ตอนที่ 112

บทที่ 112 : การต่อสู้เมื่อร้อยปีก่อน

การต่อสู้ของสำนักเซียนอรุณแห่งภูเขาคังเฉิง?

จางซูหมิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของเขา และเขาก็เชื่อมโยงซุยเฮ็งเข้ากับเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบซึ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อร้อยปีก่อนอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นเขาก็ดูเหมือนกับจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และความตกใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

อย่างไรก็ตาม เขาก็ระงับอารมณ์นี้อย่างรวดเร็ว

จากนั้นจางซูหมิงก็หายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “ เรียนท่านเทพเซียนผู้สูงส่ง ท่านพูดถูกแล้ว ข้าได้เห็นการต่อสู้ของสำนักเซียนอรุณบนภูเขาคังเฉิงเมื่อร้อยปีที่แล้ว”

“ ในเวลานั้น เซียนปฐพีแห่งสำนักของเราก็ได้ตัดสินใจไปที่สำนักเซียนอรุณเพื่อหยุดการต่อสู้ ข้าเองก็เป็นหนึ่งในเด็กเต๋าสองคนที่ติดตามเขาไป อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผู้นำสูงสุดจะไปถึงภูเขาคังเฉิง การต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นไปแล้ว”

“ เซียนปฐพี?” ซุยเฮ็งค้นพบประเด็นสำคัญและพูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ ตำหนักเต๋าอี้ของเจ้ายังมีเซียนปฐพีอยู่บนโลกใบนี้ไหม?”

“ ตอนนั้นพวกเขาแค่ลงมาจากโลกเบื้องบน” จางซูหมิงอธิบาย “ ในทุกๆ ร้อยปี ไม่เพียงแต่เทพเซียนแห่งโลกเบื้องบนจะลงมาที่ 36 รัฐเท่านั้น แต่บรรพบุรุษของเราก็ยังจะลงมายังตำหนักเต๋าอี้และโถงพุทธมามกะเป่าหลินอีกด้วย”

“ ข้าเข้าใจแล้ว” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากองกำลังระดับสูงส่วนใหญ่บนโลกนี้จะเกี่ยวข้องกับโลกเบื้องบน “ บอกข้าเกี่ยวกับสาเหตุและผลของการต่อสู้ในครั้งนั้นและผู้คนที่เข้าร่วมในการปิดล้อมที”

“ ตามท่านบัญชา” จางซูหมิงพยักหน้าด้วยความเคารพและกล่าวว่า “ มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้การต่อสู้ในครั้งนั้นเกิดขึ้น และมันก็เป็นเพราะวิธีการฝึกตนของสำนักเซียนอรุณนั้นแตกต่างไปจากการฝึกเต๋าที่พวกเรารู้จักไปโดยสิ้นเชิง”

“ หลังจากถูกค้นพบโดยพระอรหันต์จากโลกเบื้องบน เขาก็ได้รวบรวมเซียนมนุษย์และพระอรหันต์ส่วนใหญ่ให้ลงมายังโลกในทันทีเพื่อหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในท้ายที่สุด เขาก็ตัดสินใจว่าสำนักเซียนอรุณเป็นสำนักมารและต้องถูกกำจัดออกไป”

“ ด้วยเหตุนี้เอง สามอรหันต์แห่งโถงพุทธมามกะเป่าหลินจึงเป็นผู้นำ นอกจากนี้ก็ยังมีเซียนมนุษย์ 13 คนจากตระกูลขุนนางและสำนักต่างๆ และผู้ฝึกตนขอบเขตเทพอีก 41 คนที่ถูกรวบรวมมาจากที่ต่างๆ และจากนั้นเราจึงเริ่มโจมตีสำนักเซียนอรุณ…”

“ ข้าเคยได้ยินมานิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้” ซุยเฮ็งพยักหน้า เขาเคยได้ยินข้อมูลนี้มาจากหวังฮัวอี้ แต่มันก็ไม่ได้ละเอียดมากนัก

“ ใช่แล้ว อย่างที่ท่านเทพเซียนรู้ ในที่สุดคนเหล่านี้ก็ถูกกวาดล้างออกไปจนหมดสิ้น และไม่มีใครสามารถรอดกลับไปได้แม้แต่คนเดียว” จางซูหมิงกล่าวต่อ “ แม้ว่าสำนักเซียนอรุณจะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่พวกเขาก็ยังได้สร้างโกรธเคืองให้กับเหล่าเซียนและพระอรหันต์ของโลกเบื้องบนมาก”

“ หลังจากการต่อสู้นั้นผ่านไปได้ไม่นาน พระโพธิสัตว์สามองค์และเซียนปฐพีสองคนก็ได้นำกองทัพพระอรหันต์และเซียนมนุษย์ 20 คนลงมา นอกจากนี้พวกเขายังนำพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์สามองค์และศพของเซียนปฐพีสองชิ้นลงมาด้วย และจากนั้นพวกเขาก็เริ่มโจมตีสำนักเซียนอรุณอย่างบ้าคลั่ง”

“ เจ้าสำนักของเราในตอนนั้นต้องการจะหยุดการต่อสู้นี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็คิดว่าสำนักเซียนอรุณจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าเต๋ากระบี่ของเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบนั้น... จะทรงพลังถึงเพียงนี้”

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็หยุดชั่วครู่ และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าเขาได้หลุดเข้าไปในความทรงจำของเหตุการณ์เมื่อร้อยปีก่อน “ ข้ายังจำฉากนั้นได้ดีจนถึงทุกวันนี้ และจะไม่มีวันลืมมันได้เลย”

“ กระบี่แสงหลากสีพวยพุ่งขึ้นสู่บนท้องนภาราวกับว่ามันจะห่อหุ้มท้องฟ้าทั้งผืนเอาไว้ เหล่าเซียนและพระอรหันต์ที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าต่างก็ถูกแสงหลากสีกลืนกินหายไปในทันที ไม่ว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือเซียนปฐพี พวกเขาล้วนแต่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้านและตกตายไปในพริบตา…”

ซุยเฮ็งฟังทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ และเจตนาฆ่าก็ฉายผ่านดวงตาของเขา เขาคิดกับตัวเองว่า “ พระโพธิสัตว์และเซียนปฐพีน่าจะเทียบเท่ากับขอบเขตสกัดปราณขั้นเก้า”

“ ในตอนนั้นฉีฉีก็สามารถฆ่าพวกเขาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว นี่แสดงว่าเธอจะต้องเข้าสู่ขอบเขตก่อเกิดรากฐานแล้ว หรือไม่เธอก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับพวกเขาแล้ว”

ในขณะนี้ เขาก็เข้าใจสถานการณ์ของเจียงฉีฉีเมื่อร้อยปีก่อนแล้ว อาจกล่าวได้ว่าเธอเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก เธอถูกโจมตีโดยเซียนและพระอรหันต์หลายสิบองค์ในเวลาเดียวกัน

“ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด แล้วเหตุใดสำนักเซียนอรุณจึงปิดผนึกภูเขา?”

“ หรือมันจะมีตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปรากฎตัวขึ้นมาอีกอย่างงั้นหรอ?” ซุยเฮ็งถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ ใช่แล้ว” จางซูหมิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ หลังจากที่พระโพธิสัตว์และเซียนปฐพีเสียชีวิตลงในสำนักเซียนอรุณ ฝ่ามือที่มีความกว้างหลายพันฟุตก็ฟาดลงมาจากบนท้องฟ้าโดยหมายที่จะทำลายสำนักเซียนอรุณทั้งหมด”

“ และในที่สุด มือขนาดใหญ่นี้ก็ถูกทำลายลงด้วยกระบี่แสงของเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบ และนับจากนั้นเป็นต้นมา มันก็ไม่มีเซียนหรือพระอรหันต์คนไหนลงมาโจมตีสำนักเซียนอรุณอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีใครบนโลกได้ยินเกี่ยวกับเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบอีกต่อไปเช่นกัน และจากนั้นสำนักเซียนอรุณก็ได้หายตัวไปจากโลกนี้”

“ ในเวลานั้น ข้าได้ยินท่านเจ้าสำนักอุทานว่า นางได้ปลุกเทวาให้ต้องโจมตี ข้าคิดว่าคนที่เป็นเจ้าของฝ่ามือใหญ่นั่นก็น่าจะเป็นเทวา”

“ เทวา?” ดวงตาของซุยเฮ็งแคบลงเล็กน้อย “นั่นคือเซียนสวรรค์หรอ?”

“ …” ร่องรอยของความตกใจฉายผ่านดวงตาของจางชูหมิง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าและพูดว่า “ มันไม่ใช่เซียนสวรรค์ เซียนสวรรค์นั้นเป็นเพียงคำศัพท์ทั่วไปสำหรับใช้เรียกขอบเขตที่สาม และขอบเขตที่สามของโลกเซียนนั้นก็ยังแบ่งออกเป็นอีกสามระดับ พวกเขาถูกเรียกว่า เทวา, เซียนสวรรค์และราชาสวรรค์ตามลำดับ”

“ มันสอดคล้องกับขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลายของขอบเขตก่อเกิดรากฐานสินะ?” ซุยเฮ็งคิดกับตัวเอง “ ในกรณีนี้ ฉีฉีก็อาจจะยังมาไม่ถึงขอบเขตก่อเกิดรากฐานในเวลานั้น มิฉะนั้นแล้วเธอก็คงจะไม่หายตัว”

“ ท่านเทพเซียนผู้สูงส่ง ข้ามีคำถาม แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะถามดีหรือไม่” จางชูหมิงพูดขึ้นในทันที

“ โอ้?” ซุยเฮ็งมองดูเขาและเดาคร่าวๆ ว่าเขาต้องการจะถามอะไร ดังนั้นเขาจึงหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ ก็ได้ แต่เจ้าต้องตอบคำถามของข้าก่อน”

“ ท่านเทพเซียนผู้สูงส่งโปรดถามมาได้เลย” จางชูหมิงพูดอย่างเร่งรีบ

ทันใดนั้นการแสดงออกของซุยเฮ็งก็ดูจริงจังขึ้นในขณะที่เขาถามด้วยเสียงต่ำ “ ตำหนักเต๋าอี้มีบทบาทอย่างไรในการต่อสู้กับสำนักเซียนอรุณเมื่อร้อยปีก่อน? พวกเขามีส่วนร่วมด้วยหรือไม่?”

“ ไม่ ไม่ ไม่แน่นอน!” จางซูหมิงส่ายหัวด้วยความกลัวและอธิบายด้วยความตื่นตระหนก “ เรียนท่านเทพเซียนผู้สูงส่ง สำนักของข้าได้รับการฝึกตนอย่างสันโดษมาโดยตลอด พวกเราอยู่ห่างไหลจากเรื่องทางโลก เป็นเวลากว่าหนึ่งหมื่นปีแล้วที่เราแทบจะไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของมนุษย์เลย”

“ แม้ว่าปรมาจารย์เซียนแห่งโลกเบื้องบนจะลงมา แต่พวกเขาก็จะมาเทศนาให้เราฟังเท่านั้นและไม่ได้มีส่วนร่วมในข้อพิพาท ยิ่งไปกว่านั้น มันก็เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายอื่นจะสั่งให้เรามาเข้าร่วมด้วยกำลังได้ เพราะฉะนั้นแล้วท่านเทพเซียนผู้สูงส่งโปรดอย่าเข้าใจผิด!”

“ งั้นก็ดีแล้ว” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย” เจ้าลองถามมาได้แล้ว”

“ ขอบคุณท่านเทพเซียน!” จางซูหมิงโค้งคำนับด้วยความเคารพและถามว่า “ ข้าขออนุญาตถามได้ไหมว่าความสัมพันธ์ของท่านกับสำนักเซียนอรุณคืออะไร?”

“ เหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบที่เจ้ากำลังพูดถึงอยู่คือศิษย์ของข้า” ซุยเฮ็งตอบอย่างตรงไปตรงมาและไม่ได้ปิดบังอะไร ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังมีเวลาอีกสองเดือนก่อนที่เหล่าเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนจะลงมา ดังนั้นเขาจึงมีเวลาชำระแค้นเหลือเฟือ

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะลงมือจริงๆ เขาก็ต้องการจะรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดจากทุกชีวิตเสียก่อน

นี่ก็หมายความว่ามันจำเป็นมากที่เขาจะต้องมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้ว่าการรัฐ

หากเขาสามารถระดมทรัพยากรทั้งหมดในรัฐเพื่อบังคับใช้นโยบายใหม่ได้ มันก็จะทำให้ชาวเฟิงโจวรู้สึกขอบคุณและรักเขามากขึ้น ในเวลาเดียวกัน มันก็จะทำให้ขุนนางของเฟิงโจวเกลียดเขาอย่างมาก และเขาก็จะได้รับแสงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดเป็นจำนวนมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แสงสามสี สีแดง สีขาว และสีดำ มันอาจบรรลุความสำเร็จเลยก็ได้

ในขณะนี้ จางซูหมิงก็รู้สึกตกใจอย่างมาก

จากความกังวลของซุยเฮ็งที่มีต่อสำนักเซียนอรุณเมื่อร้อยปีก่อน เขาก็สามารถเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าซุยเฮ็งจะต้องมีความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าซุยเฮ็งจะเป็นอาจารย์ของเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบ

ความหมายนี้แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง!

ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบจะหายไปในท้ายที่สุด แต่เธอก็ยังได้แสดงความแข็งแกร่งที่เทียบได้กับเทวา

แบบนั้นแล้วการดำรงอยู่แบบใดกันที่จะสามารถสั่งสอนศิษย์ให้แข็งแกร่งได้มากถึงขนาดนั้น?”

เซียนสวรรค์?

แต่ถ้าเป็นขอบเขตที่สูงกว่า มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสอนศิษย์ที่ทรงพลังเช่นนี้

ถ้าอย่างนั้น… เขาอาจจะเป็นราชาสวรรค์หรือเปล่า?

ราชาสวรรค์เป็นที่รู้จักกันตามชื่อ!

เขาอยู่ยงคงกระพันในโลกและสามารถปราบปรามได้ทุกสิ่ง!

ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินจากเจ้าสำนักของเขาว่าแม้แต่ในโลกเบื้องบน ราชาสวรรค์ก็ยังเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานที่ยากจะจินตนาการถึง

แต่ในตอนนี้ คนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาก็อาจจะเป็นราชาสวรรค์ได้จริงๆ หรอ?!

มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!

จางชูหมิงตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงแรงกดดันที่ไม่รู้จบที่เขารู้สึกในตอนที่ซุยเฮ็งจ้องมองมาที่เขาในขณะที่เขากำลังบินอยู่บนท้องฟ้า

ความรู้สึกอันน่าสะพรึงกลัวนี้เป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีวันลืม

บางทีนี่อาจจะเป็นราชาสวรรค์จริงๆ ก็ได้!

มีเพียงราชาสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถครอบครองพลังเช่นนี้ได้!

“ ท่านเทพเซียนผู้สูงส่ง ท่าน…” จางชูหมิงต้องการจะถามด้วยความตื่นเต้น แต่ทันทีที่เขาเปิดปาก เขาก็รู้สึกว่านี่มันหยาบคายเกินไปและไม่รู้จะพูดอะไร

เขาเริ่มประหม่า

ถ้าใครได้เห็นเจ้าสำนักตำหนักเต๋าอี้ในสภาพนี้ พวกเขาก็จะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน

ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็มักจะดูสงบนิ่งต่อหน้าทุกคน แต่ตอนนี้เขาก็กลับดูหลงทางและทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่าเขาได้ย้อนวัยกลับไป

อันที่จริง นี่ก็เป็นปฏิกิริยาตามปกติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก มันยากที่จะหลีกเลี่ยง

“ รวบรวมรายชื่อกองกำลังที่เข้าร่วมในการปิดล้อมสำนักเซียนอรุณเมื่อร้อยปีก่อนมาและมอบมันให้ข้าภายในวันพรุ่งนี้” ซุยเฮ็งยิ้มและทำลายสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจของจางซูหมิง “ นอกจากนี้ รวบรวมพวกที่มาจากโลกเบื้องบน พยายามลงรายละเอียดไว้ให้ได้มากที่สุด”

“ รับทราบ! ขอบคุณท่านเทพเซียนผู้สูงส่ง” จางซูหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

….

สามวันต่อมา

ฮุ่ยฉีและโจวหงอี้ได้กลับมาถึงที่มณฑลลู่

ในขณะนี้ หยูโจวก็กำลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายเนื่องจากการปรากฏตัวของพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์

สำนักชั้นนำและตระกูลขุนนางจำนวนมากต่างก็พากันเข้าร่วมการแข่งขันเช่นกัน แต่กระนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ถูกควบคุมโดยโถงพุทธมามกะเป่าหลินและไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

เว่ยเซียงและเหรินหยวนคุยต่างก็ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ได้ทำลายแผนการของพวกเขาที่จะเชิญยอดฝีมือของโถงพุทธมามกะเป่าหลินมาจัดการกับซุยเฮ็ง

สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ซุยเฮ็งได้รับแสงสีเหลืองซึ่งสัญลักษณ์ของความปรารถนามาเป็นจำนวนมากเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้แสงนี้กระโดดได้สูงถึง 2 ฟุต 3 นิ้ว ซึ่งมันก็กลายมาเป็นแสงที่สูงที่สุดในหมู่แสงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด นอกจากนี้มันก็ยังทำให้เขาสามารถเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง

ไม่มีแม้แต่ตัวตลกที่จะออกมาสร้างปัญหา

หลิวหลี่เต๋าและเฉินตงได้จัดหาคนเข้ามารับตำแหน่งแทนตัวพวกเขาเองแล้ว

จดหมายแนะนำของพี่ชายของอู๋หยินเองก็มาถึงแล้วเช่นกัน

เมื่อมาถึงจุดนี้ เรื่องในมณฑลลู่ก็ได้ยุติลงชั่วคราว

ซุยเฮ็งเริ่มเตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าไปยังเขตฉางเฟิงเพื่อรับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวและมีส่วนร่วมในโอกาสร้อยปี

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรวบรวมแสงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

ก่อนที่ซุยเฮ็งจะเดินทางไปยังเขตฉางเฟิง ฮุ่ยฉีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการแล้ว

เขาสามารถดูแลกิจการทหารในท้องถิ่นทั้งหมดได้ชั่วคราวและได้เริ่มดำเนินการตามนโยบายใหม่

จุดแวะแรกคือมณฑลลั่วอันของเหรินหยวนคุย!

ในเวลานี้ มันก็มีเวลาน้อยกว่าสองเดือนก่อนที่เซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนจะลงมา

...

ในหลายสถานที่

ลำแสงสีต่างๆ พุ่งผ่านท้องฟ้าและตกลงมายังสำนักชั้นนำและตระกูลขุนนางอย่างตระกูลที่โด่งดังทั้งเจ็ด

นี่คือ “ทูต” จากโลกเบื้องบน

พวกเขานำคำสั่งของสำนักหลักในโลกเบื้องบนลงมาให้

หวังฮัวอี้แห่งตระกูลหวังแห่งหลางหยาตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ในขณะที่เขาจ้องมองไปที่ “ทูตสวรรค์” ที่เพิ่งลงมาข้างนอกอย่างตกตะลึง

ทูตสวรรค์ลงมาก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอ?

นอกจากนี้ เขาก็ยังถ่ายทอดเจตจำนงของสำนักหลักมาแล้วนี่?

ทำไมตอนนี้มันถึงมีอีกอันหนึ่งได้?