บนชั้นด้านหน้าเขามีก้อนอำพันที่มีไฟถูกผนึกไว้ข้างใน
แม้มันจะถูกแยกจากอากาศ มันก็ยังแผดเผาเงียบๆ
ดวงตาของซูสือสว่างวาบ
"นี่คือเมล็ดพันธุ์ไฟ?"
เมล็ดพันธุ์ไฟหายาก
แม้มันจะไม่สามารถหลอมและใช้โดยตรงไป มันก็คือสารอาหารล้ำค่าต่อไฟอื่น
ถ้ามีพอ มันสามารถทำให้ไฟศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการได้!
มันอาจไร้ประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่สำหรับซูสือ มันคือสมบัติที่ไม่สามารถแลกได้
ไฟด้านหน้าเขาไม่ได้บริสุทธิ์เท่าเมล็ดพันธุ์ไฟที่้ขายในร้านค้า แต่มันบริสุทธิ์กว่าอันที่ได้รับในเมืองเฉียนหยาง
"ของดี!'
ซูสือหยิบอำพันขึ้นมาและปล่อยพลังเล็กน้อย
ผิวอำพันแหลกและไฟก็ตกในฝ่ามือเขา
ไฟเทพดวงดาวสว่างวาบ และเมล็ดพันธุ์ไฟก็ค่อยๆผสานเข้ากันมัน
ไฟแผดเผา!
สีของไฟเทพดวงดาวเข้มขึ้น ไฟสีทองซีดแต่เดิมเปลี่ยนเป็นสีทองจริงๆ
ซูสือขมวดคิ้ว"นี่ดูไม่ค่อยดีมาก"
ระดับของไฟเทพดวงดาวสูงมาก
ต่อให้ไฟนี้บริสุทธิ์พอ มันก็เพิ่งพลังไฟเทพดวงดาวได้แค่หนึ่งส่วน
เพื่อให้วิวัฒนาการอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการไม่น้อย
ซูสือส่ายหัว
ข้าจะไปหาเมล็ดพันธุ์ไฟมากขนาดนั้นได้จากไหน?
อวิ๋นฉีหลัวพูดขึ้น"เจ้าอยากได้ของชิ้นนี้?ข้าจำได้ว่ายังมีอีกนะ"
สัมผัสของนางครอบคลุมหอหมื่นสมบัติ และด้วยการขยับมือเบาๆ กองอำพันก็ตกอยู่ด้านหน้าซูสือ
"พอไหม?"
พอมองกองเมล็ดพันธุ์ไฟด้านหน้าเขา ซูสือก็กลืนน้ำลาย
บางที นี่คงเรียกว่าผู้หญิงรวยได้ใช่ไหม?
หนึ่งก้านธูปต่อมา
บูม!
เปลวไฟปะทุ
พบเห็นว่าไฟนั้นเปลี่ยนเป็นสีทองบริสุทธิ์ ราวกับสระน้ำสีทองกำลังไหลในฝ่ามือ
พลังที่เพิ่มขึ้นมากกว่าแปดส่วน!
"นี่ยังขาดอีกนิด ข้าเดาว่าข้ายังต้องการเมล็ดพันธุ์ไฟบริสุทธิ์"
แม้มันจะน่าเสียดาย ซูสือก็รู้สึกพึงพอใจ
เหนือสิ่งอื่นใด ไฟเทพดวงดาวเพิ่งผ่านการวัวฒนาการมา
"ถ้าข้าสามารถทำให้วิวัฒนาการได้อีกครั้ง เคล็ดผสานเก้าวัฏจักรฟ้าดินควรจะเข้าสู่วัฏจักรที่สองเช่นกัน"
ตอนนี้ซูสือบรรลุวัฏจักรแรกแล้ว
ถ้าเขาสามารถทะลวงผ่านได้ เขาจะพัฒนาความสามารถอื่นได้ด้วย!
หลังดูดซับมัน ซูสือก็เดินไปหาอวิ๋นฉีหลัว"ฝ่าบาท ไปกันเถอะ'
อวิ๋นฉีหลัวถาม"เจ้าไม่เลือกอีกเหรอ?"
ซูสือส่ายหัว"ไม่จำเป็น'
เขาบ่มเพาะเคล็ดบ่มเพาะที่ดีสุดและวิชาที่ดีสุด แถมแหวนของเขายังเต็มไปด้วยสมบัติที่เอามาจากคลังของชิงฉิว
แม้ของที่นี่จะดี พวกมันก็ไม่สำคัญต่อเขา
"ก็ได้"
อวิ๋นฉีหลัวพูด"พอเจ้าทะลวงไปอาณาจักรวิญญาณแรกก่อตั้ง ข้าจะพาเจ้าไปชั้นสอง"
ซูสือยิ้ม"ข้าซาบซึ้งใจนัก"
อวิ๋นฉีหลัวเชิดหน้า"ดีที่รู้ อย่าทำให้ข้าโกรธอีกละ"
ซูศือพึมพำ"ใครทำให้ฝ่าบาทเป็นคนขี้หึง?"
"เจ้าพูดว่าไงนะ?"
อวิ๋นฉีหลัวหยิกเอวเขาอีก
"...โอ้ย ผิดแล้ว ผิดแล้ว ข้าแค่พูดหยอก!"
เมืองหลวงเว่ยหยาง
ในวังจ้าวเทียน เฟิงเฉาเกอถามขณะอ่านเอกสาร"สถานการณ์ทางฝั่งชายแดนเหนือเป็นไง?"
ขุนนางหญิงก้มหัวตอบ"หลังเราผลักชายแดนไปข้างหน้า คนนอกก็ไม่เคลื่อนไหวอีก ดูเหมือนอาณาจักรคนเถื่อนจะยอม"
เฟิงเฉาเกอพยักหน้า"ให้อวี่เจ๋อเฝ้าชายแดนเหนือต่อไป ใครก็ตามที่กล้าข้ามเขตแดนมาจะถือว่ารุกล้ำจักรวรรดิหลินหลางของข้า"
"เจ้าค่ะ"
ขุนนางหญิงถาม"แล้วเราจะส่งดินแดนคืนเมื่อไรคะ?"
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่พูดตอนนั้นคือ'ผลักชายแดนไปข้างหน้าชั่วคราว'
เฟิงเฉาเกอยิ้มเย็น"ข้าจะตัดแบ่งเนื้อคืนได้ไงในเมื่อข้ากินไปแล้ว?ให้คนวาดแผนที่ใหม่ด้วย.
การยอมความของอาณาจักรคนเถื่อนได้เผยความอ่อนแอของคนนอก
นี่คืออาณาเขตสามร้อยลี้ จักรวรรดิหลินหลางอยากได้มัน!
ขุนนางหญิงลอบตกใจ
นี่คือการยึดดินแดน!
จักรพรรดินียังแข็งแกร่งเหมือนเคย!
"ว่าแต่"
เฟิงเฉาเกอดูเหมือนจะนึกอะไรได้"มีข่าวอะไรจากอ๋องซูบ้างไหม?"
ขุนนางหญิงตอบ"อาณาจักรโม่เฉินยังไม่ตอบกลับเจ้าค่ะ ดูเหมือนจะไม่คิดสืบสาวอีก ส่วนอ๋องซูไปถึงสำนักยักษ์มารขุมนรกเมื่อวานเจ้าค่ะ"
เฟิงเฉาเกอพยักหน้า"นั่นค่อนข้างสมเหตุสมผล"
อาณาจักรที่อ่อนแอจะไม่มีอำนาจทางการฑูต
มันแค่เจ้าชายจากเมืองทะเลทรายเล็กๆ ถูกฆ่าตายแล้วไง
ถ้าอีกฝ่ายกล้าสร้างปัญหา นางก็ไม่ว่าอะไรที่จะปักธงหลินหลางบนทะเลทราย!
พอคิดถึงใบหน้าหล่อเหลา เฟิงเฉาเกอก็เหม่อ
นับตั้งแต่ซูสือไป ชีวิตนางก็กลับเป็น'ปกติ'
นางกลับมาเป็นจักรพรรดินีผู้ปกครองเก้าภูมิภาคอย่างเย็นชา อ่านเอกสารที่กองเป็นภูเขา รับมือกับเรื่องต่างๆ กินข้าวเช้าคำเดียวและเข้าราชสำนักทุกวัน
แต่พอถึงเวลากลางคืน นางจะนั่งอย่างโดดเดี่ยวในวังว่างเปล่า
ความเหงาได้ปกคลุมตัวนาง
แม้นางจะไม่อยากยอมรับ แต่นางโหยหาอ้อมกอดแสนอบอุ่นนั่น
"ข้าทนไม่ได้จริงๆที่ไม่เห็นหน้าซูสือ"
"แต่หลังเจอกับเรื่องนี้ อวิ๋นฉีหลัวคงไม่ปล่อยตัวเขาไปไหนง่ายๆ"
"ฮึ่ม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมยกให้ข้า งั้นข้าก็จะชิงมันด้วยตัวข้าเอง"
ดวงตาของเฟิงเฉาเกอกลายเป็นมุ่งมั่น"ข้าต้องกำจัดสำนักมารให้หมดและชิงตัวซูสือมา ไม่มีเวลาให้เสียอีกแล้ว!"
สำนักยักษ์มารขุมนรก จวนเซิ่งจื่อ
ท้องฟ้าตกอสู่ความมืดมิด แสงเทียนเป็นแหล่งแสงเดียวในห้อง
ร่างหนึ่งเดินไปหน้าต่าง มองรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแล้วกระโจนเข้าหน้าต่าง
แสงเทียนไหววูบ
มันส่องใบหน้างามของ'หัวขโมย'ผู้นี
มันคือหยูเจียวหลง
นางเดินไปที่เตียงช้าๆ มองมนุษย์ที่ห่อตัวในผ้าห่มแล้วพูด"เซิ่งจื่อ ท่านหลับหรือยัง?"
คนใต้ผ้าห่มสั่นเบาๆ แต่ไม่พูด
"เพื่อให้ไม่โดนจับ ข้าเลยแอบเข้าผ่านหน้าต่าง หวังว่าเซิ่งจื่อจะไม่ถือสา"
บรรยากาศเงียบจนเสียงเข็มตกยังดัง
หยูเจียวหลงกระซิบ'ข้ารู้ว่าท่านยังไม่นอน พิษเย็นนี้ดูเหมือนจะร้ายกาจกว่าปกติ ถ้าท่านไม่ถือสา คืนนี้ช่วยกอดข้าได้หรือไม่?"
"ข้ารับปากว่าจะไม่ขยับและจะพยายามไม่แตะจุดที่ไม่สมควร"
คนใต้ผ้าห่มยังเงียบ
ไม่มีการตอบรับ หยูเจียวหลงฝืนยิ้ม"ข้าขอโทษ ข้าดูเหมือนจะทำเกินไป'
"ขอบคุณท่านที่คอยช่วยเหลือข้ามา เซิ่งจื่อ ข้า...จะไม่มีวันลืม"
"เซิ่งจื่อพักผ่อนเถอะ ข้าไม่ขอรบกวนแล้ว"
หลังพูด นางก็หมุนตัว เดินไปทางหน้าต่าง
นางกำหมัดแน่นจนเล็บฝังเข้าฝ่ามือ
"มันเป็นข้าที่ทำอะไรไม่คิด มันดูเหมือนว่าเซิ่งจื่อจะเกลียดข้าแล้วใช่ไหม?"
"มันก็แค่พิษเย็น ข้าสามารถรอดมาได้ก่อนหน้านี้ ทำไมตอนนี้จะรอดไม่ได้?"
"ทำไมข้าถึงอ่อนแอนัก?"
หัวใจของหยูเจียวหลงเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ"ข้าควรจะอยู่คนเดียวดีกว่า'
"นักบุญหยู รอก่อน"
ทันใดนั้น เสียงแหลมก็ดังจากด้านหลังนาง เท้าของหยูเจียวหลงหยุดชะงัก ตัวนางแข็งทื่อ
นางค่อยๆหันไปมอง
นางเห็นไป่ชิงนั่งบนเตียงด้วยใบหน้าเขินอาย"เซิ่งจื่อถูกฝ่าบาทเรียกตัว เขายังไม่กลับมา ข้ากำลังช่วยเซิ่งจื่ออุ่นเตียง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ"
หยูเจียวหลงยืนตัวแข็ง
ที่นี่ใกล้กับห้องนอนของฝ่าบาท นางจึงไม่ใช้สัมผัสเพราะกลัวจะถูกจับได
อย่างไม่คาดคิด คนใต้ผ้าห่มไม่ใช่ซูสือ?
แล้วที่นางพูดไป...
มันจบแล้ว ไป่ชิงได้ยินหมด!
ดวงตาของไป่ชิงเป็นประกาย นางพูดตะกุกตะกัก"นักบุญหยู นักบุญหยู ท่านควันขึ้นแล้ว!'
วังยักษ์มาร
ซูสือนั่งบนโซฟาสีแดง มองอวิ๋นฉีหลัวด้วยใบหน้างุนงง
"ฝ่าบาท?"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved