ตอนที่ 70

ในขณะที่ โจวชู มองดูศพของ เสี่ยว จงสุ่ย ล้มลงกับพื้น หัวใจของเขาก็ไม่หวั่นไหวมากนัก

เสี่ยว จงสุ่ย ไม่ใช่คนแรกที่เขาฆ่า และเขาจะไม่ใช่คนสุดท้าย

อันที่จริง การฆ่า เสี่ยว จงสุ่ย ตอนนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี

แต่โจวชูไม่ลังเลเลย

หลักการของเขาไม่เคยเปลี่ยน หากมีใครต้องการทำร้ายเขา เขาจะโจมตีก่อนโดยไม่ลังเลหรือมีความเมตตาใดๆ!

ตั้งแต่วินาทีที่ เสี่ยว จงสุ่ย และ เจิ้นไค่ ตัดสินใจลักพาตัวเขา ชะตากรรมของพวกเขาก็ถูกตัดสินแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ เสี่ยว จงสุ่ย เห็นความแข็งแกร่งของเขา ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรอดชีวิต

แม้ว่า โจวชู จะไม่ได้รับข้อมูลที่ต้องการจากเขา แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก

จากจุดเริ่มต้น โจวชู ไม่ได้สนใจเป้าหมายของ จู ชวนเฟิง มากนัก

เขาแค่ต้องรู้ว่าจู ชวนเฟิงไม่ได้มีดีอะไร!

นอกจากนี้ แม้ว่า เสี่ยว จงสุ่ย จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็ยังมี เจิ้นไค่

เมื่อเทียบกับสุนัขจิ้งจอกแก่เจ้าเล่ห์อย่างเสี่ยว จงสุ่ย แม้ว่าการฝึกฝนของเจิ้นไค่จะสูงกว่า แต่เขาก็ไม่ฉลาดเท่า

โจวชู จำได้อย่างชัดเจนว่าเขาสามารถทำให้ เจิ้นไค่ โกรธได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ หากเป็นเสี่ยว จงสุ่ย จะเป็นไปได้ยังไง?

เสี่ยว จงสุ่ย เป็นคนประเภทที่จะแทงเจ้าข้างหลังถ้าเจ้าด่าเขาต่อหน้า

หลังจากโยนศพของ เสี่ยว จงสุ่ย ไปด้านข้างแล้ว โจวชู ก็ใช้วิธีเดิมอีกครั้ง โดยใช้วิชา ห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปลุก เจิ้นไค่

“เจ้าซุ่มโจมตีข้า!” เจิ้นไค่ ตะโกนทันทีที่เขาลืมตา

เขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นใครก่อนที่จะกระโดดขึ้นและคว้ามือไปข้างหน้าด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ

ปฏิกิริยาของนักสู้ระดับเก้านั้นเร็วกว่าของนักสู้ธรรมดา การคว้านี้รวดเร็วราวกับสายฟ้า แม้แต่นักสู้ในระดับเดียวกันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวนี้ได้

แต่ โจวชู ไม่ใช่นักสู้ระดับเก้า เจิ้นไค่ นั้นเร็ว แต่ โจวชู นั้นเร็วกว่า

ตบ!

ในขณะที่ เจิ้นไค่ กำลังกางแขนออกไปข้างหน้า แรงมหาศาลก็บิดศีรษะของเขาไปด้านข้าง และร่างกายทั้งหมดของเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง

เครื่องหมายห้านิ้วที่ชัดเจนปรากฏขึ้นบนใบหน้าขวาของ เจิ้นไค่

เขาตะลึง

นับตั้งแต่ที่เขากลายเป็นนักสู้ระดับ แม้ว่าเขาจะเคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้มาก่อน แต่พวกเขาก็ยังพ่ายแพ้อย่างรุ่งโรจน์ เขาเคยโดนตบอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

ลูกผู้ชายฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้!

เจิ้นไค่ โกรธมาก

ปัง

ในขณะที่เขากำลังจะกระโดดขึ้น เท้าข้างหนึ่งลงมาจากด้านบนและกระทืบที่หน้าอกของเขา

เจิ้นไค่ รู้สึกราวกับว่าภูเขากำลังกดทับร่างกายของเขา และพละกำลังจากร่างกายของเขาก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่กลับไม่ขยับเลย

“เจิ้นไฉ ข้ามีคำถาม ทำไม จู ชวนเฟิง ถึงทำขนาดนี้เพื่อให้ข้าเป็นศิษย์ของเขา” โจว ชู ถามอย่างเย็นชา

"เป็นเจ้า?!" ในขณะนี้ เจิ้นไค่ เห็นว่าคนที่เหยียบหน้าอกของเขาคือ โจวชู จริงๆ!

“เจ้าเป็นนักสู้ระดับ?” ดวงตาของ เจิ้นไค่ เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ

"ข้ากำลังถามเจ้า. ไม่ใช่เจ้าที่จะถาม!” โจวชู กล่าวอย่างเย็นชา

“มันแปลกตรงไหน? นายท่านต้องการรางวัลจากขบวนทหาร และการรับเจ้าเป็นศิษย์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด” เจิน ไฉ่กล่าวโดยไม่ลังเลใดๆ “ทำไมเจ้าถึงเป็นนักสู้ระดับ ทำไมนายท่านถึงไม่ได้พูดถึง!”

สำหรับ เจิ้นไค่ ประโยคแรกไม่ได้เป็นความลับเลย ตรงกันข้าม ประโยคที่สองมีความสำคัญสำหรับเขามากกว่า

เขาอยากได้รางวัลจากขบวนทหาร? การรับข้าเป็นศิษย์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดหรือ? โจว ชู ขมวดคิ้ว สิ่งนี้หมายความว่า?

เจิ้นไค่ ไม่ฉลาดขนาดนั้นจริงๆ

“บอกข้าก่อนว่ารางวัลสำหรับขบวนทหารหมายถึงอะไร อย่างนั้นข้าจะบอกเจ้าว่าทำไมข้าถึงเป็นนักสู้ระดับ” โจวชู กล่าว

"เจ้าหมายถึงอะไร?" เจิน ไฉ่ กล่าว “องค์จักรพรรดิทรงได้อนุญาติให้เจ้าเข้าร่วมขบวนทหาร นายท่านบอกว่าเจ้าอาจได้รับรางวัล รางวัลเป็นประโยชน์แก่เขา หากเจ้าเป็นศิษย์ของเขา เจ้าจะต้องให้รางวัลนั้นแก่เขา”

เจิ้นไค่ พูดอยู่ครู่หนึ่ง และ โจวชู ก็ถามคำถามอีกสองสามข้อ แต่ เจิ้นไค่ ไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียด

ในที่สุด เจิ้นไค่ ก็หมดความอดทน

“เสร็จยัง?! หากนายท่านของข้าต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์ เจ้าควรขอบคุณที่บรรพบุรุษทำบุญมา! อย่าเนรคุณ!

“นอกจากนี้ เจ้าไม่ใช่ ช่างตีเหล็กฝึกหัด เหรอ? ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงกลายเป็นนักสู้ระดับ?”

เจิ้นไค่ ยืนหยัด เขาใส่ใจเรื่องนี้จริงๆ

"เจ้าอยากรู้ไหมว่าทำไม?" โจว ชู กล่าว “เพราะข้าเป็นอัจฉริยะ!”

โจว ชู ไม่เสียคำพูดอีกต่อไป เขาใช้วิชา ห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง และทันใดนั้นพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลก็พุ่งเข้าสู่จิตสำนึกของ เจิ้นไค่

ทันใดนั้นดวงตาของ เจิ้นไค่ ก็เบิกกว้างและเริ่มหลุดโฟกัส

โจวชู ขมวดคิ้ว ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่เขาได้รับจากสองคนนี้คือ จู ชวนเฟิง ต้องการทำให้เขาเป็นศิษย์เพราะขบวนทหาร

จักรพรรดิอนุญาตให้ข้าเข้าร่วมขบวนทหาร? โจวชู ค่อนข้างงงงวย นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ?

เขาไม่เคยได้ยินว่ามีช่างตีเหล็กฝึกหัดเข้าร่วมในขบวนทหารมาก่อน

แต่ เจิ้นไค่ ดูไม่เหมือนคนที่โกหก

แม้ว่าจักรพรรดิจะอนุญาตให้เขาเข้าร่วมในขบวนทหารและรางวัลคืออะไร?

มีข้อมูลน้อยเกินไป และ โจวชู ไม่สามารถวิเคราะห์อะไรได้

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาหยิบศพของ เสี่ยว จงสุ่ย และ เจิ้นไค่ ขึ้นมาและออกจากป่า เขาหายตัวไปในตอนกลางคืนอย่างรวดเร็วในขณะที่หลีกเลี่ยงการจ้องมองของผู้คนในซ่อง

เมื่อแสงอาทิตย์แรกส่องขึ้น สาวใช้คนหนึ่งกำลังเดินไปตามทางเดินพร้อมกับอ่างน้ำ ทันใดนั้น ประตูก็เปิดออกต่อหน้าเธอ และชายคนหนึ่งก็เดินออกไปอย่างระมัดระวัง

สาวใช้หน้าแดงเมื่อเห็นหน้าชายคนนั้น

ในซ่องแห่งนี้ แม้ว่าเธอจะเห็นผู้ชายมากมายทุกวัน แต่ก็มีไม่กี่คนที่หล่อเหลา

ชายหนุ่มรูปงามเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากแล้วปิดปากเธอ

ก่อนที่สาวใช้จะทันได้โต้ตอบ ชายรูปงามก็เดินออกไปแล้ว

สาวใช้มองไปที่ห้องที่หนุ่มหล่อเดินออกมา ในห้องไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เมื่อคืนท่านหงซิ่วต้องมีความสุขมากแน่ๆ...

โจวชู เดินออกจากซ่อง เฉิงหย่ง และคนอื่น ๆ ไม่รู้อยู่ที่ไหน เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนพวกเขาอยู่ที่นี่หรือกลับบ้านไปแล้ว

หลังจากทิ้งศพเมื่อคืนนี้ โจว ชูก็กลับไปที่ซ่องเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย เหตุผลหลักก็คือถ้าเขาไม่มาที่นี่ เขาก็จะไม่มีที่อื่นให้ไป

แต่หลังจากกลับไปที่ซ่อง เขาก็ต่อสู้ทางความคึดอีกครั้ง

ไม่ใช่ทุกคนที่จะสงบสติอารมณ์ได้

ยิ่งกว่านั้น เมื่อคืนไม่ใช่เรื่องของการสงบสติอารมณ์อีกต่อไป ใครสามารถต้านทานการล่อลวงของความงามที่ไม่มีใครเทียบได้?

ไม่ว่าในกรณีใด โจว ชูแทบจะรับไม่ไหวอีกต่อไป เขาใช้เวลาตลอดทั้งคืนเพื่อฝึกฝนวิชา ห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์มิฉะนั้น เขาจะกลายเป็นหมาป่าจริงๆ—

แม้ว่ามันไม่สำคัญว่าเขาจะทำอะไรเพราะที่นี่คือ...

เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่หมดสติ เขาทำไม่ได้จริงๆ

หลังจากออกจากซ่อง โจวชู ก็เดินออกจากประตูเมือง ขณะที่เขากำลังจะกลับไปที่โรงหลอมที่ 0 จู่ๆ เขาก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เปลี่ยนทิศทางและเดินไปยังทิศทางหนึ่ง

“ทุกคน ฟังทางนี้! เราจะออกเดินทางแล้ว!” เหมิงไป๋ขี่ม้าของเขา และสีหน้าของเขาก็สงบในขณะที่เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังและชัดเจนนัก

“รับทราบ!” เสียงที่คล้ายกับเสียงฟ้าร้องดังก้องในขณะที่แม่ทัพทุกคนเร่งม้าของพวกเขากลับไปที่ค่ายของตน กองทัพอันยิ่งใหญ่กำลังจะออกเดินทาง!

กองทัพทหารที่ไม่มีที่สิ้นสุดเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ซุน กงผิง กลมกลืนอยู่ในกลุ่ม เขามีดาบปักฤดูใบไม้ผลิที่เอวและสวมชุดเกราะสีทอง ดูสะดุดตามากในกลุ่ม

ไม่ไกลนัก จักรพรรดิหยวนเฟิงและข้าราชบริพารยืนเคียงข้างกัน พวกเขามาที่นี่เพื่อส่งกองทัพออกไป

กราว!

ทันใดนั้นเสียงพิณก็ดังขึ้นบนเนินเขาข้างทาง

หวด!

เกือบจะในทันทีที่เสียงพิณดังขึ้น ภายในกองทัพอันยิ่งใหญ่ คันธนูยาวจำนวนนับไม่ถ้วนถูกดึงขึ้นพร้อมๆ กันและเล็งไปที่เนินเขา

หลายร่างบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและพุ่งเข้าหาเนินเขา

"หยุด!" เสียงของ มี่ จื่อเหวิน ดังขึ้นเพื่อหยุดทุกคน

บนเนินเขา โจวชู เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นแล้ว

สะเพร่าแค่ไหน!

ถ้าข้าถูกฆ่าในฐานะนักฆ่า มันคงเป็นการตายที่ไม่ยุติธรรม!

เขาใช้วิชา ห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้ตัวเองสงบลง เขาวางมือบนพิณและเล่น

กราว! กราว! กราว!

ในชีวิตที่แล้ว โจวชู ได้เรียนรู้วิธีเล่นพิณในชมรมของมหาวิทยาลัยเท่านั้น เขาเป็นเพียงมือสมัครเล่น

แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ มีกองทัพไม่รู้จบค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาที่เชิงเขา ในระยะไกล จักรพรรดิและเสนาบดีคนสำคัญต่างก็มองมา

โจวชู นั่งอยู่บนยอดเขา เสื้อผ้าของเขาปลิวไสวไปตามสายลม เขาดีดพิณด้วยมือทั้งสอง ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เขาห้าวหาญมาก!

มี่ จื่อเหวิน ยิ้มและแอบมองอาจารย์ของเขา

เหมิงไป๋นั่งอยู่บนหลังม้า รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ มี่ จื่อเหวิน ยังคงสังเกตเห็นประกายแห่งเสน่ห์พิเศษในดวงตาของเขา

ถ้ามี่ จื่อเหวินต้องตีความ มันจะเป็น "เด็กคนนี้ช่างคิดมาก"

มี่ จื่อเหวิน พยักหน้าเล็กน้อยและพึมพำ “ขอบคุณ น้องรอง!”

เขายกศีรษะขึ้นสูงและพองหน้าอก วิญญาณวีรชนลอยขึ้นในอกของเขา น้องรองไม่ต้องกังวล เราจะกลับมาอย่างมีชัยแน่นอน!

ในระยะไกล เมื่อจักรพรรดิหยวนเฟิงได้ยินเสียงพิณ เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน “พวกเจ้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้หรือ”

เสนาบดีส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนจัดการ

“นี่คือการกระทำที่เกิดขึ้นเองของพลเรือน?” จักรพรรดิหยวนเฟิงพยักหน้า “ความสัมพันธ์ทางทหารและพลเรือนของ อาณาจักรต้าเซี่ย ยังคงกลมกลืนกันมาก”

“พ่อ ดูเหมือนข้าจะรู้จักคนๆ นั้น เขาไม่ใช่พลเรือน แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนักแห่ง อาณาจักรต้าเซี่ย…” หยิน หวู่โหย่ว กระซิบที่หูของจักรพรรดิหยวนเฟิง

จักรพรรดิหยวนเฟิงตกใจ “เจ้าหน้าที่? ทำไมข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย”

“ตำแหน่งทางการของเขาต่ำเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะพบท่าน พระบิดา” หยินหวู่โย่วกล่าว ผู้ดูแลโรงหลอมเป็นเจ้าหน้าที่ระดับเก้า ดังนั้นเขาจึงได้รับการพิจารณาให้เป็นเจ้าหน้าที่เช่นกัน เอิ่ม เจ้าหน้าที่ขนาดเท่าเมล็ดงาก็เป็นเจ้าหน้าที่เช่นกัน ถูกตัอง!

“เขาเป็นผู้ดูแลโรงหลอมในแผนกหลอมอาวุธของข้า ชื่อของเขาคือโจวชู”

“โจวชู? โจวชู?” จักรพรรดิหยวนเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็พยักหน้า “เขาค่อนข้างเกรงใจ แม่ทัพใหญ่เหมิง ไม่ละความพยายามในการแนะนำเขา และเขามาเพื่อส่งกองทัพออกไปรบโดยเฉพาะ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่รู้จักตอบแทนน้ำใจ…”

ก่อนที่จักรพรรดิหยวนเฟิงจะทันได้พูดจบ เสียงเพลงก็ดังขึ้นจากเนินเขาในระยะไกล เพลงนี้ค่อนข้างแปลก แต่เมื่อรวมกับเสียงพิณที่เร่าร้อน มันทำให้เลือดของผู้คนเดือดโดยไม่คาดคิด

“เผชิญหน้ากับพายุด้วยความกล้าหาญ”

“เลือดร้อนเหมือนแสงของดวงอาทิตย์”

“มีความกล้าหาญเหมือนเหล็ก”

“กระดูกที่แข็งอย่างเหล็กกล้า”

“มีใจกว้างและมองการณ์ไกล”

(ผมพยายามหาเนื้อเพลงเหมือนกันนะครับไม่เจอและผมก็พยามแปลให้มันมีความหมายมากที่สุดแล้วใครรู้เนื้อเพลงจริงๆบอกันได้นะครับ)

ครู่หนึ่งแม้แต่จักรพรรดิหยวนเฟิงก็ลืมที่จะพูดต่อ เขาฟังเพลงอย่างจริงจังและกำหมัดแน่น..

ฝากติดตามเพจ "นักแปลลูกอ่อน" ด้วยนะครับ ผิดพลาดประการใดเม้นบอกกันได้นะครับ จะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

ตอนนี้เรามีกลุ่มแล้วนะครับ ในกลุ่มลับลงขั้นต่ำวันละ7-10ตอนเว็บลงวันละ2