ตอนที่ 160

บนชั้นด้านหน้าเขามีก้อนอำพันที่มีไฟถูกผนึกไว้ข้างใน

แม้มันจะถูกแยกจากอากาศ มันก็ยังแผดเผาเงียบๆ

ดวงตาของซูสือสว่างวาบ

"นี่คือเมล็ดพันธุ์ไฟ?"

เมล็ดพันธุ์ไฟหายาก

แม้มันจะไม่สามารถหลอมและใช้โดยตรงไป มันก็คือสารอาหารล้ำค่าต่อไฟอื่น

ถ้ามีพอ มันสามารถทำให้ไฟศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการได้!

มันอาจไร้ประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่สำหรับซูสือ มันคือสมบัติที่ไม่สามารถแลกได้

ไฟด้านหน้าเขาไม่ได้บริสุทธิ์เท่าเมล็ดพันธุ์ไฟที่้ขายในร้านค้า แต่มันบริสุทธิ์กว่าอันที่ได้รับในเมืองเฉียนหยาง

"ของดี!'

ซูสือหยิบอำพันขึ้นมาและปล่อยพลังเล็กน้อย

ผิวอำพันแหลกและไฟก็ตกในฝ่ามือเขา

ไฟเทพดวงดาวสว่างวาบ และเมล็ดพันธุ์ไฟก็ค่อยๆผสานเข้ากันมัน

ไฟแผดเผา!

สีของไฟเทพดวงดาวเข้มขึ้น ไฟสีทองซีดแต่เดิมเปลี่ยนเป็นสีทองจริงๆ

ซูสือขมวดคิ้ว"นี่ดูไม่ค่อยดีมาก"

ระดับของไฟเทพดวงดาวสูงมาก

ต่อให้ไฟนี้บริสุทธิ์พอ มันก็เพิ่งพลังไฟเทพดวงดาวได้แค่หนึ่งส่วน

เพื่อให้วิวัฒนาการอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการไม่น้อย

ซูสือส่ายหัว

ข้าจะไปหาเมล็ดพันธุ์ไฟมากขนาดนั้นได้จากไหน?

อวิ๋นฉีหลัวพูดขึ้น"เจ้าอยากได้ของชิ้นนี้?ข้าจำได้ว่ายังมีอีกนะ"

สัมผัสของนางครอบคลุมหอหมื่นสมบัติ และด้วยการขยับมือเบาๆ กองอำพันก็ตกอยู่ด้านหน้าซูสือ

"พอไหม?"

พอมองกองเมล็ดพันธุ์ไฟด้านหน้าเขา ซูสือก็กลืนน้ำลาย

บางที นี่คงเรียกว่าผู้หญิงรวยได้ใช่ไหม?

หนึ่งก้านธูปต่อมา

บูม!

เปลวไฟปะทุ

พบเห็นว่าไฟนั้นเปลี่ยนเป็นสีทองบริสุทธิ์ ราวกับสระน้ำสีทองกำลังไหลในฝ่ามือ

พลังที่เพิ่มขึ้นมากกว่าแปดส่วน!

"นี่ยังขาดอีกนิด ข้าเดาว่าข้ายังต้องการเมล็ดพันธุ์ไฟบริสุทธิ์"

แม้มันจะน่าเสียดาย ซูสือก็รู้สึกพึงพอใจ

เหนือสิ่งอื่นใด ไฟเทพดวงดาวเพิ่งผ่านการวัวฒนาการมา

"ถ้าข้าสามารถทำให้วิวัฒนาการได้อีกครั้ง เคล็ดผสานเก้าวัฏจักรฟ้าดินควรจะเข้าสู่วัฏจักรที่สองเช่นกัน"

ตอนนี้ซูสือบรรลุวัฏจักรแรกแล้ว

ถ้าเขาสามารถทะลวงผ่านได้ เขาจะพัฒนาความสามารถอื่นได้ด้วย!

หลังดูดซับมัน ซูสือก็เดินไปหาอวิ๋นฉีหลัว"ฝ่าบาท ไปกันเถอะ'

อวิ๋นฉีหลัวถาม"เจ้าไม่เลือกอีกเหรอ?"

ซูสือส่ายหัว"ไม่จำเป็น'

เขาบ่มเพาะเคล็ดบ่มเพาะที่ดีสุดและวิชาที่ดีสุด แถมแหวนของเขายังเต็มไปด้วยสมบัติที่เอามาจากคลังของชิงฉิว

แม้ของที่นี่จะดี พวกมันก็ไม่สำคัญต่อเขา

"ก็ได้"

อวิ๋นฉีหลัวพูด"พอเจ้าทะลวงไปอาณาจักรวิญญาณแรกก่อตั้ง ข้าจะพาเจ้าไปชั้นสอง"

ซูสือยิ้ม"ข้าซาบซึ้งใจนัก"

อวิ๋นฉีหลัวเชิดหน้า"ดีที่รู้ อย่าทำให้ข้าโกรธอีกละ"

ซูศือพึมพำ"ใครทำให้ฝ่าบาทเป็นคนขี้หึง?"

"เจ้าพูดว่าไงนะ?"

อวิ๋นฉีหลัวหยิกเอวเขาอีก

"...โอ้ย ผิดแล้ว ผิดแล้ว ข้าแค่พูดหยอก!"

เมืองหลวงเว่ยหยาง

ในวังจ้าวเทียน เฟิงเฉาเกอถามขณะอ่านเอกสาร"สถานการณ์ทางฝั่งชายแดนเหนือเป็นไง?"

ขุนนางหญิงก้มหัวตอบ"หลังเราผลักชายแดนไปข้างหน้า คนนอกก็ไม่เคลื่อนไหวอีก ดูเหมือนอาณาจักรคนเถื่อนจะยอม"

เฟิงเฉาเกอพยักหน้า"ให้อวี่เจ๋อเฝ้าชายแดนเหนือต่อไป ใครก็ตามที่กล้าข้ามเขตแดนมาจะถือว่ารุกล้ำจักรวรรดิหลินหลางของข้า"

"เจ้าค่ะ"

ขุนนางหญิงถาม"แล้วเราจะส่งดินแดนคืนเมื่อไรคะ?"

เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่พูดตอนนั้นคือ'ผลักชายแดนไปข้างหน้าชั่วคราว'

เฟิงเฉาเกอยิ้มเย็น"ข้าจะตัดแบ่งเนื้อคืนได้ไงในเมื่อข้ากินไปแล้ว?ให้คนวาดแผนที่ใหม่ด้วย.

การยอมความของอาณาจักรคนเถื่อนได้เผยความอ่อนแอของคนนอก

นี่คืออาณาเขตสามร้อยลี้ จักรวรรดิหลินหลางอยากได้มัน!

ขุนนางหญิงลอบตกใจ

นี่คือการยึดดินแดน!

จักรพรรดินียังแข็งแกร่งเหมือนเคย!

"ว่าแต่"

เฟิงเฉาเกอดูเหมือนจะนึกอะไรได้"มีข่าวอะไรจากอ๋องซูบ้างไหม?"

ขุนนางหญิงตอบ"อาณาจักรโม่เฉินยังไม่ตอบกลับเจ้าค่ะ ดูเหมือนจะไม่คิดสืบสาวอีก ส่วนอ๋องซูไปถึงสำนักยักษ์มารขุมนรกเมื่อวานเจ้าค่ะ"

เฟิงเฉาเกอพยักหน้า"นั่นค่อนข้างสมเหตุสมผล"

อาณาจักรที่อ่อนแอจะไม่มีอำนาจทางการฑูต

มันแค่เจ้าชายจากเมืองทะเลทรายเล็กๆ ถูกฆ่าตายแล้วไง

ถ้าอีกฝ่ายกล้าสร้างปัญหา นางก็ไม่ว่าอะไรที่จะปักธงหลินหลางบนทะเลทราย!

พอคิดถึงใบหน้าหล่อเหลา เฟิงเฉาเกอก็เหม่อ

นับตั้งแต่ซูสือไป ชีวิตนางก็กลับเป็น'ปกติ'

นางกลับมาเป็นจักรพรรดินีผู้ปกครองเก้าภูมิภาคอย่างเย็นชา อ่านเอกสารที่กองเป็นภูเขา รับมือกับเรื่องต่างๆ กินข้าวเช้าคำเดียวและเข้าราชสำนักทุกวัน

แต่พอถึงเวลากลางคืน นางจะนั่งอย่างโดดเดี่ยวในวังว่างเปล่า

ความเหงาได้ปกคลุมตัวนาง

แม้นางจะไม่อยากยอมรับ แต่นางโหยหาอ้อมกอดแสนอบอุ่นนั่น

"ข้าทนไม่ได้จริงๆที่ไม่เห็นหน้าซูสือ"

"แต่หลังเจอกับเรื่องนี้ อวิ๋นฉีหลัวคงไม่ปล่อยตัวเขาไปไหนง่ายๆ"

"ฮึ่ม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมยกให้ข้า งั้นข้าก็จะชิงมันด้วยตัวข้าเอง"

ดวงตาของเฟิงเฉาเกอกลายเป็นมุ่งมั่น"ข้าต้องกำจัดสำนักมารให้หมดและชิงตัวซูสือมา ไม่มีเวลาให้เสียอีกแล้ว!"

สำนักยักษ์มารขุมนรก จวนเซิ่งจื่อ

ท้องฟ้าตกอสู่ความมืดมิด แสงเทียนเป็นแหล่งแสงเดียวในห้อง

ร่างหนึ่งเดินไปหน้าต่าง มองรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแล้วกระโจนเข้าหน้าต่าง

แสงเทียนไหววูบ

มันส่องใบหน้างามของ'หัวขโมย'ผู้นี

มันคือหยูเจียวหลง

นางเดินไปที่เตียงช้าๆ มองมนุษย์ที่ห่อตัวในผ้าห่มแล้วพูด"เซิ่งจื่อ ท่านหลับหรือยัง?"

คนใต้ผ้าห่มสั่นเบาๆ แต่ไม่พูด

"เพื่อให้ไม่โดนจับ ข้าเลยแอบเข้าผ่านหน้าต่าง หวังว่าเซิ่งจื่อจะไม่ถือสา"

บรรยากาศเงียบจนเสียงเข็มตกยังดัง

หยูเจียวหลงกระซิบ'ข้ารู้ว่าท่านยังไม่นอน พิษเย็นนี้ดูเหมือนจะร้ายกาจกว่าปกติ ถ้าท่านไม่ถือสา คืนนี้ช่วยกอดข้าได้หรือไม่?"

"ข้ารับปากว่าจะไม่ขยับและจะพยายามไม่แตะจุดที่ไม่สมควร"

คนใต้ผ้าห่มยังเงียบ

ไม่มีการตอบรับ หยูเจียวหลงฝืนยิ้ม"ข้าขอโทษ ข้าดูเหมือนจะทำเกินไป'

"ขอบคุณท่านที่คอยช่วยเหลือข้ามา เซิ่งจื่อ ข้า...จะไม่มีวันลืม"

"เซิ่งจื่อพักผ่อนเถอะ ข้าไม่ขอรบกวนแล้ว"

หลังพูด นางก็หมุนตัว เดินไปทางหน้าต่าง

นางกำหมัดแน่นจนเล็บฝังเข้าฝ่ามือ

"มันเป็นข้าที่ทำอะไรไม่คิด มันดูเหมือนว่าเซิ่งจื่อจะเกลียดข้าแล้วใช่ไหม?"

"มันก็แค่พิษเย็น ข้าสามารถรอดมาได้ก่อนหน้านี้ ทำไมตอนนี้จะรอดไม่ได้?"

"ทำไมข้าถึงอ่อนแอนัก?"

หัวใจของหยูเจียวหลงเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ"ข้าควรจะอยู่คนเดียวดีกว่า'

"นักบุญหยู รอก่อน"

ทันใดนั้น เสียงแหลมก็ดังจากด้านหลังนาง เท้าของหยูเจียวหลงหยุดชะงัก ตัวนางแข็งทื่อ

นางค่อยๆหันไปมอง

นางเห็นไป่ชิงนั่งบนเตียงด้วยใบหน้าเขินอาย"เซิ่งจื่อถูกฝ่าบาทเรียกตัว เขายังไม่กลับมา ข้ากำลังช่วยเซิ่งจื่ออุ่นเตียง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ"

หยูเจียวหลงยืนตัวแข็ง

ที่นี่ใกล้กับห้องนอนของฝ่าบาท นางจึงไม่ใช้สัมผัสเพราะกลัวจะถูกจับได

อย่างไม่คาดคิด คนใต้ผ้าห่มไม่ใช่ซูสือ?

แล้วที่นางพูดไป...

มันจบแล้ว ไป่ชิงได้ยินหมด!

ดวงตาของไป่ชิงเป็นประกาย นางพูดตะกุกตะกัก"นักบุญหยู นักบุญหยู ท่านควันขึ้นแล้ว!'

วังยักษ์มาร

ซูสือนั่งบนโซฟาสีแดง มองอวิ๋นฉีหลัวด้วยใบหน้างุนงง

"ฝ่าบาท?"