะท้อนของค่ายกลกลับไปด้วย,ดังนั้นปิศาจจึงไม่กล้าโจมตีบ่อยครั้ง.”

ลู่อี้ผิงพยักหน้ารับ.

ถังเสวี๋ยเหยาที่เผยท่าทางเป็นกังวล”ทว่าวันนี้,ปิศาจโจมตีหอคอยสะกดมารสามครั้งแล้ว,หากเป็นเช่นนี้,เกรงว่าไม่กี่สิบปี,อีกฝ่ายคงหนีออกมาได้.”

“ปิศาจตนนี้,ได้ยินมาว่าเป็นเทพโบราณเกินสิบตราประทับ,หากว่าหนีออกมาได้,เวลานั้นนิกายเทวะซั่งเหล่ยคงเกิดหายนะแน่!”

วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเผยความประหลาดใจ”เกินสิบตราประทับ.”

Even if in Ancient Era, exceeded ten Totem Ancient God is also few.

ถึงจะเป็นยุคโบราณ,เทพโบราณเหนือสิบตราประทับยังมีน้อยมาก.

ต้องไม่ลืมว่าเทพโบราณทั่วไปนั้นมีตราประทับสิบอัน คือขีดจำกัดของสวรรค์.

จากเก้าตราประทับไปถึงสิบตราประทับ,เป็นเรื่องที่ยากแสนยาก,ดังนั้นในพื้นที่ดาราเป่ยหวงคนที่มีสิบตราประทับ,จึงสามารถนับนิ้วได้.

เหนือสิบตราประทับ,ยากยิ่งกว่าสิบตราประทับร้อยเท่า,หรือพันเท่าด้วยซ้ำ!

ถังเสวี๋ยเหยาพยักหน้ารับ”ได้ยินท่านพ่อเอ่ยว่าปิศาจตนนี้มี 11 ตราประทับ,นอกจากนี้ยังฝึกฝนศาสตร์ปิศาจมหาเสรี,มีชีวิตยาวนาน,ไม่ตกตายง่าย ๆ,คนผู้นี้มาจากยุคโบราณ,เป็นศิษย์ของวังเทวะเป่ยโตว.”

“ศิษย์วังเทวะเป่ยโตว.”ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำถึงกับตะลึงงัน.

ถังเสวี๋ยเหยาเห็นการตอบสนองของลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ,นางก็ประหลาดใจ เอ่ยออกมาว่า”อาจารย์ของคนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเทพธิดาโหลวสุ่ยวังเทวะเป่ยโตว.

ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำยิ่งตกใจเข้าไปอีก.

ศิษย์ของโหลวสุ่ย?

เป็นเช่อจื่อเผิงอย่างงั้นรึ?”

ก่อนหน้านี้,พวกเขาพบเช่อกัวหัวที่โลกเทวะ,พวกเขาเป็นลูกหลานของเช่อจื่อเผิง.

“ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นศิษย์ของวังเทวะเป่ยโตว,ทำไมถึงได้ก้าวสู่เส้นทางปิศาจล่ะ?”ลู่อี้ผิงสอบถาม.

ถังเสวี๋ยเหยาส่ายหน้าไปมา”เรื่องนี้ไม่มีใครรู้.”และยังเอ่ยเพิ่ม”หลายปีมานี้,ท่านบรรพชนกระบี่ได้พยายามซ่อมแซมค่ายกลของหอคอยกำราบมาร,ทว่ากับได้ผลเล็กน้อย,ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่มีวัตถุดิบในการซ่อมแซม,นอกจากนี้ดูเหมือนว่าค่ายกลของผู้ก่อตั้งนั้นจะลึกล้ำ,เกินกว่าที่จะซ่อมได้ด้วย.”

หลังจากนั้น,ทุกคนก็ออกจากลานหน้าห้องโถงไป.

ในตอนเย็น,ถังชิงที่จัดงานเลี้ยง,เชิญลู่อี้ผิงเข้าร่วม,ขอบคุณที่ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำช่วยเหลือถังปิน.

ในงานเลี้ยง,ถังชิงที่เอ่ยต่อลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ”ถังโหมวนับว่ามีความรู้เรื่องบ่มเพาะอยู่ไม่น้อย,หากทั้งสองมีปัญหาเรื่องการบ่มเพาะ,สามารถถามข้าได้ตลอดเวลา.”

ถังชิงที่ครุ่นคิดมาตลอดทั้งวัน,ต้องการขอบคุณลู่อี้ผิงจากใจจิรง,ทว่าสมบัติที่มีนั้น,กับไม่ได้ล้ำค่าไปกว่าที่ลู่อี้ผิงมี,ดังนั้นจึงคิดว่า การชี้แนะลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ,เป็นการขอบคุณที่ดีที่สุด.

ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำได้ยิน,ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอ่อนเล็กน้อย.

ถังชิงจะชี้แนะพวกเขารึ?

“จ้าวขุนเขาถังชิงเกรงใจไปแล้ว.”ลู่อี้ผิงเผยยิ้มเล็กน้อย.

เจียงซินที่นั่งข้าง ๆ ถังชิงเอ่ยออกมาว่า”คุณชายลู่,ไม่ต้องเกรงใจลุงถัง,มีสิ่งใดสามารถสอบถามเขาได้เลย,หรือจะสอบถามเสวี๋ยเหยาก็ได้.”

ลุง?

เสวี๋ยเหยา?

ลู่อี้ผิงจ้องมองไปยังถังเสวี๋ยเหยา,เผยยิ้ม”แม่นางเสวี๋ยเหยานั้นจะต้องบ่มเพาะอย่างหนักในสถานที่ลึกล้ำ,เป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะรบกวนเวลาแม่นางเสวี๋ยเหยา.”

ถังปินเอ่ยต่อถังชิง”ท่านพ่อ,ท่านพ่อท่านขอตราประทับสองอันจากเจ้านิกายมาได้หรือไม่,เวลานั้นพี่ชายลู่และพี่เสี่ยวจินจะได้เข้าไปยังสถานที่ลึกล้ำเพื่อบ่มเพาะได้.”

ถังชิงพยักหน้ารับ”ตกลง,พรุ่งนี้ข้าจะไปพูดกับเจ้านิกาย.”

ขอเพียงแค่เจ้านิกายเทวะซั่งเหล่ยเห็นด้วย,ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำที่เป็นแขก ก็จะสามารถเข้าไปบ่มเพาะในตำหนักลึกล้ำของนิกายได้.

ลู่อี้ผิงเอ่ยกล่าวว่าไม่จำเป็น,ทว่าถังชิงกับจริงจังเป็นอย่างมาก,ทำให้ลู่อี้ผิงไม่มีทางเลือก,ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามที่ต้องการ.

หลังจากงานเลี้ยงจบ,ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำก็กลับที่พัก.

ขณะกลับ,ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรได้หลบฉากออกไปข้างทางตรงไปยังหอคอยกำราบมาร.

หอคอยกำราบมารไม่ได้อยู่ในดินแพนบรรพชนนิกายเทวะซั่งเหล่ย,ทว่าอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งภายในนิกายเทวะซั่งเหล่ย.

ในหุบเขาดังกล่าวนั้นมีค่ายกลป้องกันหลายชั้น,ทว่าลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำผ่านเข้ามาโดยง่ายดาย,ผ่านเข้ามาในช่องทางถ้ำเล็ก ๆ ทียาวไกล,จมลึงลงสู่ใต้พื้นดิน ตรงไปยังหอคอยสะกดมารด้านล่าง.

ด้านล่าง,เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความร้อน.

ด้านหน้ามีลาวาที่เดือดปุด ๆ,ที่ใจกลางนั้นมีหอคอยขนาดใหญ่ที่โผล่ออกมาจากลาวาสูง 100 จั้ง.

หอคอยดังกล่าวนั้นมีโซ่หนาขนาดใหญ่สีดำที่ผนึกอยู่,บนโซ่ใหญ่ทั้งแปดเส้นมีอักษรรูนประทับอยู่สะกดพื้นที่รอบ ๆ สร้างม่านพลังหลายชั้นลอยเหนือขึ้นไปบนพื้นดิน.

ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำมาถึงด้านล่าง,สัมผัสได้ถึงปราณปิศาจที่กระจายไปทั่วหอคอยกำราบมาร.

ด้านนอกถ้ำและด้านหน้าหุบเขานั้นมียอดฝีมือนิกายซั่งเหล่ยคอยปกป้อง,และลงมาสำรวจด้านล่างวันละครั้ง,ดังนั้นด้านล่างใต้ดินเวลานี้จึงไม่มีใครเฝ้า.

ทั้งสองที่ก้าวผ่านความว่างเปล่า,ผ่านค่ายกลจากโซ่ใหญ่ทั้งแปด,ลอดเข้าไปด้านในทางเข้าหอคอยสะกดมารโดยตรง.

พื้นที่ภายในหอคอยสะกดมารนั้นนับว่าค่อนข้างใหญ่,เป็นพื้นที่ 100 ตารางเมตร,ที่ใจกลางนั้นมีลวดลายป้ากั้ว,ผนึกชายชราแห้งเหี่ยวนั่งอยู่ตรงกลาง,ฝ่ายตรงข้ามที่มีผมสีแดง,ร่างกายที่แผ่ปราณปิศาจออกมาไม่หยุด,ด้วยพลังแรงกดดันเกรงว่าแม้แต่เทพโบราณสิบตราประทับก็ไม่กล้าเข้าใกล้อีกฝ่าย.

“ใคร?!”เพราะว่าลู่อี้ผิงและวัวกระทิงเข้ามา,ไม่ได้ปกปิดกลิ่นอาย,อีกฝ่ายจึงสัมผัสได้,ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นพรวดพาด,เพลิงปิศาจที่น่าพรั่นพรึงลุกโชนขึ้นมาทันที.

ทว่าขณะเขามองเห็นลู่อี้ผิง,ก็ต้องหยุดกึกชงักงัน.