ตอนที่ 157

มือเรียวของอวิ๋นฉีหลัวกำแน่น ร่างกายของนางไม่สามารถระงับอาการสั่นเบาๆ ได้

นางเห็นอะไร?

ซูสือและหยูเจียวหลงกอดกันจริงๆ!

และทั้งคู่ก็ไร้เสื้อผ้า!

“หยูเจียวหลงกำลังทำอะไร?”

อวิ๋นฉีหลัวก็ได้ตระหนักว่านางได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่

ซูสือเป็นคนขี้โกหกจริงๆ!

เดิมที นางคิดว่าในบรรดาสี่นักบุญ นักบุญตะวันออกนั้นแข็งแกร่งที่สุดและสามารถรับประกันความปลอดภัยของซูสือได้ดีที่สุด

นั่นเป็นเหตุผลที่นางได้รับหน้าที่ให้คอยปกป้องซูสือ

นางไม่คิดเลยว่าหยูเจียวหลงจะเป็นคนที่นางต้องระวัง!

“ข้าไม่นึกเลยว่าหัวขโมยจะเป็นหมาป่าในชุดแกะ!”

อวิ๋นฉีหลัวกัดฟันขาวของนางแน่น

หยูเจียวหลงมีบุคลิกเย็นชา ราวกับว่านางเป็นก้อนน้ำแข็ง ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใดๆ

แต่ตอนนี้นางเอนกายอยู่ในอ้อมแขนของซูสือ

ท่าทางประหม่าและเขินอายนิดหน่อยนั้นทำให้การรับรู้ของอวิ๋นฉีหลัวกระจ่างขึ้นเท่านั้น!

หลังจากความโกรธในตอนแรก อวิ๋นฉีหลัวสังเกตเห็นไฟที่ลุกโชนเผาผลาญพวกเขาทั้งสองและอดไม่ได้ที่จะชะงักไปเล็กน้อย

“ไฟเทพ ซูสือใช้มันได้จริงหรอ?”

“มันเพิ่งผ่านมาไม่นาน ดังนั้นข้าเดาว่าเขาน่าจะมีโอกาสอีกครั้ง”

“ดูเหมือนว่าซูสือช่วยนางไล่พิษเย็น?”

อวิ๋นฉีหลัวรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยหลังจากคิดเรื่องนี้ “แต่มันไม่จำเป็นต้องกอดแน่นขนาดนั้น ใช่ไหม? โดยเฉพาะตอนเปลือยกาย!!”

ซูสือและหยูเจียวหลงอยู่ด้วยกันนานแค่ไหน?

น่าทึ่งมากที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมากจนสามารถเปิดเผยต่อกันได้!

นางกับซูสือรู้จักกันมามากว่าสิบปี และการสัมผัสเพียงครั้งเดียวที่พวกนางดูเหมือนจะมีคือตอนที่เขาอายุเจ็ดขวบและจับมือกัน......

อวิ๋นฉีหลัวฉายแววไม่พอใจ

อยากจะเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน แต่ก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่านางแอบมอง

นางทำได้เพียงอดทนและไม่ทำอะไร

นางกอดเข่าและนั่งบนเตียง สัมผัสของนางครอบคลุมจวนเซิ่งจื่อ

“ข้าอยากจะเห็นว่าเจ้าทั้งคู่จะกอดกันได้นานแค่ไหน?!”

วันต่อมา

แสงแดดยามเช้าส่องเข้าไปในห้อง

หยูเจียวหลงและซูสือลืมตาขึ้นพร้อมกัน

อากาศเงียบลงเมื่อดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน

“อรุณสวัสดิ์ นักบุญหยู”

ซูสือทักทายอย่างตรงไปตรงมา

ดวงตาของหยูเจียวหลงเป็นประกาย “อะ อรุณสวัสดิ์”

ในใจนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ “ทำไมข้าถึงหลับไปอีกแล้ว”

เมื่อวานนี้ นางรวบรวมความกล้าที่จะมาหาซูสือ เพียงเพื่อที่จะได้รับไออุ่นจากกอดของเขา

แต่เมื่อนางอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้น นางรู้สึกง่วงนอนอย่างช่วยไม่ได้

เป็นผลให้นางนอนหลับสนิทในอ้อมแขนของเขาตลอดทั้งคืน

“ขอบคุณ เซิ่งจื่อ”

นางกำลังจะลุกขึ้นนั่ง

"รอสักครู่!"

ซูสือรีบเรียกให้หยุด สีหน้าของเขาแปลกไปเล็กน้อย “นักบุญหยูอาจต้องรอค่อยลุกขึ้น”

"ทำไม-"

ก่อนที่คำพูดจบ หยูเจียวหลงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ร่างกายของนางแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ทันที และนอนนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน มีไอหมอกสีขาวพวยพุ่งออกมาจากเหนือหัวของนาง

ซูสือหลับตาและท่องคาถาเงียบๆ

ครึ่งก้านธูปต่อมา

ในที่สุดเลือดที่ปั่นป่วนก็สงบลงและเขาก็กระแอมในลำคอ “ไม่เป็นไรแล้ว”

หยูเจียวหลงลุกจากเตียงราวกับว่าต้องการวิ่งหนี

แต่เมื่อมองไปที่ร่างอันน่าทึ่งของเขา เลือดที่เพิ่งเย็นลงก็เริ่มเดือดอีกครั้ง

"ข้าอยากตาย!"

ซูสือส่ายหัว

อีกฝ่ายนอนหลับสนิทในอ้อมแขนของเขาขณะเปลือยเปล่า แต่นางก็ยังเขินอาย!

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ในขณะนี้มีเสียงเคาะประตู

เสียงของไป่ชิงมาจากด้านนอก “เซิ่งจื่อท่านตื่นหรือยัง?”

หยูเจียวหลงตัวแข็งทื่อและพูดเสียงเบาว่า “ข้าขอรบกวนให้เซิ่งจื่อเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อข้า”

จากนั้นนางก็รีบสวมเสื้อผ้าแล้วเปิดหน้าต่างหนีไป

ซูสือ: "..."

ประตูห้องถูกผลักเปิดออกเบาๆ

ดวงตาโตของไป่ชิงกระพริบตรงช่องว่างที่แง้ม และถามด้วยเสียงเล็กๆ ว่า "เซิ่งจื่อไม่น่าจะมีใครอยู่กับท่านใช่หรือไม่?"

ครั้งสุดท้ายนางข้ามาเจอนักบุญตะวันออก ดังนั้นนางจึงได้รับบทเรียน

ซูสือส่ายหัวและพูดว่า “ไม่มี”

ไป่ชิงรู้สึกโล่งใจ

นางผลักประตูออก เดินเข้าไปทันเห็นซูสือกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าพอดี

เมื่อมองไปที่ร่างกายที่ได้รูปนั้น ใบหน้าเล็กๆ ของไป่ชิงก็แดงระเรื่อขณะที่นางยื่นเสื้อผ้าส่งให้เขา

“เซิ่งจื่อ ผู้ดูแลเพิ่งมาและบอกว่าฝ่าบาทขอให้ท่านไปที่วังยักษ์มารเจ้าค่ะ” ไป่ชิงกล่าว

ซูสือตกตะลึง “ฝ่าบาทต้องการพบข้าอย่างงั้นรึ?”

เมื่อวานฝ่าบาทยังปลีกวิเวกอยู่เลยไม่ใช่หรือ?

นางออกมาเร็วขนาดนั้นเลย?

ในห้องอาหาร

โต๊ะเต็มไปด้วยสมบัติและอาหารอันโอชะ แต่อวิ๋นฉีหลัวไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย

สายตาของนางดูเบื่อหน่าย ขณะที่นางนั่งอยู๋บนเก้าอี้

ตลอดทั้งคืน

นางคิดว่าหยูเจียวหลงน่าจะจากไปหลังจากพิษเย็นของนางลดลง แต่ทั้งสองกลับนอนอยู่ด้วยกันทั้งคืน!

“ข้าขอให้นางปกป้องซูสือ แต่นางกลับไปนอนกับเขา?”

คิ้วของอวิ๋นฉีหลัวกระตุกเบาๆ และเจตนาฆ่ารุนแรงก็กวาดไปทั่วดวงตาของนาง

แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับหยูเจียวหลง นางก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้อีกครั้ง

“เป็นเพราะบทลงโทษที่ข้าให้นั้นรุนแรงเกินไป”

“นางมีพิษเย็นลงถึงกระดูก และไม่สามารถดื่มสุราได้ครึ่งปี มันยากสำหรับนางที่จะทนได้”

“แต่ความผิดใครล่ะที่นางไม่ปกป้องซูสือตั้งแต่แรก?”

หัวใจของอวิ๋นฉีหลัวเศร้ามาก

ในขณะนั้น เสียงของผู้แลดังขึ้นจากนอกประตู “ฝ่าบาท เซิ่งจื่อมาถึงแล้วขอรับ”

อวิ๋นฉีหลัวรีบสงบสติและนั่งตัวตรง "ให้เขาเข้ามา"

ครู่ต่อมา ซูสือเดินเข้ามา

“น้อมพบฝ่าบาท”

อวิ๋นฉีหลัวพยักหน้า "นั่งสิ"

ซูซือเดินไปนั่งข้างๆ นาง

เมื่อมองไปที่ชายที่นางไม่ได้เจอมานาน อวิ๋นฉีหลัวดูสงบและพูดอย่างเฉยเมยว่า “เมื่อคืนนี้ เซิ่งจื่อหลับสบายดีหรือไม่?”

ซูสือตัวแข็ง พยักหน้าและพูดว่า “ก็ดีขอรับ”

“มีสาวสวยอยู่ในอ้อมแขน คงจะดีอยู่แล้วสินะ!”

อวิ๋นฉีหลัวไม่ได้พูดออกเสียงดังๆ

กลืนความขมขื่นในใจของนางกลับคืนไป นางหันหน้าหนีจากเขา แล้วพูดว่า "เซิ่งจื่อกินข้าวก่อนเถอะ ค่อยพูดเรื่องอื่นทีหลัง"

"ขอรับ!"

ซูสือไม่ได้คิดอะไรมาก

อย่างแรก เขาคีบปลาชิ้นหนึ่งใส่ในชามของนาง

แต่อวิ๋นฉีหลัวไม่ได้ขยับตะเกียบเหมือนเคย และพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ข้าไม่หิว เซิ่งจื่อกินคนเดียวเถอะ”

"โอ้"

ซูสือกินอาหารอย่างจริงจัง

บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ

ดวงตาของอวิ๋นฉีหลัวเหม่อลอย ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

ทันใดนั้นปลาชิ้นหนึ่งก็ยื่นมาที่ปากนาง

นางเงยหน้าขึ้นและเห็นซูสือกำลังป้อนอาหารให้นาง “ปลานี่อร่อยจริงๆ ฝ่าบาท ทำไมท่านไม่ลองดูล่ะ?”

มือเรียวของอวิ๋นฉีหลัวกำเสื้อคลุมของนางและพูดเบาๆ ว่า “ข้าบอกว่า ......อื้ม”

เมื่ออ้าปากพูด ปลาก็ถูกยื่นเข้ามาในปาก

ซูสือยิ้มและพูดว่า “เห็นไหมข้าไม่ได้โกหกท่าน?”

เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสนั้น ความก้าวร้าวที่ถูกเก็บกดไว้ในใจก็ไม่สามารถระงับไว้ได้อีกต่อไป

อวิ๋นฉีหลัวกัดริมฝีปาก ดวงตาของนางมืดมัว ขณะที่นางพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ไม่! เจ้าโกหกข้า!"

“เจ้าพูดอย่างชัดเจนว่าเจ้ามีแค่ข้าในหัวใจของเจ้า คนขี้โกหก ข้าเกลียดเจ้าจริงๆ!”