ตอนที่ 143 - บทที่ 143 สถานที่แห่งนี้จะถูกเรียกว่า

บทที่ 143  สถานที่แห่งนี้จะถูกเรียกว่า "เฉินเจียเป่า"

"..!"

เหอเฟยและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังเขาตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว และปรากฏแววแห่งความตื่นเต้นในดวงตาของพวกเขา

พวกเขาโชคดีอย่างมาก โชคดีที่พวกเขาสามารถต่อต้านสิ่งล่อใจและไม่ได้เข้าร่วมกับพวกของซุนเปียว

มิฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงรางวัล แม้แต่หัวของพวกเขาก็รักษาไว้ไม่ได้

ผู้คนหลายร้อยคนรอบๆตัวต่างจ้องมองมาที่อู๋กวงและคนอื่นๆอย่างอิจฉา

ไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้รางวัลอะไรบ้าง? มันควรจะเป็นข้าวมากมายใช่ไหม?

อย่างไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ เพราะท้ายที่สุดแล้วหากเป็นพวกเขาเมื่อกี้นี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า พวกเขาจะไม่มีความกล้าหาญแม้แต่ที่จะยืนอยู่ต่อหน้าคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ

ในทางตรงกันข้าม การแสดงออกของอู๋กวงดูสงบกว่าอย่างมาก แต่การหายใจถี่สั้น ๆ เล็กน้อยของเขายังคงต่อความคิดของเขา

“พวกเจ้าทั้งสี่คน ต่างได้รับรางวัลเป็นข้าวสารหนึ่งร้อยปอนด์”

เฉินฟานมองไปที่คนหลายคนยกเว้นอู๋กวงและเหอเฟย

คนเหล่านั้นอ้าปากกว้างในทันที และหลังจากรู้สึกตัวแล้ว พวกเขาก็โค้งคำนับและขอบคุณ "ขอบคุณพี่เฉิน! ขอบคุณ..พี่เฉิน!"

ต้องรู้ก่อนว่าตอนที่จ้าวต้ายังอยู่ที่นี่นั้น แม้เพียงแค่ข้าวสองปอนด์เขาก็สามารถหาผู้หญิงมานอนด้วยได้

หนึ่งร้อยปอนด์!

พวกเขาควรจะเป็นคนที่รวยที่สุดในจ้าวเจียเป่าในตอนนี้

“เหอเฟย เมื่อกี้เจ้ามีส่วนในการโน้มน้าวผู้คนมากกว่าร้อยคนด้วย ดังนั้นเจ้าสามารถได้รับไปสองร้อยปอนด์”

“ขอบคุณนะพี่เฉิน! ขอบคุณนะพี่เฉิน!”

เหอเฟยหลั่งน้ำตาด้วยความตื่นเต้น

ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก แต่แค่พูดออกไปด้วยความกระตือรือร้นเท่านั้น

แต่เพียงแค่ประโยคนั้น เขากลับได้รับข้าวเพิ่มอีก 100 ปอนด์โดยไม่คาดคิด!

เมื่อทั้งสี่คนเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย

หากพวกเขารู้อย่างนี้ พวกเขาควรจะพูดอะไรออกมาสักสองสามคำ ไม่..หากพวกเขารู้สิ่งนี้ พวกเขาควรจะรีบไปยืนอยู่แถวหน้าแล้ว!

เพราะเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อู๋กวงน่าจะได้รับรางวัลมากที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหกคน

ในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็จ้องมองไปที่อู๋กวงและเวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งในขณะนี้

“อู๋กวง”

เฉินฟานจ้องมองไปทางหลัง “การแสดงของเจ้าในครั้งนี้เกินความคาดหมายของข้าและข้าก็พอใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวินาทีสุดท้าย เมื่อรู้ว่าแม้ตัวเองจะต้องเสียชีวิต เจ้าก็ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาโดยไม่ลังเล ดังนั้นเจ้าจะได้ข้าวห้าร้อยปอนด์"

“ห้าร้อยปอนด์!”

“ข้าวห้าร้อยปอนด์!”

ในทันใดนั้น การพูดคุยอย่างน่าตกตะลึงก็ปะทุขึ้นจากฝูงชนทั้งหมด

คนทั้งสี่ที่ได้รับข้าวจำนวนหนึ่งร้อยปอนด์ก็กลืนน้ำลายลงอย่างแรงในเวลาเดียวกัน

เหอเฟยมองดูอู๋กวงด้วยความชื่นชมในดวงตาของเขา

พูดตามตรง ตอนนั้นเขากลัวมากจนไม่สามารถจับอาวุธได้อีกต่อไป และขาของเขาก็สั่นขณะยืนอยู่กับที่ หากซุนเปียวและคนอื่น ๆ ก้าวเข้ามาข้างหน้าสองสามก้าว เขาอาจจะทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหนีไปแล้ว

แต่อู๋กวงก็เหมือนกับปราการเหล็ก ไม่เคยถอยตั้งแต่ต้นจนจบ

ห้าร้อยปอนด์นี่คือสิ่งที่เขาสมควรได้รับ

“พี่เฉิน”

อู๋กวงไม่รู้ว่าเป็นความตื่นเต้นหรือตื่นตระหนก เขาเลียริมฝีปากแล้วพูดว่า "นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ ท่านได้ช่วยชีวิตทุกคนจากมือของจ้าวต้าแถมยังแจกจ่ายอาหารให้ทุกคน ดังนั้นปกป้องห้องใต้ดินเพื่อท่านเป็นเกียรติของข้าและข้าไม่ต้องการรางวัลอะไร ไม่ต้องพูดถึงข้าวห้าร้อยปอนด์..นี่มันมากเกินไปแล้ว”

เฉินฟานส่ายหัวแล้วพูดว่า "นี่แค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่นับว่าอะไร ดังนั้นเรื่องนี้ก็ถือว่าตกลงเช่นนี้"

อู๋กวงอ้าปากกว้างเมื่อได้ยินคำพูด เขาก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า..

นี่คือนายที่ยุติธรรมและเด็ดขาด และเป็นนายที่เขาสามารถฝากผีฝากไข้ได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะซื่อสัตย์กับเฉินฟานอย่างถึงที่สุด

ประการที่สอง ข้าวห้าร้อยปอนด์ นี่คือข้าวห้าร้อยปอนด์เชียวนะ เขาจะไม่ถูกล่อลวงได้อย่างไร

บริเวณรอบๆนั้น มีน้ำเสียงของทุกคนเต็มไปด้วยความอิจฉา

“ถ้ากินข้าวห้าร้อยปอนด์คนเดียว จะสามารถกินได้นานแค่ไหน?”

“ถึงจะคิดง่ายๆกินวันล่ะปอนด์ก็ยังกินได้เกือบสองปีใช่ไหม?”

"สองปี!"

“อย่าลืมว่าข้าวพวกนี้สามารถแลกเป็นเงินได้ที่ซงเจียเป่า 500 ปอนด์คือ 500 หยวน พวกเจ้าสามารถซื้ออะไรก็ได้ด้วยเงินจำนวนนี้”

“ถูกต้อง ถ้าเราก้าวไปข้างหน้าเมื่อกี้ เราจะไม่ได้สักหนึ่งหรือสองร้อยปอนด์งั้นเหรอ?” มีคนพูดอย่างนึกเสียใจออกมา

“พูดเหมือนง่าย แม้ว่าจะมีสถานการณ์เช่นเมื่อกี้อีกครั้ง ข้าเกรงว่าเจ้าก็จะยังไม่กล้าลุกขึ้นยืนเหมือนเดิม”

เฉินฟานสบตากับผู้คนรอบตัวเขา และเขาพูดว่า "ไม่ใช่แค่อู๋กวงและคนอื่น ๆ พวกเจ้าไม่ได้ถูกเป่าหูได้ง่ายและไม่ได้สร้างปัญหาเมื่อกี้ พวกเขาก็จะได้รับรางวัลเหมือนกัน"

"อะไรนะ..!!"

ผู้ชมกลายเป็นเงียบงัน

ทุกคนเบิกตากว้างและไม่อยากจะเชื่อหูของตนเอง

พวกเขาก็ยังได้รับรางวัลงั้นเหรอ?

“ยังมีสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันมากมายในห้องใต้ดิน เจ้าเข้าแถว ทุกคนสามารถได้รับมันเป็นรางวัล”

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนอย่างยินดีดังสนั่นดังลั่นไปทั่วป้อมปราการ

และหลายคนยังร้องไห้ด้วยความดีใจ พวกเขารู้สึกซาบซึ้งกับการตัดสินใจครั้งก่อนของตัวเองอย่างมาก

ส่วนผู้คนมากกว่าร้อยคนมาสร้างปัญหานั้น พวกเขาก็เต็มไปด้วยความอิจฉา ความอับอาย และความเสียใจในสายตาของพวกเขา

ถ้าพวกเขาสามารถรู้จักความพอใจในขณะนั้นได้ ถ้าสามารถระงับความโลภภายในจิตใจของตัวเองได้ ถ้าสามารถหยุดม้าริมหน้าผาได้จะดีแค่ไหน ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องคืนอาหารส่วนใหญ่ แต่พวกเขาก็สามารถได้รับอาหารเพิ่มเติมอีกด้วย และยังมีสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันอีก

น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้า

ผู้คนหลายร้อยคนเข้าแถวเพื่อรับสิ่งของและทุกคนมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า

“ข้าไม่ได้คาดคิดว่านอกจากอู๋กวงและคนอื่น ๆ แล้ว เราก็จะได้รับรางวัลด้วยเช่นกัน”

“ใช่..ที่จริงแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราควรได้รับด้วยซ้ำ พวกเราโชคดีเหมือนได้พายที่ตกมาจากท้องฟ้า”

“พายที่ตกมาจากท้องฟ้าบ้าอะไรล่ะ? มันเป็นเพราะพี่เฉินผู้ใจดีและใจกว้างมาก เจ้าลองคิดว่าถ้าเป็นจ้าวต้าแทนล่ะ เขาจะแบ่งปันสิ่งของกับพวกเราหรือป่าว..ไม่มีทาง ขอบคุณพระเจ้าแล้วถ้าเขาไม่ขโมยของจากเราด้วย”

“ใช่ เราต้องจดจำความเมตตาของพี่เฉินไว้ อย่าเป็นเหมือนคนพวกที่นอนเป็นศพอยู่ตรงนั้น ที่กินอิ่มแล้วยังคิดที่จะแว้งกัดอีก”

"ถูกต้อง..ถูกต้อง"

เมื่อมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามของทุกคน ผู้คนกว่าร้อยคนที่ยืนอยู่อีกมุนหนึ่งก็รู้สึกละอายใจเช่นกัน

“เรากลับกันเถอะ ไปนำข้าวส่วนที่เหลือจากสิบปอนด์มาส่งมอบกันเถอะ” มีคนพูดขึ้น

“พี่เฉินพูดออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายว่าเขาจะไม่ถือว่าความผิดในครั้งนี้ของเรา ข้าเชื่อว่าด้วยนิสัยของเขา เขาจะไม่โกหกเราอย่างแน่นอน”

“ใช่ เรื่องนี้เป็นความผิดของเรา เราต้องทนหากถูกคนอื่นดูถูกและไม่สามารถโทษใครได้นอกจากตัวเอง”

หลังจากพูดจบแล้วพวกเขาก็พากันจากไป

ไม่นานพวกเขาก็กลับมาพร้อมกับถุงข้าวที่เท่ากัน

เหอเฟยพาคนไปตรวจสอบทีละคน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างได้รับจำนวนเท่ากันในเวลานั้น ดังนั้นจึงง่ายต่อการตรวจสอบ

โชคดีที่ไม่มีใครคดโกงอะไรเล็กๆ น้อยๆ

ส่วนทุกคนที่เหลือที่ได้รับสิ่งของต่างก็พากันขอบคุณเฉินฟานอย่างมาก

“พี่เฉิน ท่านคือผู้กอบกู้จ้าวเจียเป่าของเราจริงๆ” ผู้เฒ่าคนหนึ่งถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา

เฉินฟานยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สถานที่นี้จะไม่เรียกว่าจ้าวเจียเป่าอีกต่อไป แต่มันจะถูกเรียกว่า “เฉินเจียเป่า” ต่อจากนี้ไป”

ทุกคนตกตะลึงแล้ว จากนั้นก็เห็นด้วยอย่างตื่นเต้น

ถูกต้องแล้ว คำว่าจ้าวเจียเป่ากลายเป็นอดีตไปพร้อมกับจ้าวต้าแล้ว

เนื่องจากมีผู้ปกครองที่ยุติธรรมและใจดี ต่อไปพวกเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความคาดหวังในอนาคตแล้ว

….

บนกำแพงเมืองซ่งเจียเป่าเต็มไปด้วยทหารยามสะพายปืน บ้างก็มองไปในถิ่นทุรกันดารอันไม่มีที่สิ้นสุด บ้างก็มองข้ามคนเดินถนนที่เข้าออกใต้กำแพงเมือง และบ้างก็พิงกำแพงเมืองพร้อมกับหาวออกมา

การยืนเฝ้าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ โดยเฉพาะพวกเขาทำอย่างนี้เป็นเวลาหลายปีแล้ว

“เสี่ยวฉุนไม่ได้มาหลายวันแล้วใช่ไหม?”

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถามขึ้นมา และมันก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที

“ใช่ ดูเหมือนว่าจะเป็นเวลาสามหรือสี่วันแล้ว?”

“หรือจะแค่สองสามวันเท่านั้น?”

“ไม่รู้สิ เขาไม่ได้มาที่นี่ตั้งแต่ขอลาในวันนั้น ได้ยินมาว่าเขาออกไปล่าสัตว์ทั้งที่ไม่ได้ไปนายแล้ว หรือว่าเขาจะประสบอุบัติเหตุหรือเปล่า?”

“หวังซิน” ใครบางคนมองไปทางซ้ายที่ชายวัยยี่สิบที่มีคางแหลม “เจ้าไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านเสี่ยวฉุนมาเหรอ? เป็นอย่างไรบ้าง? ได้รับข่าวอะไรไหม?”

เมื่อเห็นว่าทุกคนจับจ้องไปที่เขา หวังซินก็ถอนหายใจและพูดว่า "ข้าไปที่นั่นเมื่อวานนี้ และมีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่บ้านซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของหยางเสี่ยวฉุน เธอบอกว่าเมื่อสองวันก่อนหยางเสี่ยวฉุนมาตามหาพี่ชายของเขา จากนั้นพวกเขาก็พากันออกไปล่าสัตว์แล้วยังไม่กลับมาอีกเลย”

บรรยากาศเงียบสงบ และทุกคนได้ยินคำพูดนี้และมีความไม่เชื่อบนใบหน้าของพวกเขา

จากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น

“เฮ้ จะออกไปล่าสัตว์ทำไมล่ะ? ยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้เฉยๆโดยไม่เสี่ยงอันตรายอะไรไม่ดีเหรอ?”

“ใช่ แม้ว่าพวกเราจะได้รับค่าจ้างตายตัว แต่มันก็ปลอดภัย ไม่เหมือนกับคนเหล่านั้นที่อยู่ในหมู่บ้านด้านนอก ข้าไม่รู้ว่ามีกี่คนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของสัตว์อสูรเหล่านั้น”

"เขายังเด็กเกินไป"

"ใช่ เขายังเด็กจริงๆ"

ทุกคนถอนหายใจออกมา และบรรยากาศก็เงียบลงอีกครั้ง

สำหรับพวกเขาแล้ว หยางเสี่ยวฉุนไม่ใช่คนแรกที่ทำเช่นนี้ และจะไม่ใช่คนสุดท้ายอย่างแน่นอน

มุมปากของหวังซินโค้งงอขึ้น

ในขณะนี้ มีเสียงอุทานดังขึ้น "ดูนั่นสิ กัปตันกลับมาแล้ว!"

ทุกคนได้ยินก็พากันมองออกไป

พวกเขาเห็นรถจี๊ปทหารมาแต่ไกลกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่

ดวงตาของหวังซินเต็มไปด้วยความสุข

รถจี๊ปวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและขับเข้าไปในลานภายในป้อม หลังจากจอดรถแล้วชายในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวก็เปิดประตูออกมา

เขาสวมแว่นกันแดด ซึ่งมีส่วนสูงมากกว่า 1.8 เมตร เขามีรูปร่างกำยำ และเสื้อของเขาถูกรัดไว้ด้วยกล้ามเนื้อ ราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

มือขวาของเขาถือปืนกลหนักได้ด้วยมือเดียว

เมื่อเห็นฉากนี้ ทหารยามบนกำแพงเมืองก็เต็มไปด้วยความปรารถนาในดวงตาของพวกเขา

“ตามที่คาดไว้ กัปตันช่างแข็งแกร่งจริงๆ ปืนกลหนักนี้มีน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัมรวมกระสุนที่ฐานด้วย สำหรับพวกเรานั้นต้องติดมันไว้บนรถแทนจึงจะใช้ได้ ส่วนกัปตันก็แค่หยิบมันขึ้นมาด้วยมือเดียว”

“กัปตันเป็นนักรบที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งกล้ามเนื้อขั้นปลายจึงสามารถถือมันได้ด้วยมือเดียว นับประสาอะไรกับน้ำหนักพันปอนด์ คนธรรมดาอย่างเราสามารถบินได้ด้วยการชกธรรมดาๆของเขา”

“กัปตันไปที่หอศิลปะการต่อสู้เล่ยหยุนในเมืองอันซานในครั้งนี้เพื่อฝึกฝนความแข็งแกร่งเพิ่มเติม คาดว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาคงก้าวหน้าอย่างมากเช่นกัน อีกไม่นานเขาจะถึงขอบเขตหมิงจินอย่างแน่นอน..”

……………………………