ตอนที่ 109

ใบหน้าของบรรพชนกวางเฒ่าน่าเกลียดมาก

เขารู้ว่าเรื่องของเผ่าเสือจะไม่จบลงด้วยดี และเผ่าอื่นในแดนคนเถื่อนจะถูกอาณาจักรหลินหลางแก้แค้น

แต่เขาไม่คิดว่าความกระหายเลือดของเฟิงเฉาเกอจะมากมายขนาดนี้!

สามร้อยลี้ไม่ได้กว้างเท่าไหร่ และเมื่อเทียบกับอาณาจักรคนเถื่อนทั้งหมดแล้ว มันเป็นพื้นที่เพียงนิ้วเดียวเท่านั้น

แต่มันหมายถึงการประนีประนอมและการยอมจำนนจากคนภายนอก!

“แน่นอนว่าเผ่าเสือเป็นฝ่ายผิด แต่พวกเขาก็ชดใช้ด้วยสมาชิกทั้งเผ่าไปแล้ว!”

บรรพชนกวางเฒ่าขมวดคิ้ว “อาณาจักรหลินหลางทำเกินไป!”

ดูเหมือนว่าหยูเจ๋อจะคิดไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายพูดแบบนี้และส่ายหัว “เผ่าเสือถูกกวาดล้างโดยจักรพรรดินีมารขุมนรกเพื่อล้างแค้นให้เซิ่งจื่อของนาง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับราชวงศ์”

"เจ้า!"

บรรพชนกวางเฒ่าโกรธจัด

นี่ไม่ใช่ข้อโต้แย้งที่เกินจริง!

"ข้าไม่เห็นด้วย! คนนอกเผ่าอื่นก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน!”

หยูเจ๋อส่ายหัว “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุย องค์จักรพรรดินีตัดสินใจแล้วว่าใครก็ตามที่กล้าขัดขวางการผลักป้อมปราการจะถูกประหารชีวิตทันที!”

ตาของบรรพชนกวางเฒ่าหรี่ลงเล็กน้อย “อวดดี เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า?”

กลิ่นอายของเขาระเบิดออกมาราวกับเหวลึก!

ฟ้าดินถูกบดบังในทันใด!

ในฐานะที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนนอก ไม่มีใครกล้าคุกคามเขา!

นับประสาอะไรกับมนุษย์จากแดนมนุษย์!

ถึงกระนั้นหยูเจ๋อก็ไม่กลัว

“เจ้าคิดว่าในอาณาจักรหลินหลางไม่มีคนที่แข็งแกร่งเลยหรือไง?”

“แม้ว่าเจ้าจะฆ่าทหาร 200,000 นายของเราทั้งหมด แต่อาณาจักรหลินหลางของเราก็ยังมีผู้คนนับพันล้าน!”

บูม!

ทหารสองแสนนายก้าวออกมา ระเบิดพลังจนพื้นดินสั่นสะเทือน!

จิตวิญญาณแห่งความกล้ารวมตัวและทำให้เมฆบนฟ้ากระจายออกทันที!

แต่ละคนเป็นยอดฝีมือของอาณาจักรหลินหลาง

ทหารกล้าที่ไม่กลัวความตาย!

ใบหน้าของบรรพชนกวางเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขารู้อยู่แก่ใจว่าถ้าเขาเคลื่อนไหว มันจะทำให้เกิดสงครามอย่างแน่นอน

เขาจะฆ่าแม่ทัพนี่ได้ยังไง!

หากทำอย่างนั้น มันจะกลายเป็นสงครามระหว่างเผ่าด้วยซ้ำ!

“เฟิงเฉาเกอ นังบ้า!”

เฟิงเฉาเกอ ในฐานะผู้ปกครองแห่งอาณาจักรหลินหลาง เจ้าแห่งฟ้าดินผู้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีถือครองหมัดเหล็ก!

นอกเหนือจากทักษะของจักรพรรดินีแล้ว ตัวนางเองก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด

เมื่อรวมกับยอดฝีมือจากสำนักเหล่านั้น หากพวกเขาต่อสู้กันจริงๆ พวกนั้นคงไม่กลัวอาณาจักรคนนอก!

“ฮึ่ม อาณาจักรหลินหลางของเจ้ากำลังมีปัญหาทั้งภายในและภายนอก และไม่สามารถดูแลตัวเองได้”

“สำนักยักษ์มารขุมนรกกำลังกระจายอำนาจไปทั่วเก้าภูมิภาคและพยายามที่จะยึดครองที่ราบกลาง เฟิงเฉาเกอมีทัศนคติที่แข็งแกร่ง ดูเหมือนว่านางต้องการแสดงอำนาจของนางและขัดขวางกองกำลังทั้งหมด!”

บรรพชนกวางเฒ่ายิ้มอย่างเย็นชา

เขามองทะลุความคิดของเฟิงเฉาเกอได้ชัดเจน

ในขณะนี้ ร่างสีขาวปรากฏจากระยะไกล

หยูเจ๋อจ้องมองและดวงตาของเขาก็สว่างวาบ ในขณะที่เขาตะโกนเสียงดัง "ซูเซิ่งจื่อ!"

“ซูเซิ่งจื่อ?”

ผู้คนต่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง

ซูสือบินอยู่เหนือทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง

เมื่อนึกถึงท่าทีขี้อายและไม่มีแรงขัดขืนของอวี่เหรินเอ๋อร์ หัวใจของเขายังเต้นแรงไม่ยอมหยุด

เห็นได้ชัดว่าดวงตาของนางไร้เดียงสามาก แต่รูปร่างหน้าตาของนางดูเจ้าเล่ห์และมีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสวมห่วงอสูร

“นี่มันกำลังฆ่าข้า!”

“ทดสอบข้าด้วยอะไรแบบนี้หรอ? นี่ไม่ใช่การท้าทายจุดอ่อนของข้าหรือยังไง!”

หากไม่ใช่เพราะอวี่หยวนที่จ้องมองเขาจากด้านข้าง เขาคงจะรู้สึกมึนเมาจากความรู้สึกอ่อนโยนนั้น

ในขณะนี้ซูสือแข็งเล็กน้อย

เขามองไปที่ทหารมนุษย์จำนวนมากที่เรียงรายอยู่ด้านล่าง หันหน้าไปทางคนนอก

แม่ทัพที่เป็นผู้นำตะโกนและโบกมือให้เขา

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซูสือเคลื่อนตัวผ่านก้อนเมฆและลงบนพื้นช้าๆ

ดวงตาของบรรพชนกวางเฒ่าจริงจังขึ้น

นี่คืออัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยเมืองหวงหยวนไว้หรือ?

การที่สามารถทำลายค่ายกลสังหารโลหิตได้ในอาณาจักรแก่นทองคำนั้น ความแข็งแกร่งนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ!

ควบคู่ไปกับการบ่มเพาะของจักรพรรดินีมารขุมนรก เกรงว่าในอนาคตจะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้!

“ซูเซิ่งจื่อ!”

ดวงตาของหยูเจ๋อตกตะลึง “ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆ!”

ซูสือขมวดคิ้วและพูดว่า “ท่านรู้จักข้า?.

หยูเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซูเซิ่งจื่อช่วยทุกคนจากหายนะ ท่านคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์เรา ใครบ้างจะไม่รู้จักท่าน”

“ฝ่าบาทส่งข้าไปช่วยเมืองหวงหยวน แต่ข้าไปพบซูเซิ่งจื่อสายเกินไป”

“ตอนนี้เรารู้สึกโล่งใจมากที่เห็นซูเซิ่งจื่อไม่เป็นอันตราย”

ทหารโดยรอบมองมาที่ซูสือด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

การกระทำของซูสือถูกเผยแพ่ออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งชื่อเสียงในกองทัพนั้นสูงมาก เมื่อเทียบกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขา ตัวตนของเขาในฐานะผู้บ่มเพาะวิถีมารดูเหมือนจะไม่สำคัญไปเลย

ซูสือไม่ได้มีความรู้สึกที่ไม่ดีอะไรต่อทหารเหล่านี้

ยกเว้นขุนนางที่ตีสองหน้า แม่ทัพและทหารส่วนใหญ่ที่ต่อสู้ในแนวหน้าต่างมีจิตใจที่บริสุทธิ์

ยกตัวอย่างเช่น หวังเหมา แม่ทัพรักษาชายแดน

แม้ว่าพวกเขาจะยืนกันอยู่คนละฝ่าย แต่ก็ไม่ได้หยุดเขาจากการชื่นชมชายคนนี้

"จริงสิ"

หยูเจ๋อจำบางอย่างได้และพูดว่า “ฝ่าบาทต้องการให้ท่านไปเข้าเฝ้า”

ซูสือเงียบไปครู่หนึ่ง “มันดูไม่เหมาะสมหรือเปล่า?”

เขาเป็นศิษย์ของสำนักยักษ์มารขุมนรกดังนั้นในสายตาของจักรพรรดินีเขาจึงควรจะเป็นกบฏ

หยูเจ๋อเกาหัว “ฝ่าบาทบอกว่าควรให้รางวัลด้วยตัวเองสำหรับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ท่านทำ”

“อย่างนั้นหรือ?”

ซูสือลูบคาง

ไม่น่าจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรหรอกใช่ไหม?

เมื่อเห็นบรรยากาศที่มืดมนรอบตัวเขา ซูสือก็ลังเล “แล้วตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”

หยูเจ๋อไม่ปิดบังและกล่าวว่า “เผ่าเสือบุกเมืองหวงหยวน ฝ่าบาททรงโกรธมากและต้องการผลักป้อมปราการไปทางเหนือสามร้อยลี้”

ซูสือพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นพวกท่านก็เร่งมือเถอะ ข้าขอตัวก่อน”

“ขอรับ เชิญท่านตามสบาย”

หยูเจ๋อยิ้มและโบกมือให้

เมื่อเห็นพวกเขาสองคนพูดคุยกันราวกับว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ใบหน้าของบรรพชนกวางเฒ่าก็บิดเบี้ยวมากกว่าเดิม

“เฟิงเฉาเกออนุญาตให้ซูสือไปที่วังจริงๆ หรือ?”

“เป็นไปได้ไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กับสำนักยักษ์มารขุมนรกคลี่คลายลงแล้ว”

เมื่อนึกถึงวันนั้นที่อวิ๋นฉีหลัวกวาดล้างเผ่าเสือ หัวใจของบรรพชนกวางเฒ่าก็เย็นวาบ

มันโหดร้ายเกินไป!

ถ้าจักรพรรดินีมารเข้ามาแทรกแซงด้วย สถานการณ์จะยิ่งแย่!

เมื่อมองไปที่กองทัพมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาของบรรพชนกวางเฒ่าก็สั่นไหว เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “วันนี้ข้าจะยอมถอย ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง!”

นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองและต้องขอความเห็นจากผู้อาวุโสคนอื่นๆ

หลังจากพูดจบ เขาก็โบกเสื้อคลุมและหายไปในอากาศ

แม้ว่าคนนอกคนอื่นจะดูไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็ทำอะรไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ถอย

หยูเจ๋อถอนหายใจโล่งอก

เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าไม่มีแรงกดดันทางจิตใจเมื่อเผชิญหน้ากับบรรพชนกวางเฒ่า

“ซูเซิ่งจื่อเพิ่งมาและพวกเขาก็ยอมถอย?”

หยูเจ๋อแย้มยิ้ม “ใครบอกว่าซูเซิ่งจื่อเป็นดาวมาร? ข้าคิดว่าเขาเป็นคนมีชื่อเสียงที่ได้รับพรจากราชวงศ์ของเราอย่างแน่นอน!”

เขาหยิบแผ่นหินขึ้นมาและเดินไปข้างหน้า

การเปิดพรมแดน นี่เป็นเกียรติสูงสุดสำหรับแม่ทัพ!

####

เมืองหวงหยวน

จ้านชิงเฉิงและเฉินชิงหลวนนั่งอยู่บนกำแพงเมือง เท้าของพวกนางแกว่งไปมาเบาๆ

“ชิงเฉิงเจ้าคิดว่าซูสือเขา...ประสบอุบัติเหตุจริงหรือเปล่า?”

เฉินชิงหลวนถามเสียงเบา

คิ้วของจ้านชิงเฉิงขมวดเล็กน้อย “ไร้สาระ เขาน่าจะสบายดี”

เสียงของเฉินชิงหลวนขาดหายไป “แต่ทำไมถึงไม่มีข่าวนานขนาดนี้ ...”

จ้านชิงเฉิงมองแกไปไปไกล การจ้องมองของนางดูสิ้นหวัง

“คนสารเลว เจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน...”

ในขณะนั้น เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังพวกนาง “พวกเจ้ากำลังมองหาข้าอยู่หรือเปล่า?”

ร่างกายของทั้งสองแข็งทื่อ

จากนั้นพวกนางก็หัวควับไปมอง

"ซูสือ!"