ตอนที่ 159

ซูสือตัวแข็งทื่อ

เขาจะได้ของขวัญอะไรกันนะ?

ตอนอวิ๋นฉีหลัวเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร นางก็ขมวดคิ้ว"อะไร เจ้าไม่อยากได้?"

"ข้าอยากได้"

ซูสือพยักหน้า

เขาแค่ต้องรอในห้องนอนใช่ไหม?มันไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยทำ

อวิ๋นฉีหลัวพ่นลม"ดี"

แม้นางจะเขินอาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืนก่อนก็มอบความรู้สึกวิกฤตให้นาง

ซูสือดึงดูดสาวๆได้เก่ง

แม้กระทั่งน้ำแข็งอย่างหยูเจียวหลงก็ยังละลาย

ถ้าตัวนางไม่ให้อะไรเขาบ้าง นางกลัวว่าเขาจะถูกแย่งไป!

บรรยากาศค่อยๆดี

ซูสือถาม'ฝ่าบาทมีความอยากหรือยัง?"

อวิ๋นฉีหลัวอ้าปาก"ข้าจะกิน"

'ดี"

ซูสือหยิบจานขึ้นมาและขณะที่กำลังจะคีบอาหารวางลงบนจาน เขาก็ได้ยินนางพูดด้วยเสียงไม่พอใจ

"ข้าไม่ได้จะกินแบบนี้'

"แล้วจะกินแบบไหน?"

ซูสือพลันเข้าใจและยื่นไปจ่อปากนาง"นี่ อ้า"

แก้มของอวิ๋นฉีหลัวขึ้นสี ปากของนางเปิดขึ้น

พอเห็นใบหน้านาง ซูสือก็กลืนน้ำลาย หัวใจเต้นเร็วขึ้น

คนอีกคนผุดขึ้นในหัวเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ถ้าเฟิงเฉาเกอคือดอกไม้จากขุนเขาสูงที่เติบโตบนหน้าผาก งั้นอวิ๋นฉีหลัวก็คือดอกกุหลาบที่เบ่งบานท่ามกลางขวากหนาม อันตรายแต่มีเสน่ห์

"ทำไมถึงมองข้าแบบนั้น?"

อวิ๋นฉีหลัวโบกมือไปมาด้านหน้าเขา

ซูสือได้สติและส่ายหัว"มันเพราะฝ่าบาทสวยเกินไป"

"ฮึ่ม เจ้าปากหวานนักนะ"

อวิ๋นฉีหลัวมองเขาอย่างเขินอายและถาม"งั้นใครกันที่สวยกว่า ข้าหรือหยูเจียวหลง?"

ซูสือพูดโดยไม่ลังเล"ถ้าพูดถึงเสน่ห์แล้ว ฝ่าบาทเหนือกว่า"

หยูเจียวหลงสวยมาก

แต่จักรพรรดินีมารมีฐานะสูงและปกครองวิถีมาร บรรยากาศที่นางแผ่ออกมาไม่ใช่ที่ใครจะเทียบได้

มุมปากของอวิ๋๊นฉีหลัวยกโค้ง"ข้าเข้าใจแล้ว'

"แต่..."

ซูสือลูบคางและพึมพำ"นักบุญหยูหุ่นดีมาก เอวบาง ขายาว รวมถึงผิวขาวเนียนนุ่ม ข้ายังไม่ได้เห็นเรือนร่างของฝ่าบาท มันจึงสรุปได้ยาก..."

ก่อนเขาจะพูดจบ อวิ๋นฉีหลัวก็หยิกเอวเขาและกัดฟัน"เจ้าชอบเปรียบเทียบกับข้านักใช่ไหม?"

"โอ้ย โอ้ย"

ซูสืออยากร้อง"ก็ท่านถามเองนะ?"

"ข้าถามแต่เจ้ากล้าให้คำตอบเช่นนี้!เจ้ามีเวลาสาวินาทีเพื่อลืมหยูเจียวหลงไปซะ!"

ครึ่งก้านธูปต่อมา

สุดท้ายห้องอาหารก็กลับสู่ความเงียบ

อวิ๋นฉีหลัวจ้องเขาโกรธๆ"สามหาวนัก เจ้ากล้าเทียบข้ากับผู้อื่น!"

ซูสือรีบคีบอาหารเข้าปากนาง"ฝ่าบาท กินก่อน"

"ก็ได้"

อวิ๋นฉีหลัวเคี้ยวด้วยแก้มที่ป่อง"นี่มันแย่มาก!"

"ท่านอิ่มหรือยัง?"

"...อืม ข้ายังอยากกิน"

ซูสือป้อนนางต่อ

อวิ๋นฉีหลัวนั่งบนเก้าอี้ และรอคนป้อนอย่างเชื่อฟัง

จักรพรรดินีไม่สามารถหลับได้ตอนไม่มีเขา ส่วนจักรพรรดินีมารก็ไม่ชอบกินตอนไม่มีเขา

มันชัดเจนว่าทั้งสองคือคนที่มีอิทธิพลมาก แต่ในมุมมองของชีวิต พวกนางเหมือนเด็กที่ดูแลตัวเองไม่เป็น

"เป็นทั้งหมอนกับพี่เลี้ยงเด็กพร้อมกัน และทำหน้าที่เป็นเครื่องให้ความอุ่น..."

ซูสือถอนหายใจ"พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง ต้องใช้คำนี้สินะ?"

หลังกินเสร็จ คนก็มาเก็บจาน

ครั้งนี้ อวิ๋นฉีหลัวคิดอะไรได้และลุกขึ้น"เจ้ามากับข้าก่อน"

ซูสือตามนางไป

ทั้งสองเดินออกจากห้องและเดินไปทางหลังภูเขา มาถึงด้านหน้าประตูถูเขา

ด้านหน้าประตูมีชายสวมเกราะสีดำสองคนยืน ใบหน้าพวกเขาซ่อนใต้เงา ผแกลิ่นอายน่ากลัวเหมือนขุมนรกที่ทำให้รูม่านตาของซูสือหด ความรู้สึกที่ทหารสองคนนี้มอบให้เขานั้นไม่อ่อนแอไปกว่าสี่นักบุญ!

ทหารสวมเกราะดำคุกเข่าลงข้างหนึ่ง"น้อมพบฝ่าบาท"

อวิ๋นฉีหลัวพยักหน้า"เปิดประตู"

"ขอรับ"

ทหารทั้งสองลุกและหนึ่งในนั้นก็จับห่วงประตู

ประตูภูเขาเปล่งแสง และสิ่งก่อสร้างโบราณก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ

มีแสงเจ็ดสีแผ่จากประตู และตัวอักษรสีดำที่เขียนว่า : หอหมื่นสมบัติ

หอหมื่นสมบัติ?

ฝ่าบาทพาข้ามาที่นี่?

ซูสือมึนงง

หอหมื่นสมบัติคือคลังของสำนักยักษ์มารขุมนรก ว่ากันว่ามันมีสมบัติสวรรค์นับไม่ถ้วน และมีแค่ผู้ที่ทำความดีความชอบให้แก่สำนักอย่างมหาศาลถึงเข้าไปเลือกสมบัติได้สักชิ้น

และเท่าที่เขารู้มา มันมีไม่เกินสิบคนที่มีสิทธิ์!

พอเขาตามอวิ๋นฉีหลัวเข้าไป ซูสือก็รู้สึกเหมือนตาตัวเองกำลังจะบอด

เขาเห็นชั้นวางมากมายด้านหน้า ทั้งหมดเป็นสมบัติจิตวิญญาณ เม็ดยาเซียนและเคล็ดบ่มเพาะมากมาย

ยังมีอาวุธรูปทรงต่างๆ และทุกชิ้นก็ล้วนเป็นสมบัติชั้นเลิศ

อย่างไรก็ตาม นี่แค่ชั้นแรกของหอหมื่นสมบัติ ยิ่งขึ้นไปสูง สมบัติยิ่งล้ำค่า!

"ก่อนหน้านี้ เจ้าไม่แข็งแกร่งพอ ข้าเลยไม่เคยพาเจ้ามา"

อวิ๋นฉีหลัวพูด"ตอนนี้ที่เจ้าเป็นเซิ่งจื่อและอาณาจักรบ่มเพาะก็เข้าสู่แก่นทองคำขั้นสมบูรณ์แล้ว เจ้าสามารถเลือกสมบัติชิ้นใดก็ได้ตามใจชอบ"

"เลือก?"

ซูสือตัวแข็ง

นี่ล่อลวงกันเกินไปแล้ว!

อวิ๋นฉีหลัวพูดอย่างไม่แยแส"ข้าบอกว่าข้าจะทำให้เจ้ามีทรัพยากรไร้สิ้นสุด เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหกหรือไง?"

ซูสือพยักหน้า"งั้นข้าจะไม่สำรวม.

เขาไม่มองสมบัติบนพื้นและเดินตรงไปทางบันได

ในเมื่อเลือกชิ้นไหนก็ได้ เขาก็ต้องเลือกชิ้นที่ดีสุด!

แต่ตอนเขาไปถึงบันได เขาก็ถูกกำแพงที่มองไม่เห็นขวางไว้

อวิ๋นฉีหลัวยิ้ม"ข้าลืมบอกเจ้าไปว่ามีเพียงผู้บ่มเพาะอาณาจักรวิญญาณแรกก่อตั้งถึงขึ้นไปชั้นสองได้ สำหรับชั้นสาม เจ้าต้องเป็นผู้บ่มเพาะอาณาจักรเทพสถิต"

มันปหนูที่หิวโหยมากมาย

โอกาสอยู่ด้านหน้า แต่เขาไม่อาจเอื้อมถึง

แน่นอนว่าอวิ๋นฉีหลัวสามารถพาซูสือขึ้นไปชั้นสามได้ และต่อให้เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ นางก็สามารถให้เขาเลือกได้

แต่ด้วยฐานบ่มเพาะปัจจุบันของเขา เขาจะไม่สามารถดึงพลังของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ และจะทำให้เกิดความโลภอีกด้วย

"ก็ได้"

ซูสือเดินกลับมาด้วยหัวที่ก้มต่ำอย่างหดหู่

อวิ๋นฉีหลัวมองอย่างขบขัน"เจ้าจะรีบไปไหน?เจ้าคือผู้สืบทอดของข้า ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเจ้าอยู่แล้วในอนาคต"

ซูสือกะพริบตา"ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทก็เป็นของข้าเหรอ?"

"อะไร เจ้าพูดเรื่องอะไร!"

อวิ๋นฉีหลัวหน้าแดง

ชายคนนี้ชักกล้าขึ้นเรื่อยๆ!

ซูสือค้นผ่านชั้นวาง และแสบตาไปหมด

สมบัติบนชั้นนี้อย่างเดียวก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคลังสมบัติของเผ่าจิ้งจอกแล้ว!

นี่ช่วยยืนยันถึงพลังของสำนักยักษ์มารขุมนรกได้เป็นอย่างดี

ตอนนี้ แสงหนึ่งพลันคว้าความสนใจของซูสือ

"หือ?มีสิ่งนี้ด้วยเหรอ?"