"เลื่อนบรรดาศักดิ์อีกแล้ว?"
อวิ๋นฉีหลัวตัวแข็งทื่อ
ผู้ส่งสารกล่าว"ว่ากันว่าองค์ชายวางแผนก่อกบฏและถูกซูเซิ่งจื่อเปิดโปง จักรพรรดินีจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้ตรวจการหลวงที่มีอำนาจจับตาดูขุนนางทั้งหมด!"
"นางยังมอบกระบี่ซางฟางให้ซูเซิ่งจื่อ ซึ่งมีอำนาจตัดหัวองค์ชายกับขุนนางกบฏ!"
"ซูเซิ่งจื่อ...ตอนนี้เป็นคนที่จักรพรรดินีโปรดปรานแล้วขอรับ!"
ผู้ส่งสารมองหน้าจักรพรรดินีมาร
ความจริงข้อนี้อุกอาจเกินไป
เซิ่งจื่อแห่งสำนักยักษ์มารขุมนรกตอนนี้กลับเป็นขุนนางที่ตัดสินโทษฝ่ายกบฏ
เขายังสามารถจับตาดูขุนนางและตัดหัวได้ก่อนที่ใครจะส่งเสียง!
หรือเป็นความจริงที่ซูเซิ่งจื่อถูกราชสำนักซื้อตัวไปแล้ว?
อวิ๋นฉีหลัวเงียบไปนานและพยักหน้า"ข้ารู้แล้ว!"
ผู้ส่งสารถามเสียงต่ำ"เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ?"
อวิ๋นฉีหลัวถามกลับ"ทำอะไร?"
เขากลืนน้ำลาย"ตอนนี้ทุกคนในสำนักกำลังพูดถึงเรื่องนี้ มีการคาดเดาทุกประเภท ซูเซิ่งจื่อ เขาคงไม่..."
"เฟิงเฉาเกอทำเช่นนี้เพื่ออวดให้โลกรู้"
"ตราบเท่าที่มีประกาศิต ไม่ว่าซูสือจะยอมรับหรือไม่ สถานะของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว"
"นี่จะแสดงถึงท่าทีของเขา ในเวลาเดียวกันก็เป็นการแยกความสัมพันธ์ของซูสือกับสำนักยักษ์มารขุมนรก"
"ถ้าพวกเจ้าสงสัยซูสือกัน เป้าหมายของเฟิงเฉาเกอก็ถือว่าสำเร็จ.
เสียงของอวิ๋นฉีหลัวบาดแหลม
ผู้ส่งสารเข้าใจ"เป็นเช่นนี้เอง!ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก!"
อวิ๋นฉีหลัวพูดอย่างไม่แยแส"ถ่ายทอดข้อความของข้าไปว่าเซิ่งจื่อกำลังทำงานให้ข้าอยู่ ไม่มีใครภายในสำนักได้รับอนุญาตให้พูดถึง"
"ขอรับ"
ใบหน้าของผู้ส่งสารสว่างขึ้นอีกครั้ง เขารีบเดินออกไปอย่างตื่นเต้น
และพออีกฝ่ายออกไป อวิ๋นฉีหลัวก็อดใจไม่ไหวที่จะทุบโต๊ะด้วยใบหน้าหดหู่
"ซูสือ ไม่มีทางที่เขาจะเสพติดการเป็นขุนนางหรอกใช่ไหม?"
"เขาทอดทิ้งสำนัก ไม่ เขากำลังล้วงความลับของเมืองหลวง!"
"แต่ถึงแม้เฟิงเฉาเกอจะน่ารำคาญ นางก็สวย...ซูสือต้องติดกับดักสาวงามแน่!"
อวิ๋นฉีหลัวกำลังกังวลถึงผลได้ผลเสีย แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความรู้สึกถึงวิกฤต
"ไม่ ข้าไม่สามารถนั่งเฉยที่นี่ และรอให้มันจบได้"
นางลุกขึ้น"ไปเรียกนักบุญตะวันออกมาพบข้า"
"ขอรับ"
ที่มุมห้อง เงาไหววูบ
วินาทีต่อมา หยูเจียวหลงที่สวมชุดสีชมพูก็เดินเข้ามา"ฝ่าบาท ท่านเรียกหาข้าหรือ?"
ใบหน้านางซีดเล็กน้อย ปราศจากความมึนเมา
อวิ๋นฉีหลัวสั่ง"ไปเมืองหลวงและนำข้อความไปให้เซิ่งจื่อ บอกเขาว่ามีเรื่องด่วนในสำนัก และสั่งให้เขากลับมาโดยเร็วที่สุด"
"เรื่องด่วน?"
หยูเจียวหลงสับสน"เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
อวิ๋นฉีหลัวกัดริมฝีปาก "ข้าคิดถึงเขา นี่เป็นเรื่องด่วนมาก!"
หยูเจียวหลง"???"
..
เมืองหลวงเว่ยหยาง หอเฟิงชุน
แสงสีเขียว เสียงของผ้าไหมและไม้ไผ่ดังเป็นครั้งคราว
ซูสือ เฉินชิงหลวนกับฮัวหมานโหลวนั่งบนเก้าอี้ของชั้นหนึ่ง
ตำแหน่งของทั้งสามยังเหมือนเดิม เก้าอี้เก่าตัวเดิม แต่สถานะเปลี่ยนไปมาก
ฮัวหมานโหลวยกจอกและพูดด้วยรอยยิ้ม"ยินดีด้วย น้องซูกับตำแหน่งที่เลื่อนขึ้นและเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น!"
แม้ซูสือจะได้ตำแหน่งอ๋อง มันก็แค่ชื่อเรียก ไม่ใช่ตำแหน่งทางการ เขาไม่มีอำนาจจริง
ตอนนี้ที่เขาได้รับตำแหน่งผู้ตรวจการหลวง ขุนนางชั้นหนึ่ง นี่สิอำนาจของจริง!
เหนือกว่านั้น เขาได้รับกระบี่ราชวงศ์
เขาสามารถตัดหัวคนทรยศได้โดยไม่ต้องไต่สวน
ใครจะไม่ตัวสั่นพอพบเจอซูสือ?
ตอนเขากระทืบเท้า เว่ยหยางจักต้องสั่นสะเทือน!
ซูสือยกจอกและดื่ม"เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้"
ฮัวหมานโหลวหัวเราะแห้ง
ในอาณาจักร ใครบ้างไม่อยากได้รับเลื่อนตำแหน่ง?
ถ้ามีคนที่สามารถชนะใจฝ่าบาทได้ มันคงเป็นความสุขที่สุดในชีวิตที่สามารถทำให้หลุมศพของบรรพชนแผดเผาด้วยไฟริษยาได้
"เช่นนั้น ก็อย่าพูดถึงมันกันเลย น้องซู ข้าเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษด้วยนะ"
ฮัวหมานโหลวหยิบแหวนมิติออกมาและส่งให้ซูสือ
"ของขวัญ?'
ซูสือจ้องมองอย่างอยากรู้
แต่พบเห็นว่าแหวนไม่ได้บรรจุสมบัติพิเศษอะไร แต่เป็นไหสุราเซียนที่กองกันเป็นพะเนิน
ฮัวหมานโหลวมองรอบๆและกระซิบราวกับเขาเป็นขโมย"ของกลุ่มนี้ได้รับมาจากโรงหมักสุราหลวง บริสุทธิ์สูง ไม่มีการเจือจาง!"
ฮัวหมานโหลวเป็นผู้ชื่นชอบสุรา
ครั้งก่อนซูสือดื่มสุราจากคลังที่บ้านเขาจนหมด มันกระทบจิตใจเขาอย่างหนัก
มันยากมากที่จะได้รับสุราเซียนจากโรงหมักสุราหลวง แต่ตอนนี้เขาได้มันมาง่ายๆเพราะฮัวหมานโหลวช่วย
ซูสือพูดอย่างขบขัน"ถ้าพ่อของเจ้ารู้ ไม่กลัวว่าเขาจะหักขาเจ้าหรือไง?"
ฮัวหมานโหลวพูดอย่างไม่สนใจ"ข้าเป็นผู้สืบทอดคนเดียวของตระกูลฮฮัว ถ้าเขากล้าหักขาข้า ปู่ของข้าก็กล้าหักขาเขา"
ซูสือส่ายหัว
ตระกูลนี้ดีจริงๆ
"มาชนกัน!"
"ชน!'
ทั้งสามชนและดื่มกันอย่างมีความสุข
พวกเขาดื่มตั้งแต่บ่ายจนถึงมืด จากนั้นซูสือกับเฉินชิงหลวนถึงเดินออกหอเฟิงชุน
ฮัวหมานโหลวเมาแล้วและถูกพากลับโดยพ่อบ้านจวนสกุลฮัว
ซูสือนวดขมับ
การดื่มถี่ๆดูเหมือนจะหนักไปจริงๆ
เขาไม่ได้ชอบดื่ม ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนที่ดื่มด้วย
ฐานบ่มเพาะของฮัวหมานโหลวแค่เฉลี่ย แต่นิสัยของเขาดี และคุ้มค่ากับการเป็นมิตร
เฉินชิงหลวนนิ่งเงียบอยู่ข้างเขา
ซูสือมองนาง"ดูเหมือนจะมีอะไรในหัวเจ้านะ?"
ตอนอยู่ที่โต๊ะ นางเอาแต่ฟุ้งซ่าน ไม่พูดอะไรมาก เอาแต่ดื่มเงียบๆ
เฉินชิงหลวนกัดริมฝีปากและพูด"คดีของฉูหยินจบลงแล้ว เจ้า...จะกลับบ้านเลยไหม?"
แม้ซูสือจะไม่พูด นางก็รู้เต็มอก
ด้วยสถานะของซูสือ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยู่ที่เมืองหลวงตลอดเวลา
"เจ้าคิดเรื่องนี้เองเหรอ?"
ซูสือยิ้ม"ดูเหมือนผู้ตรวจการหลวงเฉินจะอยู่ห่างจากข้าไม่ได้เลยนะ?"
แก้มของเฉินชิงหลวนขึ้นสี แต่ครั้งนี้นางกลับไม่ปฏิเสธ
นางรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นมองซูสืออย่างจริงจัง"ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป"
ซูสือตัวแข็ง
พอมองดวงตาที่เขินอายแต่มุ่งมั่น หัวใจของเขาก็อดเต้นเร็วไม่ได้
ความรู้สึกของสาวน้อยก็เหมือนบทกวี
เขาไม่รู้ว่ามันคือแสงของตะเกียงหรืออิทธิพลของสุรา แต่สาวน้อยตรงหน้าเขาดูสดใสและสวยขึ้น
"เช่นนั้น เจ้า..."
เฉินชิงหลวนกำลังจะพูด
แต่ซูสือโน้มตัวไปและปิดปากนาง
ตัวของนางแข็งทื่อ สายตาเหม่อลอย แม้กระทั่งลืมหายใจไปชั่วคราว
เวลาดูเหมือนถูกหยุด
บนถนนพลุกพล่าน ทั้งสองเหมือนรูปปั้นที่งดงาม
หลังผ่านไปสักพัก ซูสือก็ถอนริมฝีปากและยิ้ม"ข้าคิดว่าผู้ตรวจการหลวงเฉินจะปากแข็งซะอีก ทำไมมันถึงนุ่มและหวานขนาดนี้นะ?"
ตอนนี้เองเฉินชิงหลวนถึงกลับมาหายใจอีกครั้ง
หน้าอกนางพองขึ้นยุบลง หอบหายใจอย่างหนัก ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงหวานฉ่ำ ขาสั่นอย่างอ่อนแรง
"เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าจูบ..."
"นี่เป็นจูบแรกของข้านะ!'
สมองของเฉินชิงหลวนขาวโพลน
ซูสือพูดอย่างจริงจัง"นี่ก็เป็นจูบแรกสำหรับวันนี้ของข้าเหมือนกัน"
พอตระหนักถึงสายตาตกใจของคนเดินถนน เฉินชิงหลวนก็กระทืบเท้า พูดอย่างเขินอาย"ข้า ข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง!"
หลังพูด นางก็วิ่งหนีไป
พอมองตามแผ่นหลังที่ตื่นตระหนก มุมปากของซูสือก็ยกยิ้ม
แม้จะไปเร็ว แต่ความคิดของอีกฝ่ายก็เขียนไว้บนหน้าหมด
ในสถานการณ์นี้ นางรู้สึกว่านางต้องทำอะไรบางอย่าง
"นางทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้ทั้งหมดที่นางต้องทำคือจูบข้าคืน"
ซูสือส่ายหัว
ขณะที่เขากำลังจะเดินกลับ เขาก็พลันรู้สึกถึงบางสิ่ง เขาหันไปมองทางภูเขาชิงฟาง
รอยยิ้มของเขาหุบลง คิ้วของเขาขมวด
"มีคนจากสำนักมา?"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved