ตอนที่ 207 มรดกปรากฏ

 ตอนที่ 207 มรดกปรากฏ

ภายใต้สายตาที่หลายคนมองด้วยความอิจฉาริษยา

กู่หยางเดินไปยังฝั่งตรงข้ามช้า ๆ

จากนั้นก็ยกมือผลักประตูสีเขียวนั้นออก

แสงสว่างปรากฏขึ้น

ถัดมา

เงาร่างของกู่หยางก็หายลับไปทันตาเห็น

"ไม่อยากจะเชื่อเลย... เขาประสบความสำเร็จได้อย่างไรกัน"

"นี่มันง่ายเกินไปแล้ว!"

"มรดกขอบเขตผันแปรเชียวนะ..."

"กู่หยางคนนี้มีพรสวรรค์พิสดารอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งได้รับมรดกจากยอดฝีมือขอบเขตผันแปรอีก แล้วจะเป็นอย่างไรอีก?"

"เฮ้อ..."

เสียงร้องอย่างตื่นเต้นดังขึ้นมากมาย

ได้ยินเสียงร้องเหล่านั้น

ในอีกด้านหนึ่ง สายตาของสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตแก่นสุญตาระดับ 10 ขั้นสูงสุดเบิกกว้าง

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากัน

จากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับกู่หยางทันทีที่เขาออกมา!

มรดกของขอบเขตผันแปร...

สำหรับพวกเขาแล้วมันช่างดึงดูดใจอย่างยิ่งนัก

แม้ว่าการลงมือกับกู่หยางจะเป็นเรื่องอันตราย

พวกเขาก็ยังเต็มใจที่จะเสี่ยงภัยอันใหญ่หลวง

เพราะว่าหากพวกเขาสามารถได้รับมรดกขอบเขตผันแปรมาครอบครองได้

พวกเขาก็อาจจะใช้มันเพื่อทะลวงผ่านขอบเขตมรณะชีวัน!

หรืออาจจะสูงกว่านั้นอีก!

คิดได้ดังนั้น สายตาของพวกเขาก็ส่องประกายความตื่นเต้น

กู่หยางไม่รู้เลยว่าตัวเองกลายเป็นเป้าสายตาของใครบางคนแล้ว

ตอนนี้เขามาอยู่ในห้องมืดแล้ว

ถัดมา

ห้องเหมือนกับรู้สึกได้ว่ากู่หยางมาถึงแล้ว

เปลวไฟลุกโชนขึ้น ส่องสว่างไปทั่วทั้งสี่ด้าน

และกู่หยางก็เห็นสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ได้อย่างชัดเจน

ห้องนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่

แต่ก็โล่งเกินไป

โดยรอบไม่มีอะไรเลย

มีเพียงตรงกลางของห้อง...

มีโลงศพผลึกใสอยู่หนึ่งชิ้น

ในโลงศพผลึกใส เห็นร่างหนึ่งได้ราง ๆ

จากเงาร่างที่เห็น...

เหมือนจะเป็นร่างของหญิงสาว

เห็นเช่นนี้ สายตากู่หยางก็ส่องประกายสีทอง

พลังของใบไม้แห่งโชคชะตาทำงาน

ครั้งนี้ กู่หยางก็อ่านข้อมูลเกี่ยวกับหญิงสาวในโลงศพผลึกใสได้ทันที

[เซี่ยจื่อเอี้ยน ยอดฝีมือขอบเขตผันแปรระดับสูง เกิดเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานผู้ไร้เทียมทาน บำเพ็ญเพียงหนึ่งพันปีก็ก้าวข้ามขอบเขตมรณะชีวันทะลวงผ่านขอบเขตผันแปรระดับสูงสุดได้แล้ว หวังจะใช้ที่แห่งนี้ทะลวงไปถึงขอบเขตราชัน แต่สุดท้ายก็ผิดพลาด การทะลวงผ่านล้มเหลว ได้รับบาดแผลที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ ในช่วงเวลาสุดท้าย นางจึงสร้างโลงศพผลึกใสนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง และสร้างเขตแดนลับ จัดตั้งด่านทดสอบ นำทรัพยากรทั้งหมดของตัวเองทิ้งเอาไว้ที่นี่ หวังว่าจะได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมีเป็นมรดกไว้ให้...]

แม้ว่าข้อความที่เขียนมาดูยาวมากก็ตาม

แต่เทียบกับระยะเวลาที่มีการอธิบายแล้ว

มันก็สั้นมาก

ด้วยข้อความสั้น ๆ ไม่กี่บรรทัด ก็สามารถสรุปชีวิตของยอดฝีมือขอบเขตผันแปรระดับสูงสุดคนนี้ได้

แต่ตอนที่กู่หยางกำลังคิดอยู่นั้น

จู่ ๆ ก็มีเสียงดังกรุ๋งกริ๋งเหมือนกระดิ่งเงินดังขึ้นอย่างช้า ๆ

"เจ้าเป็นคนที่ผ่านการทดสอบของข้ามาได้สำเร็จเช่นนั้นหรือ?"

ได้ยินเสียงนั้น

กู่หยางก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองไป

เห็นเงาร่างที่สวมชุดขาวราวกับเทพธิดาลอยขึ้นมาจากโลงศพผลึกใสอย่างช้า ๆ

สายตากู่หยางส่องประกายสีทอง

[เศษเสี้ยวดวงจิตสุดท้ายที่เซี่ยจื่อเอี้ยนทิ้งเอาไว้ก่อนตาย มีไว้เพื่อต้อนรับคนรุ่นหลังที่มีวาสนาได้มาถึงที่นี่ และมอบทุกสิ่งที่ตัวเองบำเพ็ญมาตลอดชีวิตเป็นมรดก]

ข้อความนี้ไม่ได้ยาวมากนัก

แต่ก็เห็นได้ชัดว่า

เศษเสี้ยวดวงจิตนี้แตกต่างจากเศษเสี้ยวดวงจิตที่ตนได้พบในเขตแดนลับจันทราม่วงอย่างสิ้นเชิง

เศษเสี้ยวดวงจิตนี้ไม่มีความคิดที่จะยึดร่างเขาเลย

เห็นเช่นนี้ กู่หยางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

หากเศษเสี้ยวดวงจิตขอบเขตผันแปรระดับสูงสุดยึดร่างเขา...

คงยากที่จะแก้ไข

โชคดีที่อีกฝ่ายไม่มีความคิดแบบนั้น

"คารวะผู้อาวุโส"

กู่หยางป้องมือขึ้นทักทายเซี่ยจื่อเอี้ยนอย่างช้า ๆ

ครั้งนี้ เซี่ยจื่อเอี้ยนก็กำลังประเมินกู่หยางอยู่

ดวงตาที่สวยจนดูราวกับดวงดาวนั้นฉายแววประหลาดใจ

"พรสวรรค์ของเจ้า..."

"ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!"

"อายุเพียง 17 แต่สามารถหลอมร่างกายได้ถึงขนาดนี้แล้ว? วิเศษจริง ๆ"

"ยังเป็นผู้บำเพ็ญกระบี่อีกด้วย สัจธรรมนั้นแหลมคมเหลือเกิน"

"ช่างเป็นสัตว์ประหลาดวิถีกระบี่เสียนี่กระไร!"

การประเมินครั้งนี้ เซี่ยจื่อเอี้ยนคล้ายกับได้เห็นพื้นฐานของกู่หยางทะลุปรุโปร่งไปหมด

ส่งเสียงอุทานอย่างต่อเนื่อง

กู่หยางก็อดตะลึงงันไม่ได้

"ผู้อาวุโสสามารถบอกได้หรือไม่ว่าข้ารู้แจ้งในสัจธรรมมากน้อยแค่ไหน?"

กู่หยางรีบถามขึ้นมา

เซี่ยจื่อเอี้ยนกลับยิ้มราวกับนางฟ้า

"แม้เปิ่งกงผู้นี้จะอยู่ในขอบเขตผันแปรระดับสูงสุด แต่สัจธรรมนั้นล้ำลึกนัก แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจมองเห็นได้ง่าย ๆ"

"เพียงแต่เปิ่นกงสัมผัสได้ถึงพลังที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงบนตัวเจ้า"

"เฉียบคม! น่าเกรงขาม!"

"เจ้าคงจะเข้าใจในวิถีกระบี่อย่างลึกซึ้งเป็นแน่"

"ทว่าเสียดาย..."

เซี่ยจื่อเอี้ยนพูดพลางสีหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม

เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ของกู่หยางนั้นน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่พอพูดถึงท้าย นางกลับส่ายหน้าช้า ๆ

ส่งเสียงถอนหายใจ

"น่าเสียดาย?"

"น่าเสียดายที่พรสวรรค์อันชั่วร้ายของเจ้า หายากเป็นพันปี แต่กลับไม่ได้มีวาสนากับข้า"

"หากข้ามอบมรดกให้เจ้า ก็จะไม่ช่วยอะไรเจ้าเลย กลับจะทำให้เส้นทางของเจ้าผิดเพี้ยนไปด้วยซ้ำ"

เซี่ยจื่อเอี้ยนส่ายหน้าพลางพูด

พอพูดถึงตอนนี้ เซี่ยจื่อเอี้ยนแม้แต่คำว่า 'เปิ่นกง' ที่แทนตนด้วยความสูงส่งก็ลืมใช้ไป เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้สำคัญสำหรับนางมาก

ได้ยินเช่นนี้ กู่หยางก็หัวเราะ

เขาเองก็ไม่ได้สนใจมรดกจากแต่แรกแล้ว

และจากโชคชะตา เขาก็เห็นได้ชัดว่า

มรดกของเซี่ยจื่อเอี้ยนนี้เป็นของเย่ชิงเฉิง

ดังนั้นเขาจึงหยุดเล็กน้อย

แล้วพูดช้า ๆ ว่า "ผู้อาวุโสวางใจได้ ข้าไม่สนใจมรดกของผู้อาวุโส ข้าอยากได้สมบัติ วิชายุทธ และแหล่งฝึกฝนพวกนี้มากกว่า"

"ส่วนมรดกของผู้อาวุโส... ข้าจะช่วยหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุดให้เอง"

"และผู้สืบทอดคนนั้น ตอนนี้รออยู่ข้างนอกแล้ว"

กู่หยางพูดจบก็ป้องมือขึ้นเบา ๆ

ได้ยินกู่หยางพูดเช่นนี้

ใบหน้างามของเซี่ยจื่อเอี้ยนฉายแววประหลาดใจ

"หืม?"

"เจ้ายังไม่เห็นมรดกที่เปิ่นกงผู้นี้ทิ้งไว้เลยด้วยซ้ำ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเหมาะสม?"

นางรู้สึกสงสัย

กู่หยางได้ยินแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบอะไร

เซี่ยจื่อเอี้ยนก็ไม่ได้ถามต่อ

เพราะเศษเสี้ยวดวงจิตนี้ของนางอาศัยอยู่ในโลงมาหมื่นปีแล้ว เห็นได้ชัดว่าใกล้จะสลายตัวแล้ว ดังนั้น...

ก็ไม่มีเวลาจะถามแล้ว

"เอาล่ะ ดูเหมือนเจ้าจะมีความลับไม่น้อย"

พูดถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มหวานอย่างงดงาม

"หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องขุดความลับทั้งหมดในตัวเจ้าออกมาให้หมด"

"แต่น่าเสียดาย..."

"ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอมอบมรดกให้เจ้า"

พูดจบ รอยยิ้มอันหวานชื่นบนใบหน้าของเซี่ยจื่อเอี้ยนก็หายวับไปทันใด

แทนที่ด้วยความเย็นชาดุจน้ำแข็ง

ต่อมา เห็นเซี่ยจื่อเอี้ยนทำท่ามือไม่กี่ท่า

ถัดมา

เศษเสี้ยวดวงจิตของนางก็สลายหายไปในทันใด สุดท้ายก็กลายเป็นยันต์หยกสีขาวลอยอยู่บนอากาศ

แล้วลอยลงมาตรงหน้ากู่หยาง

เห็นเช่นนี้ กู่หยางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปรับยันต์หยกนี้เอาไว้

ปล่อยจิตสำนักเข้าไปภายใน

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเข้าใจ

ไม่ผิดแน่

ยันต์หยกนี้เหมือนแหวนเก็บของ มีพื้นที่มิติ

และ...

ยันต์หยกนี้พอสัมผัส ก็รู้สึกเย็นเฉียบ

คล้ายจะมีความเย็นเฉียบชาแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ภายในพื้นที่มิติของยันต์หยก

มีวรยุทธ วิชายุทธ โอสถ และวัตถุวิเศษต่าง ๆ มากมาย

แน่นอนว่า กู่หยางไม่เห็นหินวิญญาณซักก้อน

คงเพราะตอนที่นางกำลังจะทะลวงถึงขอบเขตราชัน ก็คงใช้หมดไปจนเกลี้ยงแล้ว

โอสถส่วนใหญ่ก็ใช้สำหรับบำเพ็ญเพียร

นอกจากนี้ กู่หยางยังพบสูตรโอสถอยู่ด้วย

"หืม?"

เห็นเช่นนี้ กู่หยางก็เบิกตากว้าง

เขาไม่คิดเลยว่าเซี่ยจื่อเอี้ยนจะเก็บสะสมสูตรโอสถด้วย

เพียงแต่สูตรโอสถนี้พอเขาหยิบขึ้นมาดู

เขาก็ขมวดคิ้ว

สูตรโอสถนี้ไม่สมบูรณ์

ข้อความด้านบนมีเพียงครึ่งเดียว

มองไม่ออกเลยว่าเป็นสูตรโอสถอะไร

"เก็บเอาไว้ก่อน"

กู่หยางไม่รีบที่จะไปดู

รีบย้ายสูตรโอสถเข้าไปในแหวนเก็บของของตนเองก่อน

หลังจากนั้น กู่หยางก็เห็นคัมภีร์ค่ายกลทั้งม้วนอยู่ในนั้นด้วย

เห็นเช่นนี้ กู่หยางก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

ไม่เสียทีจริง ๆ ที่นางเป็นยอดฝีมือขอบเขตผันแปรระดับสูงสุด

ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาช่างอุดมสมบูรณ์

แม้แต่ค่ายกลยังมี!

เห็นเช่นนี้ กู่หยางก็เก็บทุกอย่างใส่ในย่ามโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ส่วนที่เหลือก็เป็นวรยุทธ วิชายุทธ และสมบัติล้ำค่าอีกเล็กน้อย

กู่หยางก็ย้ายวรยุทธและวิชายุทธทั้งหมดเข้าไปในแหวนเก็บของของตัวเอง

ส่วนสมบัติล้ำค่า

กู่หยางก็เก็บบางส่วนที่ไม่มีประโยชน์กับเขาเลยไว้

และในนั้นก็มีสมบัติที่เพิ่มพละกำลังให้สายเลือดของเย่ชิงเฉิงได้อย่างมาก