ตอนที่ 50

จ้านชิงเฉิงไม่เคยชอบที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น

แต่มีข้อยกเว้นอยู่ 2 คน คนแรกคืออาจารย์ของนางซือคง หลานเยวี่ย และอีกคนคือเฉินชิงหลวน

ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก มีความสนใจคล้ายๆ กัน และเป็นเพื่อนดีที่เข้าใจกันโดยที่ไม่จำเป็นต้องพูด

อย่างไรก็ตามตอนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคือคือซูสือ......

จ้านชิงเฉิงยิ้มและพูดว่า "ชิงหลวน ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมาด้วย ข้ากังวลมานานตั้งแต่ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าหายไป"

ใบหน้าสวยของเฉินชิงหลวนขึ้นสีแดงเล็กน้อย ขณะที่นางพูดตะกุกตะกัก “ไม่มีอะไร ข้าแค่ใช้เวลาสักพักในการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ”

“อย่างนั้นเหรอ?”

จ้านชิงเฉิงแอบแซะและจงใจพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าแพ้ซูสือคนนั้นรึ?”

เฉินชิงหลวนกระทืบเท้าและตำหนิว่า “ทำไมเจ้าถึงมาพูดตอนนี้!”

จ้านชิงเฉิงส่ายหัว และพูดว่า "ไม่เห็นเป็นไร ซูสือเป็นอัจฉริยะระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสมบูรณ์ การแพ้เขาไม่ใช่เรื่องน่าอาย แม้แต่ข้า..."

คำพูดหยุดกลางประโยคทันที

เฉินชิงหลวนถามอย่างอยากรู้ “เจ้าสู้กับเขาด้วยเหรอ?”

ดวงตาของจ้านชิงเฉิงเลื่อนลอย "ทำนองนั้น"

นางแทบจะหลุดแล้ว...

เฉินชิงหลวนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องกับเพื่อนสนิทของนาง

ดูเหมือนว่าจะไม่มีความรู้สึกเย็นชาและอ้างว้างอย่างในอดีตอีกต่อไป แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วย......

ความร่าเริง?

......

ด้วยการมาถึงของอัจฉริยะทั้งสองจากวิถีธรรมะ รัศมีของพวกนางได้ครอบงำผู้คนฝ่ายวิถีมารอย่างสมบูรณ์

พวกเขาหลบอยู่ในมุมหนึ่งด้วยสีหน้าขุ่นเคือง

“คนฝ่ายวิถีธรรมะเหล่านั้นเย่อหยิ่งเกินไป!”

“ช่วยไม่ได้ ตอนนี้พวกมันมีกลุ่มศิษย์ชั้นหนึ่งอยู่ถึงสองคน”

“รู้สึกเหมือนรัศมีของจ้านชิงเฉิงแข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่ว่านางทะลวงผ่านอีกแล้วนะ?”

“คนจากสำนักยักษ์มารขุมนรกไปอยู่ไหน? ทำไมพวกเขายังไม่มาอีก?”

ในขณะนี้ เสียงอากาศแตกสลายดังในอากาศ และร่างสองร่างก็ลอยลงมา

ฝูงชนที่เสียงดังเงียบลงทันที

สายตาของผู้คนฝ่ายวิถีธรรมะและวิถีมารจับจ้องคนที่เพิ่งมา

พรสวรรค์ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสมบูรณ์ในตำนาน อัจฉริยะสูงสุดของสำนักยักษ์มารขุมนรก ซูสือ!

ผู้คนในวิถีมารตื่นเต้นอย่างมาก

แม้ว่าจะมีคำกล่าวว่าโอกาสเป็นเรื่องของความสามารถของแต่ละคน แต่ถ้าฝ่ายธรรมะและราชวงศ์มารวมกัน ก็มีแนวโน้มว่าผู้คนในวิถีมารจะถูกกวาดล้างก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น

แต่เมื่อซูสือปรากฏ อีกฝ่ายจะต้องพิจารณาทางเลือกใหม่อีกครั้ง

ในทางกลับกัน มุมมองของฝ่ายธรรมะนั้นซับซ้อนกว่ามาก

แม้ว่าพรสวรรค์ที่หายากของเขาจะน่ากลัว แต่มีคนไม่มากที่ได้เห็นการต่อสู้ของซูสือ และไม่มีใครสามารถเห็นภาพที่ชัดเจนของความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา

เขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ หรือแค่แกล้ง?

ซูสือไม่สนใจสายตาของพวกเขา

สายตาของเขากวาดไปทั่วฝูงชน และไม่พบร่างของเย่เซียว

“เขาไม่อยู่ที่นี่จริงด้วย เขาควรจะเข้าไปในภูเขาก่อนหน้านี้”

ซูสือยิ้มอย่างเย็นชา

การโกงเป็นสิทธิพิเศษตามปกติของบุตรฟ้าประทาน

เซินอี้เหรินชี้ไปหาซูสือและพูดด้วยสีหน้าฉุนเฉียว “คู่ฟันดาบเก่าของเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย”

“คู่เก่า?”

ซูสือชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปมอง

เขาเห็นจ้านชิงเฉิงกับเฉินชิงหลวนยืนอยู่ด้วยกันและมองเขาอย่างสงบ

ซูสือยิ้มและขยิบตา

ใบหน้าของจ้านชิงเฉิงเปลี่ยนเป็นสีแดงและนางก็ก้มหัวลงอย่างลุกลี้ลุกลน “คนบ้า เขาไม่กลัวว่าความสัมพันธ์ของเราจะเปิดเผยเลยเหรอ!?”

เฉินชิงหลวนเองก็หลบสายตาด้วยความตื่นตระหนก “คนลามก เขากล้าเกินไปแล้ว!”

ทั้งสองสับสนมากจนไม่มีใครรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเพื่อนตัวเอง

พรึ่บ~

ทันใดนั้น เสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นในอากาศ

เมื่อเห็นแท่งแสงสีทองที่พุ่งขึ้นทะลุฟ้าจากด้านหลังภูเขาเทียนฉวี เปล่งแสงปราณที่แข็งแกร่งและรัศมีของสมบัติ ผู้คนก็ตาเหลือก

“สมบัติสูงสุด เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติสูงสุด!”

ฝูงชนหอบหายใจ จ้องมองแสงศักดิ์สิทธิ์ด้วยความหลงใหล

ด้วยรัศมีเช่นนี้ จะต้องมีสมบัติล้ำค่าอยู่ที่นั่นแน่!

นี่เป็นโอกาสที่ดี!

รถม้าสีทองพุ่งผ่านท้องฟ้า และเสียงไพเราะก็ดังขึ้นจากอากาศ

"องค์จักรพรรดิได้ทรงตรัสเอาไว้ เมื่อโอกาสมาถึง ทุกคนควรพึ่งพาความสามารถของตนเอง เผื่อกรณีที่สัตว์อสูรโจมตีเมือง ผู้บ่มเพาะอาณาจักรวิญญาณแรกก่อตั้งและสูงกว่านั้นห้ามเข้าไปในภูเขา!”

ความหมายของข้อความนี้ชัดเจน

ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำลายเมืองหลินเฟิง พวกเขาสามารถต่อสู้จนกว่าจะพอใจ ราชวงศ์จะไม่เข้าไปแทรกแซง

สำหรับข้อจำกัดของอาณาจักรนั้นเป็นกฎเดิม

เนื่องจากทวีปเฉิงเทียนอยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ ไม่สำคัญว่าใครจะต่อสู้จนตัวตาย แต่ถ้าผู้บ่มเพาะอาณาจักรวิญญาณแรกก่อตั้ง หรือแข็งแกร่งกว่านั้นลงมือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถคาดเดาได้

นี่คือวิธีปฏิบัติตามปกติของราชวงศ์ที่จะใช้

หลังจากส่งสารแล้ว ม้ามังกรก็ส่งเสียงร้องและรถม้าก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ในเวลาเดียวกัน ค่ายกลที่ปิดกั้นภูเขาเทียนฉวีก็คลายตัว

ฉากเงียบไปครู่หนึ่ง

"ไป!"

“คว้าโอกาสมาให้ได้!”

ฝูงชนกระจายตัวและจับกลุ่มพากันไปที่ภูเขาเทียนฉวี กลัวว่าหากพวกเขาอยู่ข้างหลังเพียงก้าวเดียวสมบัติจะถูกฉกฉวยไป

ตีนเขาพลันว่างเปล่า

เซินอี้เหรินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ซูสือตามพวกเขาไปเร็ว!”

ซูสือส่ายหัว “ทำไมต้องเร่งรีบ? ให้พวกเขาไปกวาดเส้นทางก่อน”

มรดกโบราณ มันจะแย่งมาง่ายๆได้ไง?

“โฮกกก!”

เกิดเสียงขู่ดังสนั่น ต้นไม้หักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และคลื่นลมปราณอันยิ่งใหญ่ก็พุ่งออกไปหลายร้อยเมตร!

ใบหน้าของเซินอี้เหรินเปลี่ยนเป็นสีซีด

นางเกือบลืมไปว่าภูเขาเทียนฉวี ที่ที่เหล่าสัตว์อสูรพักอาศัยคือหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายสุดของภูมิภาคเหนือ!

ซูสือไม่สนใจพวกเขา เขาเดินเข้าไปหาเฉินชิงหลวนและจ้านชิงเฉิง

ตอนนี้เหลือเพียงพวกนางสองคนเท่านั้น

ซูสือยิ้มและพูด “ภูเขาเทียนฉวีนี้อันตรายและลึกลับ ทำไมเราไม่ละทิ้งอคติของเราชั่วคราวแล้วไปเที่ยวด้วยกันเป็นกลุ่มล่ะ?”

เฉินชิงหลวนตะคอกอย่างเย็นชา “ใครจะอยากไปกับเจ้า?”

หลังจากพูดอย่างจบ นางก็แหวกอากาศด้วยกระบี่และจากไป

จ้านชิงเฉิงลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเซินอี้เหรินอยู่ข้างๆ นางจึงกระซิบว่า “ข้าอึดอัดมากเวลาอยู่กับคนอื่น”

ซูสือพยักหน้า หยิบหยกออกมา และมอบให้นาง “เจ้าไปกับเฉินชิงหลวน บดขยี้มันหากมีอันตราย”

"อืม"

จ้านชิงเฉิงยื่นมือไปรับมันและฝ่ามือโดนกัน นางหน้าแดงและพูดว่า “เจ้ามาร เจ้าควรระวังหน่อย”

จากนั้นนางก็ลอยขึ้นไปในอากาศและไล่ตามปราณกระบี่สีเขียวไป

เซินอี้เหรินเดินไปและพูดอย่างอยากรู้ “เมื่อกี้พวกเจ้าพูดอะไรกัน?”

ซูสือจ้องไปที่นาง “นางบอกว่าเจ้าเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ!”

เซินอี้เหรินเกาหัว “ห้ะ?”