ตอนที่ 267

杨顶天要虐到众人爬不起来(一更)

ศิษย์ของวังเทวะซั่งเฉียง,จางกวงแค่นเสียงเย็นชาออกมา เช่นกัน”สังหารเพียงปลาซิวปลาสร้อย แปดตราประทับ,กับยังกล้าเอามาอวดอ้าง.”

จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาว่า”ในเมื่อนิกายเทวะซั่งเหล่ยต้องการอวดอ้างคุยโวต่อพวกเรา,การประลองเทียบฝีมือวันนี้,ศิษย์พี่ก็ไม่จำเป็นต้องออมมือ,ลงมือให้หนักเอาให้พวกมันอยู่ในสภาพอนาถไปเลย.”

จางกวงคือหนึ่งในศิษย์วังซั่งเฉียงที่แข็งแกร่งที่สุด,รองลงมาจากหยางติงเทียนนั่นเอง.

หยางติงเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา”วางใจได้,ฟู่ปิงซาน,เหว่ยหมิง,ถังเสวี๋ยเหยา,ซือถูหนาน,ไม่อาจหนีได้,ข้าจะประลองทีละคน ๆ,จากนั้นก็ทุบตีพวกมันให้ระบม.”

“ข้าจะให้พวกมันได้แต่คลานจนเงยหน้าไม่ได้เลย!”

ในเวลานั้น,เสียงสายลมแหวกอากาศ,เหล่ายอดฝีมือนิกายเทวะซั่งเหล่ยก็ปรากฏขึ้น.

วังเทวะซั่งเฉียงที่นำศิษย์มาประลองลองฝีมือ,คนของนิกายเทวะซั่งเหล่ยเองย่อมออกมาต้อนรับ,คนที่นำมานั้นก็คือถังชิงนั่นเอง.

เห็นยอดฝีมือนิกายเทวะซั่งเหล่ยออกมา,หยางติงเทียน,จางกวงและคนอื่น ๆ ที่แลมองเล็กน้อย.

หลังจากถังชิงมาถึง,ก็พบว่าหยางติงเทียนนั้นนำคนมาด้วย 20 คน,ก็ขมวดคิ้วมา.”เจ้าโถงไท่เทียนไม่มาด้วยรึ?”

ในอดีตการประลองเทียบฝีมือนั้น,จะเป็นเจ้าหอไท่เทียนน้ำศิษย์วังเทวะซั่งเฉียงมา.

นอกจากนี้ในอดีตพวกเขายังนำคนมาถึง 40 คน,ครั้งนี้กับมีเพียงแค่ 20 คนเท่านั้น.

หยางติงเทียนเอ่ยกับถังชิง”อาจารย์ของข้าไม่ได้มา,ดังนั้นครั้งนี้เป็นข้าที่นำศิษย์มาประลองเทียบฝีมือเอง.”

เห็นหยางติงเทียนไม่แม้แต่เอ่ยชื่อตัวเอง,น้ำเสียงอหังการ,ถังชิงที่ขุ่นข้องใจไม่น้อย,”ทำไมศิษย์ของวังเทวะซั่งเฉียงถึงมาเพียง 20 ล่ะ? เป็นไปได้ว่าศิษย์ของวังเทวะซั่งเฉียงมีเรื่องสำคัญจึงมาไม่ได้อย่างงั้นรึ?”

หยางติงเทียนกวาดตามองผ่านถังชิง,จ้องมองถังเสวี๋ยเหยา,เหว่ยหมิง,ฟู่ปิงซาน,ซือถูหนานและศิษย์คนอื่น ๆ,เอ่ยออกมาว่า” 20 คนประลองกับ 40 คน,มันเกินพอแล้ว,ไม่ต้องมาถึง 40 คนหรอก.”

เหว่ยหมิง,ฟุ่ปิงซานและคนอื่น ๆที่ใบหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม.

“หยางติงเทียน,เจ้าเพียงแค่สามตราประทับ.”เหว่ยหมิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา”ขอบเขตไม่สูง,พูดจาใหญ่โตบ้าคลั่งจริง ๆ.”

หยางติงเทียนได้ยินคำพูดดังกล่าว,ก็เอ่ยอย่างไม่แยแส”ข้ามีสามตราประทับ,ก็เพียงพอจัดการสี่ตราประทับนิกายเทวะซั่งเหล่ยทั้งหมดได้แล้ว.”

เหว่ยหมิง,ฟู่ปิงซาน,ซือถูกหนานและศิษย์คนอื่น ๆ ที่โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที.

แม้แต่ถังเสวี๋ยเหยาเองก็ขมวดคิ้วไปมา.

ถังชิงกวาดตามองหยางติงเทียนและคนอื่น ๆ เอ่ยอย่างไม่แยแส”เดินทางมาไกล,พวกเราได้เตรียมที่พักไว้แล้ว,เชิญเข้ามายังนิกายพักผ่อนก่อนเถอะ.”

หยางติงเทียนที่ส่ายหน้าไปมา”ไม่ได้คิดจะอวดดีหรอกนะ,แต่มันไม่จำเป็นต้องพักเลย,พวกเราไปยังเวทีประลองซิงเหล่ยตอนนี้เลย!”

เวทีประลองซิงเหล่ย,คือเวทีประลองสูงสุดของนิกายเทวะซิงเหล่ย,เอาไว้ให้ยอดฝีมือเทพโบราณประลองกันนั่นเอง.

จางกวงเอ่ยปากออกมาทันที”พวกเราจะรีบจบการต่อสู้ให้เร็ว,จะได้รีบกลับไปบ่มเพาะ.”

คำพูดดังกล่าว,แม้แต่ถังชิงยังต้องเก็บซ่อนความโกรธเอาไว้.

รีบจบการต่อสู้,ราวกับว่าไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย,พวกเขาที่บอกอย่างชัดเจนว่าจะจัดการศิษย์นิกายเทวะซั่งเหล่ยที่มากกว่าอย่างรวดเร็ว,และรีบกลับวังเทวะซั่งเฉียงเพื่อบ่มเพาะได้อย่างสบาย ๆ.

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้,พวกเราก็ไปยังเวทีประลองซิงเหล่ยตอนนี้เลย.”ถังชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม.

ในเวลาต่อมา,ทุกคนก็มาถึงสนามประลองซิงเหล่ย.

สนามประลองซิงเหล่ยนั้นอยู่ไม่ไกลจากลานหน้าห้องโถง.

ชั่วอึดใจเดียวก็มาถึงสนามประลองแล้ว.

ขณะทุกคนมาถึง,บนที่นั่ง,ฟ่านเซิ่งและเหล่าจ้าวขุนเขา,จ้าวโถงต่าง ๆ ก็รออยู่แล้ว,การประลองของขอบเขตเทพโบราณ,พวกเขาย่อมสนใจมาชมเช่นกัน.

เห็นฟ่านเซิ่ง,หยางติงเทียนที่ประสานกำปั้นเอ่ยออกมว่า”วังเทวะซั่งเฉียง หยางติงเทียน,คารวะประมุขฟ่าน.”

ฟ่านเซิ่งแน่นอนว่าย่อมเห็นหยางติงเทียนที่นำคนมา 20 คน,ไม่เห็นเจ้าหอไท่เทียนของวังเทวะซั่งเฉียงหรือคนระดับสูงอื่น ๆ ในหมู่พวกเขาจึงได้สอบถามเรื่องดังกล่าว,จนได้คำตอบมาว่าเจ้าโถงไท่เทียนมีธุระมาไม่ได้,ฟ่านเซิ่งก็ขมวดคิ้วไปมา.

มีธุระอันใดกัน,ก็เพียงแค่ข้อแก้ตัวเท่านั้น.

“เจ้านิกายฟ่าน,ในเมื่อพวกเรามาถึงแล้ว,ก็ประลองเริ่มตอนนี้เลยใหม?”หยางติงเทียนเอ่ย.

ฟ่านเซิ่งที่ใบหน้าเคร่งขรึม,กวาดตามองพวกหยางติงเทียน,เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง”ในเมื่อเป็นเช่นนั้น,ก็เริ่มได้เลย.”

จากนั้นก็มีเสียงประกาศให้ทั้งสองฝังขึ้นเวที.

หยางติงเทียนที่เหินร่อนลงบนเวทีประลองซิงเหล่ย,จ้องมองเหว่ยหมิง,ถังเสวี๋ยเหยา,ฟู่ปิงซานและซูถูหนานสี่คน”พวกเจ้าทั้งสี่คน,ใครจะเป็นคนแรก?”

จากนั้นก็เอ่ยเพิ่ม”หรือขึ้นมาพร้อมกันทั้งสี่เลยใหม?”

ภายในบรรดาศิษย์นิกายเทวะซั่งเหล่ย,คนทั้งสี่ก็คือศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดนั่นเอง,ดังนั้น,หยางติงเทียนจึงจ้องมองไปยังคนทั้งสี่ตั้งแต่แรก.

ได้ยินหยางติงเทียนเอ่ยท้าประลองสี่คนพร้อมกัน,ก็ทำให้พวกเหว่ยหมิงโกรธเกรี้ยวขึ้นมา,แม้แต่ฟ่านเซิ่ง,ถังชิงและคนอื่น ๆ ของนิกายเทวะซั่งเหล่ยต่างก็โกรธเกรี้ยวทั้งหมด.

“คุยโว,หน้าไม่อาย!”เหว่ยหมิงที่บินขึ้นสู่เวทีประลองซิงเหล่ยทันที.

“หยางติงเทียน,เช่นนั้นข้าขอความแนะนำจากเจ้าหน่อยก็แล้วกัน!”เหว่ยหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา,ร่างกายที่แผ่พลังเทพโบราณออกมาอย่างบ้าคลั่ง,กฎอาณาจักรเทพที่หมุนวน,ตราประทับทั้งสี่ลอยออกไป,ส่องประกายแสงสว่างจ้าราวกับขุนเขาอันกว้างใหญ่.

ตราประทับแต่ละอันนั้นมีขนาด 60 ลี้!

มีความสูงถึง 1000 จั้ง,นี่คือศิษย์ที่มากพรสวรรค์ผู้หนึ่ง.

ก่อนหน้านั้นอู๋ลี่เผ่าปู่ซือ,รวมตาประทับสูง 3000 จั้ง,มีขนาดกว่า 20 ลี้,ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะหลักที่เผ่าปู่ซือฝึกฝนมาเป็นอย่างดี,ทว่าเหว่ยหมิงนั้นกับมีตราประทับขนาด 60 ลี้ เหนือกว่าชัดเจน.

ตราประทับเกิน 50 ลี้,ย่อมถือว่าเป็นอสุรกายพรสวรรค์อย่างแน่นอน.

เหว่ยหมิงที่เรียกตราประทับออกมา,ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยปราณกระบี่ที่แหลมคมผสมอยู่ด้วย,เวลานี้เขาได้ต่อยออกไปยังทิศทางของหยางติงเทียนทันที,พลังหมัดที่เสริมพลังจากตราประทับทั้งสี่,และยังมีเจตจำนงกระบี่แฝงอยู่ด้วยพุ่งออกไป.

“นี่คือเจตจำนงกระบี่ขั้นที่สิบเอ็ดจากศิลาจารึกกระบี่พันมายา!”

“เจตจำนงกระบี่ทรงพลังมาก,เจตจำนงกระบี่ของศิษย์พี่เหว่ยหมิง,เกรงว่าจะไปถึงระดับสิบเอ็ดปลายแล้ว!”

หวึ่ง!

พลังที่ทำลายสวรรค์และปฐพี,พุ่งเข้าหาหยางติงเทียนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น.

ในเวลานั้น,ร่างกายของหยางติงเทียนที่เปล่งรัศมีแสงออกมา,ตราประทับทั้งสามของเขาลอยออกไป,สวรรค์และปฐพีที่สั่นไปมา,ยอดเขานิกายเทวะซั่งเหล่ยเองก็เริ่มสั่น,แม้แต่ได้ยินเสียงของแผ่นดินเลื่อนไหวสั่นปรากฏขึ้นอีกด้วย.

ทุกคนต่างก็ใบหน้าเปลี่ยนสี,เห็นเพียงตราประทับทั้งสามของหยางติงเทียน,ก็ราวกับว่าได้เห็นดวงตะวันสามดวง,แต่ละอันยังมีขนาดถึง 80 ลี้,นอกจากนี้แต่ละตราประทับยังลุกโชนด้วยเปลวเพลิงที่รุนแรง,นิกายเทวะซั่งเหล่ยเวลานี้เหมือนกับว่าตกอยู่ในทะเลเพลิงไปแล้ว.

ในเวลานั้น,ยอดเขาทั้ง 76 ลูกของนิกายเทวะซั่งเหล่ย,เหล่าศิษย์ทุกคนที่กำลังบ่มเพาะอยู่ต่างก็สัมผัสได้ถึงพลังของตราประทับที่น่าพรั่นพรึงกันหมด.

เหว่ยหมิงสี่ตราประทับมีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขาม,ทว่าอีกฝ่ายที่มีสามตราประทับกับแผ่กลิ่นอายแรงกดดันที่เหนือกว่า,แม้แต่สามารถสะกดข่มเจตจำนงกระบี่ขั้นที่ 11 ปลายได้อย่างราบคาบ.

หยางติงเทียนที่ต่อยออกไป.

ตูมมมมม!

หมัดของทั้งสองที่ปะทะกัน.

หมัดของเหว่ยหมิงแตกสลายไปในทันทีแม้แต่เจตจำนงกระบี่เองก็มลายหายไปไม่มีเหลือ.

เสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว,ดังก้องไปทั่วนิกายเทวะซั่งเหล่ย.

ในเวลานั้น,ถังเสวี๋ยเหยาและคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นเหว่ยหมิงเหมือนกับว่าวขาดสายป่าน,ลอยกระเด็นออกไป,กระแทกเข้ากับกำแพงค่ายกลของเวทีประลองซิงเหล่ยเสียงดัง.

ฟ่านเซิ่ง,ถังชิงและคนอื่น ๆ ต่างก็ใบหน้าเปลี่ยนสีไปตาม ๆ กัน.