ตอนที่ 49

ในห้องเงียบกริบ

การแสดงออกของทั้งกลุ่มตกตะลึง และแม้แต่ซูสือก็ยังตัวแข็ง

“ผู้ตรวจการหลวงเฉิน ท่านพูดว่าอะไรนะ?”

ชายชราเครายาวคิดว่าเขาได้ยินผิด

เฉินชิงหลวนพูดช้าๆ ชัดๆ “ข้าพูดไปแล้ว ข้าเชื่อในสิ่งที่ซูสือพูด”

ชายชราเครายาวขมวดคิ้วและพูดว่า “ผู้ตรวจการหลวงเฉิน ซูสือเป็นคนของฝ่ายมาร ท่านได้คิดเกี่ยวกับผลที่ตามมาจากการพูดเช่นนั้นแล้วหรือยัง?”

เฉินชิงหลวนเหลือบมองเขา “เจ้ากำลังขู่ข้าอยู่หรือเปล่า?”

ชายชราเครายาวหายใจติดขัด และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง

เขาไม่คิดว่าเฉินชิงหลวนจะเข้าข้างซูสือ!

และหนักแน่นเช่นนี้!

แม้ว่าเทียนอี้จะไม่ธรรมดา แต่ก็เป็นเพียงสำนักชั้นหนึ่งและยังมีช่องว่างขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับหน่วยปราบมาร

พวกเขาไม่สามารถตอแยจักรพรรดินีมารได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจตอแยมือปราบมารได้เช่นกัน

“ถ้าอย่างนั้นผู้ตรวจการหลวงเฉินก็ต้องให้เหตุผลกับเราใช่ไหม?”

ชายชราเครายาวกัดฟันและพูด “ข้ารับไม่ได้ถ้าศิษย์ในสำนักของข้าต้องตายเปล่า!"

“มือปราบมารจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเอียดล”

เฉินชิงหลวนกล่าวว่า “อันหงโต้วเพิ่งตาย และพวกเจ้าทั้งหมดก็มาถึงหลังจากนั้นทันที เห็นได้ชัดว่ามีคนส่งข่าวไปก่อนหน้านี้”

“ตามหาคนส่งข่าว แล้วเราก็จะรู้ความ”

ใบหน้าของชายชราเครายาวเปลี่ยนสีและเขาพูดอย่างผิดปกติว่า “ดูเหมือนจะเป็นข้ารับใช้ตัวน้อย และข้าก็ไม่รู้แล้วว่าเขาไปไหนแล้ว”

หงโต้วสั่งให้คนไปส่งสาร

เนื้อหานั้นเรียบง่าย

ซูสืออยู่ที่นี่ ฆ่าเขาเพื่อแก้แค้น!

เมื่อชายชราได้รับข่าว เขาก็รีบมาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อฆ่าซูสือ แต่เพื่อหยุดอันหงโต้ว!

แม้ว่าซูสือจะต้องตาย เขาก็ต้องไม่ตายในถิ่นของเทียนอี้!

น่าเสียดายที่เขามาช้าเกินไป

ดวงตาของเฉินชิงหลวนหรี่ลงเล็กน้อย “ในเมืองหลินเฟิงนี้ไม่มีคดีใดที่มือปราบมารไม่สามารถสืบสวนได้ อย่าลืมคำสั่งขององค์จักรพรรดิ"

องค์จักรพรรดิได้ออกประกาศิตให้ทุกคนภายใต้จักรวรรดิเท่าเทียมกัน และห้ามมีการสู้รบภายในเมือง

ใครก็ตามที่สร้างปัญหาจะถือว่าเป็นศัตรูของราชวงศ์

เมื่อสมบัติที่โผล่เหนือภูเขาเทียนฉวีปรากฏ ทั้งวิถีมารหรือวิถีธรรมะจะมารวมตัวกันที่นี่และมีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้น

เพื่อปกป้องชาวเมือง ราชวงศ์จะต้องวางตัวเป็นกลาง

ชายชราเครายาวผู้นี้เข้าใจโดยธรรมชาติว่าอะไรคือความเสี่ยง

หากเรื่องนี้ถูกสืบสวนจนจบจริงๆ ซูสือไม่กลัวมือปราบมาร แต่ที่พักของสำนักเทียนอี้จะไม่ได้รับการปกป้องอย่างแน่นอน

“ที่เมืองอวี่หลิน ผู้ตรวจการหลวงเฉินพ่ายแพ้ให้กับมารตนนี้ ทำไมตอนนี้ท่านถึงมาพูดแทนเขา?”

ชายชราเครายาวหัวเราะเยาะ

ฝูงชนพากันซุบซิบ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสงสัยว่านางและซูสือมีแรงจูงใจซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง

ใบหน้าของเฉินชิงหลวนไม่เปลี่ยน น้ำเสียงของนางดังชัดและเย็นชา “นั่นคือธุระของข้า ทุกคนไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ถ้ามีใครกล้าสร้างปัญหาในเมือง ……”

นางค่อยชูนิ้วหัวแม่มือของนาง เผยให้เห็นคมกระบี่ พลังปราณกระบี่ที่โหมกระหน่ำเหมือนคลื่นกระแทก “อย่าหาว่าข้าไม่สุภาพ"

ฝูงชนหลบสายตา ไม่กล้าสบตานาง

ชายชราเครายาวคิดทบทวนและพูดด้วยความเกลียดชัง “ซูสือ มันยังไม่จบแค่นี้หรอก!”

พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป

ซูสือพูดอย่างเฉยเมย “อย่าลืมทำความสะอาดห้อง ข้าจ่ายเงินไปแล้ว”

ชายชราเครายาวหยุด และกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ก่อนสาวเท้าเดินออกไป

เมื่อชายชราจากไป ฝูงชนก็ไม่กล้าที่จะรั้งอยู่ต่อ

ไม่นานทั้งห้องก็เหลือแค่สามคน

เฉินชิงหลวนกล่าว "ชายชราคนนั้นเป็นแขกจากสำนักเทียนอี้ พลังของเขาอยู่ที่วิญญาณแรกก่อตั้งขั้นปลาย ดังนั้นเจ้าควรระวังให้ดี"

ซูสือส่ายหัว “ที่จริง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ มันมีแต่จะทำให้คนอื่นสงสัยว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับวิถีมาร”

เฉินชิงหลวนกล่าวอย่างเฉยเมย “ท่าทางของข้าชัดเจนตั้งแต่แรก ข้ามีมโนธรรมที่ชัดเจน ทำไมข้าต้องสนใจคำพูดของคนอื่นด้วย”

ซูสือยิ้มและพูด “แล้วทำไมเจ้าถึงเชื่อข้าล่ะ?”

เฉินชิงหลวนชะงัก

เมื่อครู่นี้ เมื่อนางเห็นซูสือเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาของฝูงชนแต่ไม่ยอมยืนหยัดเพื่อตัวเอง นางต้องการปกป้องเขาโดยสัญชาตญาณ

“ถึงแม้เจ้าจะดูโรคจิต แต่เจ้าก็ไม่ได้ฆ่านางเพราะเรื่องนั้น และเมื่อมองไปที่ศพของอันหงโต้ว ข้าสามารถบอกได้ว่าเจ้าไม่ได้ใช้ความรุนแรงเพื่อสนุกกับนาง”

“...”

ซูสือหัวเราะเจื่อน “ข้าดูโรคจิตยังไง?”

เฉินชิงหลวนชำเลืองมองเซินอี้เหรินและพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ ไปทำกิจกรรมของเจ้ากับพี่สาวอกโตนั่นต่อเถอะ"

นางพูดและเดินออกจากห้องไป

เซินอี้เหรินโกรธมาก นางถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วตะโกน “เจ้าสองคนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน? นางเรียกใครว่าพี่สาวอกโต?”

ซูสือกุมขมับ

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถกำจัดภาพลักษณ์ที่มีแต่ตัณหาของเขาไปได้

เซินอี้เหรินจับไหล่เขาและมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเฉินชิงหลวนเป็นยังไงกันแน่? ทำไมนางถึงไม่สนใจตำแหน่ง และปกป้องเจ้า?”

เฉินชิงหลวนเป็นผู้ตรวจการกลวงของมือปราบมาร และเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นคนเย่อหยิ่งและไร้ความปรานี

แม้ว่าซูสือจะมีเหตุผล แต่ความจริงที่ว่าเขาฆ่าทั้งสามคนนั้นเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ แต่นางก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น?

ถ้าเขาบอกว่าไม่มีความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยระหว่างทั้งสอง นางไม่เชื่อเด็ดขาด

ซูสือพูดอย่างจริงจัง "ข้าเดาว่านางคงประทับใจในความจริงใจของข้า"

“ความจริงใจ? ในโลกนี้ไม่มีใครชั่วร้ายไปกว่าเจ้าแล้ว!”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เซินอี้เหรินก็กัดฟันอย่างโกรธจัด

นางถูกผู้ชายคนนี้มองทุกส่วนในร่างกายจริงๆ!

ซูสือเกาหัว “มันเป็นเรื่องด่วน และข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ในอ่างอาบน้ำ ……”

“แต่ยังเบิกตากว้างไม่ละสายตาแบบนั้น!”

“...ข้าก็มองไม่เห็นนะสิ ถ้าข้าไม่เบิกตาให้กว้าง!”

“ข้า ข้าจะกัดเจ้าให้ตายเลยคอยดู!”

......

วันต่อมา

ภูเขาเทียนฉวี

ที่เชิงเขา กลุ่มผู้บ่มเพาะมารวมตัวกันที่นี่

ฝูงชนถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยฝั่งหนึ่งเป็นคนของฝ่ายธรรมะและอีกฝั่งเป็นฝ่ายมาร ทั้งสองกลุ่มแยกออกจากกันอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้บ่มเพาะกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่กระจัดกระจาย ซึ่งทุกคนเลือกที่จะอยู่ฝั่งวิถีธรรมะเช่นกัน

“ข้าได้ยินมาว่าศาลาเทียนจี้ก็จะมาเช่นกัน”

“แน่นอน ดินแดนแห่งเมฆาอันยิ่งใหญ่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน”

“หวังว่าคนที่มาจะเป็นเทพธิดาจ้าน หากมีความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์มานั่งอยู่ที่นี่ ข้าเชื่อว่าวิถีมารจะไม่กล้าเคลื่อนไหว”

“ข้าไม่ได้เห็นเทพธิดาจ้านมานานแล้ว”

“แต่คราวนี้สำนักยักษ์มารขุมนรกก็มาเช่นกัน และไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซูสือ อัจฉริยะระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสมบูรณ์!”

“ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสมบูรณ์? จริงเหรอ!"

“มารนั่นถึงกับลงมือสังหารคนของสำนักเทียนอี้ที่หอคณิกาเมื่อคืนนี้!”

ในขณะที่ฝูงชนกำลังพูดคุยกัน ร่างในชุดสีเขียวก็ค่อยๆ ปรากฏตัวจากระยะไกล

“นั่นคือผู้ตรวจการหลวงเฉิน!”

แม้จะไม่เห็นรูปร่างหน้าตา แต่ไม่ว่าใครก็สามารถระบุตัวตนนางได้จากปราณกระบี่ไร้เทียมทานที่แผ่จากตัวนาง

มือปราบมาร เฉินชิงหลวน!

เฉินชิงหลวนลงมาจากอากาศและเดินเข้ามาเงียบๆ จับกระบี่ยาวของนางด้วยท่าทางที่ไม่ควรเข้าใกล้

ผู้คนจากฝ่ายธรรมะดูตื่นเต้น

แม้ว่านางจะมาจากวัง แต่นางก็ยังถือเป็นความภาคภูมิใจของวิถีธรรมะ และด้วยการปรากฏตัวของนาง ผู้คนในวิถีมารจะไม่กล้าทำตัวป่าเถื่อน!

มีเพียงใบหน้าของผู้คนจากเทียนอี้เท่านั้นที่ดูแตกต่างไปเล็กน้อย

ในขณะนี้ฝูงชนก็เริ่มเคลื่อนไหว

“มันคือเทพธิดาจ้าน!”

“เทพธิดาจ้านมาแล้ว!”

นักพรตเต๋าสวมชุดนักพรตสีขาวนวลค่อยๆ ก้าวลงมาจากอากาศ

ใบหน้าของนางเย็นชาและดวงตาของนางก็สงบนิ่ง ราวกับพระจันทร์สีขาวที่อยู่บนท้องฟ้า

ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจ้านชิงเฉิง

เมื่อเห็นนาง เฉินชิงหลวนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

“ชิงเฉิน!”

“ชิงหลวน? เจ้าอยู่ที่นี่ด้วย!”

ทั้งสองหัวเราะและกอดกัน ความสวยของพวกนางทั้งสองสะท้านกันอย่างดีจนแม้แต่แสงแดดก็ยังหม่นลง