ตอนที่ 141

วังจ้าวเทียน

ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่าง

เฟิงเฉาเกอยืนที่ระเบียง จับราว มองไปทางเนินเขาเขียว

ลมอ่อนพัดผมนาง และดูเหมือนจะมีอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ซ่อนอยู่ลึกในดวงตานาง

ขุนนางหญิงด้านหลังนางก้มหัว"ฝ่าบาท ถึงเวลาไปราชสำนักแล้วเจ้าค่ะ"

เฟิงเฉาเกอส่ายหัว"วันนี้ไม่ต้องประชุม ให้พวกเสนาบดีแยกย้ายไป"

ขุนนางหญิงรู้สึกงุนงง

"ฝ่าบาท ท่านดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะเจ้าคะ?"

ขุนนางหญิงถามอย่างระมัดระวัง

เฟิงเฉาเกอถอนหายใจ"หากไม่มีเขา แล้วข้าจะนอนหลับได้ยังไง?"

"หะ?"

ขุนนางหญิงตัวแข็.

เฟิงเฉาเกอยกนิ้วเรียกและเคาะคิ้วนางเบาๆ

บูม!

เกิดเสียงหนักหน่วงในอากาศ

แสงเรืองรองปรากฏ ชุดหงส์โบกสะบัด และแรงกดดันมหาศาลก็ปกคลุมโลก

ขุนนางหญิงคุกเข่าโดยไม่รู้ตัว

เฟิงเฉาเกอหันไป นางเปลี่ยนกลับไปเป็นจักรพรรดินีที่ปกครองอาณาจักร

"เรียกผู้ตรวจการหลวงของหน่วยปราบมาร เฉินชิงหลวงมายังวัง"

"ธิดาของประมุขเฉินหรือเจ้าคะ?"

ขุนนางหญิงสงสัย"ทำไมฝ่าบาทถึงอยากเจอนาง?"

เฟิงเฉาเกอแค่นเสียงเย็น"ข้าอยากเห็นว่าปากของเฉินชิงหลวนจะหวาดขนาดไหนเขาถึงสามารถทิ้งข้าไว้คนเดียวในห้องนอนได้!"

"???"

ขุนนางหญิงหมดคำจะพูด

ประโยคนี้เหนือความคาดหมาย

เรื่องราวเกินความเข้าใจของนางไปไกลโข

..

ดินแดนเมฆา

ภายในห้องเงียบ เมฆม้วนรอบซือคงหลานเยวี่ย

จ้านชิงเฉิงกระซิบ"อาจารย์ นักบุญตะวันออกของวิถีมารไปเมืองหลวงเว่ยหยางและรับตัวซูสือ"

นางดูเสียใจ

สุดท้ายอาจารย์ก็ฟังนางและริเริ่มบอกว่านางอยากเจอซูสือ

เดิมที นางอยากฉวยโอกาสนี้ให้ซูสือมาเยือนศาลาเทียนจีเพื่อที่ทั้งสองจะได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเปิดเผย

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีโอกาส

ซือคงหลานเยวี่ยพูด"มันคงเพราะอวิ๋นฉีหลัวเกิดวิตก"

จ้านชิงเฉิงตกตะลึง"จักรพรรดินีมารวิตก?"

ซือคงหลานเยวี่ยพูด"การเห็นอัจฉริยะของตัวเองถูกราชสำนักซื้อตัวไป อวิ๋นฉีหลัวจะไม่วิตกได้ไง?"

ระหว่างที่ซูสืออยู่ในเมืองหลวงเว่ยหยาง เขาแทบพลิกคว่ำทั้งเมืองหลวง

ทั้งเขียนบทกวี ได้รับเจตจำนงกระบี่ห่าวหราน ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง จับกบฏและกำจัดความชั่วร้าย

สถานะและชื่อเสียงของเขาทะยาน ตอนนี้เขายังกลายเป็นผู้ถือกระบี่ซางฟาง!

ทุกคนรู้สึกว่าซูสือคือผู้กุมอำนาจ

เหนือสิ่งอื่นใด เขาคือเซิ่งจื่อของวิถีมาร กบฏในสายตาชาวโลก

ใครจะไปคิดว่าเขาจะกลายเป็นกระดูกสันหลังของราชสำนัก

จ้านชิงเฉินกังวล"ประสงค์ของฝ่าบาทจะทำให้จักรพรรดินีมารเกิดไม่พอใจซูสือหรือไม่?แล้วถ้าเกิดจักรพรรดินีมารทำอะไรซูสือ..."

"ไม่มีทาง"

ซือคตงหลานเยวี่ยส่ายหัว"เพราะจักรพรรดินีมารรู้ดีว่าถ้านางสงสัยซูสือ นางจะติดกับของเฟิงเฉาเกอจริงๆ"

ในฐานะผู้สังเกตการณ์ นางมองมันอย่างถี่ถ้วน

สิ่งเดียวที่นางสับสนคือเฟิงเฉาเกอดูเหมือนจะเชื่อใจซูสือมาก

ตำแหน่งอ๋องยังพอเข้าใจได้

มันก็แค่ตำแหน่งปลอมๆ ไม่มีอำนาจจริง และยิ่งไปกว่านั้นศักดินาของเขาคือภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นของฝ่ายมารมานานแล้ว

แต่ ตำแหน่งผู้ตรวจการหลวงสิคืออำนาจจริง

นอกจากนั้นยังประทานกระบี่ซางฟาง!

ตราบเท่าที่ซูสืออยาก เขาสามารถเปลี่ยนราชสำนักเป็นทะเลเลือดได้!

"นี่ไม่ใช่นิสัยของเฟิงเฉาเกอเลย"

ซือคงหลานเยวี่ยครุ่นคิด

สัญชาตญาณนางบอกว่ามีบางสิ่งระหว่างเฟิงเฉาเกอกับซูสือ

จ้านชิงเฉิงถาม"อาจารย์ เราจะทำยังไงกัน?"

ซือคงหลานเยวี่ยพูด"ไม่ต้องทำอะไร รอให้พายุลูกนี้ผ่านไปก่อน แล้วค่อยคิดหาทางทำให้ซูสือมายังดินแดนเมฆา"

นางยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับซูสือมากขึ้น

อัจฉริยะแบบไหนถึงสามารถเขียนบทกวีเช่นนั้นได้?

เหนือเมฆ ร่างสองร่างบินในอากาศ

มันคือซูสือกับหยูเจียวหลง

พวกเขาออกจากพรมแดนของที่ราบกลางและบินไปทางสำนัก

ตอนนี้ เสียงแจ้งเตือนดังในหูของซูสือ

[องค์ชายฉูหยินตาย ส่งผลต่อโครงเรื่องต่อไป ได้รับยี่สิบแต้มโครงเรื่อง]

[การทำลายจวนองค์ชายส่งผลต่อโครงเรื่องต่อไป ได้รับสิบแต้มโครงเรื่อง]

[บารมีของอาณาจักรหลินหลางเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อโครงเรื่องต่อไป ได้รับสิบแต้มโครงเรื่อง]

การแจ้งเตือนดังสามครั้งติด ได้ทั้งหมดสี่สิบแต้ม

ฉูหยินตายแล้ว

ดวงตาของซูสือเป็นประกาย

แม้ฉูหยินจะได้รับโทษฆ่าตัวตาย แต่จริงๆเขาก็ยังโดนตัดหัว ที่ประกาศออกไปแบบนั้นก็เพื่อรักษาหน้าของราชวงศ์

พอคิดถึงจักรพรรดินี มุมปากของซูสือก็ยกโค้ง

"ข้าสงสัยว่าวันนี้นางจะสวมถุงน่องหรือเปล่า?"

"เซิ่งจื่อ เจ้าคิดอะไรอยู่?"

ซูสือได้สติ เห็นหยูเจียวหลงขมวดคิ้วมองเขา"รอยยิ้มนั้นดูโรคจิตมาก"

"อะแฮ่ม..."

ซูสือกระแอมอย่างเขินอาย

พอมองเมืองด้านใต้ที่พวกเขาบินผ่าน พวกเขาคงกำลังเข้าสู่พรมแดนของภูมิภาคใต้แล้ว

ซูสือพูด"นักบุญหยู ไปภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ก่อน"

เขาไม่เจอไป่ชิงมานานแล้ว

"ได้"

หยูเจียวหลงพยักหน้า

พวกเขาต้องผ่านภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้เพื่อกลับสำนักอยู่แล้ว มันจึงไม่เสียเวลามาก

ทั้งสองตัดผ่านเมฆ

เมืองเฟิงซา จวนแม่ทัพ

ไป่ชิงนั่งสมาธิ ตาปิดสนิท

ระหว่างนี้ นางบ่มเพาะอย่างหนัก อาณาจักรนางไปถึงหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์แล้ว และห่างจากอาณาจักรก่อตั้งรากฐานเพียงก้าวเดียว

แต่นี่คืออาณาจักรใหญ่

นางไม่ได้บ่มเพาะมานานนัก มันไม่ง่ายที่จะทะลวงผ่าน

"บ้าจริง อีกนิดเดียวเท่านั้น"

ไป่ชิงหงุดหงิด"ข้าหวังว่าจะทำให้นายท่านแปลกใจ"

ซูสือได้รับชื่อเสียงมากมาย

วีรบุรุษของมนุษย์ อ๋องและอัจฉริยะแห่งเต๋ากระบี่...เขากลายเป็นความภาคภูมิใจของเก้าภูมิภาค

ไป่ชิงเองก็ได้รับเกียรตินั้นไปด้วย

แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกถึงวิกฤต

นายท่านของนางยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นางจะมีคุณสมบัติอยู่ข้างเขาจริงเหรอ?

มันเพราะสิ่งนี้ นางถึงบ่มเพาะทั้งวันทั้งคืน

แม้มันจะช่วยลดระยะห่างได้เล็กน้อยก็ตาม

จากนั้น เสียงคุ้นเคยก็ดังข้างหูนาง

"เปิดปากสิ"

ไป่ชิงตัวแข็งและเปิดปากโดยไม่ลังเล

เม็ดยาสอดใส่ปากนาง และพลันเปลี่ยนเป็นกระแสอบอุ่นที่ไหลไปทั่วตัวนาง

"เพ่งจิต และกระตุ้นเคล็ดบ่มเพาะ"

ไป่ชิงรีบทำตาม

พลังปราณพลันพุ่งสูงและไม่ช้าก็ถึงจุดสูงสุด

"อีกนิดเดียว!"

ตอนนั้นเอง นิ้วพลันแหย่ไปที่ตันเถียนนาง

บูม!

ราวกับหลุดจากพันธนาการ พลังปราณพลุ่งพล่านผ่านเส้นชีพจร

ภายในตันเถียน พลังปราณมหาศาลไหลทะลัก

แสงสีทองส่องประกาย!

นี่คืออาณาจักรก่อตั้งรากฐาน!

ไป่ชิงลืมตา

นางเห็นชายในชุดขาวกำลังยืนตรงหน้านาง มองนางด้วยรอยยิ้ม

"ยินดีด้วย เจ้าถือว่าเข้าสู่วิถีบ่มเพาะอย่างเต็มตัวแล้ว"

"นายท่าน?'

ชั้นหมอกเริ่มปรากฏในดวงตาของไป่ชิง

การบ่มเพาะอะไร ก่อตั้งรากฐานอะไร นางลืมทั้งหมดไปชั่วขณะ ราวกับนางเป็นเด็กที่ไม่ได้เจอแม่มานาน นางกระโดดใส่อ้อมอกของเขา

"นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว!ข้าคิดถึงท่านมาก!"

ไป่ชิงมองเขาอย่างหลงใหล

ทันใดนั้น นางก็เห็นเงาร่างหนึ่ง

นางหันไปมอง เห็นผู้หญิงถือไหสุรา กำลังสูดดมกลิ่นมันด้วยใบหน้าพึงพอใจ

ไป่ชิงตัวแข็ง"นายท่าน..."

ซูสือถาม"มีอะไร?"

ไป่ชิงกระซิบ"ทำไมท่านถึงพาสาวแปลกหน้ากลับมาทุกครั้งเลย?"

ซูสือ"..."