ณ โถงพระสันตะปาปาในอาณาจักรรัตติกาลเห่าหอน
พระสันตะปาปาองค์ใหม่ ฟลอยด์ มองไปยังโคโบลด์ที่อยู่ตรงหน้าของเขา
มันคือโคโบลด์ในชุดคลุมสีดำและปกคลุมไปด้วยเงามืด
“เทพแห่งเงาและการลอบสังหาร—อัลเจอร์นอน ข้าไม่ได้พบกับท่านมานานแค่ไหนแล้วนะ?”
ฟลอยด์มองไปยังโคโบลด์ผู้นี้และถอนหายใจออกมา
“มากกว่าห้าสิบปีแล้วสินะ” อัลเจอร์นอนพูดอย่างสงบนิ่ง
ฟลอยด์พยักหน้า
“ข้ามีเรื่องจะร้องขอท่าน” มันกล่าว
“ภารกิจเหรอ? มันคือช่วงเวลาเป็นตายของอาณาจักรรัตติกาลเห่าหอนแล้วเหรอ?”
“ฟลอยด์ เจ้าจงอย่าลืมว่าท่านเทพส่งข้ามาที่นี่เพราะบุตรศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นที่นี่เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว ท่านเทพจึงส่งข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเจ้าเมื่อเจ้าพบเจอกับวิกฤตเป็นตาย นี่คือรางวัลจากท่านเทพ มันไม่ควรจะใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเพื่อการต่อสู้ทางการเมืองของเจ้า”
อัลเจอร์นอนพูดอย่างใจเย็นหลังจากได้ยินเรื่องการต่อสู้ระหว่างพระสันตะปาปาองค์ใหม่และองค์เก่ามานานแล้ว
‘เขา’ ผู้มีศรัทธาอันมั่นคงและบริสุทธิ์ รังเกียจที่จะเกี่ยวข้องกับพวกเขา นับประสาอะไรกับการร่วมมือกับพวกเขาและถูกใช้โดยพวกเขา
“ไม่ๆๆๆ อัลเจอร์นอน ท่านอย่าเข้าใจข้าผิดไป ทำไมข้าจะต้องใช้จิตวิญญาณเทพเจ้าเช่นท่านเพื่อเรื่องไร้สาระเช่นนั้นด้วย?”
“ท่านรู้จักอาณาจักรตะวันสาดแสงที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในวันนี้ไหม?” เขาถาม
อัลเจอร์นอนส่ายหัว
เมื่อเร็วๆ นี้มันกำลังสวดอ้อนวอนอย่างเคร่งครัดและไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“งั้นข้าจะเล่าให้ท่านฟังก่อน” ฟลอยด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นมันก็เล่าให้อัลเจอร์นอนฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรตะวันสาดแสงเมื่อเร็วๆ นี้ และเรื่องของยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์
“จากนิสัยและความแข็งแกร่งของราชาแห่งอาณาจักรตะวันสาดแสง อาณาจักรออโรร่า อาณาจักรไททัน และกระทั่งอาณาจักรรัตติกาลเห่าหอนของพวกเราก็น่าจะตกเป็นเป้าหมายของมัน ราชาไททันเองก็คาดเดาถึงเรื่องนี้ได้ และกระทั่งมาหาข้าเป็นการส่วนตัวในวันนี้เพื่อขอความร่วมมือกับข้า ท่านไม่คิดว่าข้าควรดับไฟตั้งแต่ต้นลมหรอกเหรอ?”
เขามองไปยังอัลเจอร์นอนและถาม
อัลเจอร์นอนไม่ได้พูดอะไรออกมา
ถ้าสิ่งที่ฟลอยด์พูดเป็นความจริง มันก็มีโอกาสถึง 90% ที่ราชาแห่งอาณาจักรตะวันสาดแสงจะโจมตีอาณาจักรรัตติกาลเห่าหอนต่ออีก
มันคือภัยคุกคามใหญ่จริงๆ มันคิดกับตัวเอง
บนบัลลังก์ของพระสันตะปาปา ฟลอยด์ตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อมันเห็นการเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยบนใบหน้าของอัลเจอร์นอน
สีหน้าของมันค่อยๆ เคร่งขรึมยิ่งขึ้นในขณะที่มันพูดออกมา
“ยังไม่ต้องพูดถึงว่าราชาแห่งอาณาจักรตะวันสาดแสงยังมีสมบัติระดับสูงสุดอย่างยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์ด้วย! นั่นคือยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์ที่สามารถใช้ได้โดยทุกๆ เผ่าพันธุ์ มันคือสมบัติโดยแท้จริง!”
อัลเจอร์นอนยิ่งถูกล่อลวง
ในฐานะจิตวิญญาณเทพเจ้า มันเข้าใจดีถึงคุณค่าของยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์ที่สามารถใช้ได้โดยทุกเผ่าพันธุ์ มันเข้าใจดีซะยิ่งกว่าฟลอยด์อีก!
นั่นคือสุดยอดสมบัติที่แม้แต่ตัวตนระดับเทพแท้จริงและเทพอาวุโสยังต้องถูกล่อลวง!
แม้ว่ามันจะไม่รู้ก็ตามว่าตัวตนระดับเทพแท้จริงและเทพอาวุโสต้องการคุณค่าอะไรจากสมบัตินี้ก็ตาม
แต่นั่นก็ไม่สำคัญ
มันแค่ต้องรู้ว่าสิ่งนั้นมีค่ามากก็พอ หลังจากมอบมันให้กับท่านเทพ ท่านเทพจะต้องพึงพอใจมากแน่ๆ
ฟลอยด์พูดเหตุผลที่สามเมื่อมันเห็นว่าใบหน้าของอัลเจอร์นอนยิ่งลังเลขึ้นไปอีก
“อัลเจอร์นอน ท่านอยู่กับข้ามากว่าร้อยปีแล้ว ท่านไม่อยากรีบทำภารกิจให้เสร็จและสร้างผลงานครั้งใหญ่เพื่อกลับไปรับใช้ท่านเทพงั้นหรือ?” มันล่อลวง
อัลเจอร์นอนเงียบไป
มันกำลังลังเลจริงๆ
“ข้าจะไปพรากชีวิตลอร์ดมนุษย์ผู้นั้นมาเอง”
อัลเจอร์นอนพูดอย่างใจเย็นหลังจากมันเงียบไปนาน
ฟลอยด์ดีใจมาก
แต่ในทันใดนั้นเอง คราบเลือดก็ปรากฏขึ้นที่ด้านขวาของใบหน้า เลือดหยดจากคราบเลือดและย้อมครึ่งหน้าของมันด้วยเลือดอย่างรวดเร็ว
ในตอนแรก ฟลอยด์แค่รู้สึกว่าใบหน้าของมันเย็นขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็ตระหนักได้ว่าตัวเองบาดเจ็บเมื่อมันแตะใบหน้าของตัวเอง
“ท่าน…”
มันกำลังจะตวาดใส่อัลเจอร์นอน แต่มันก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาที่มันอย่างเย็นชา
“แม้ว่าเจ้าจะเป็นพระสันตะปาปาของวิหารของเทพแห่งความตายประจำอาณาจักรรัตติกาลเห่าหอน ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับข้า แต่เจ้าก็เป็นแค่สุนัขระดับเหนือสามัญขั้นสูงเท่านั้น ในขณะที่ข้าคือจิตวิญญาณเทพเจ้าที่อยู่คนละโลกกับเจ้า! ข้าไม่อยากได้ยินเจ้าพูดอะไรหลอกล่อข้าแบบนั้นอีก มิฉะนั้นมันคงจะไม่ใช่ใบหน้าของเขาเท่านั้นที่เป็นแผลแบบนั้น!”
จากนั้นมันก็แค่นเสียงและเดินจากไป
ฟลอยด์มองมันจากไปด้วยความโกรธ
หลังจากที่อีกฝ่ายเดินจากไปนานแล้ว ความโกรธบนใบหน้าของมันก็ค่อยๆ หายไป และมันก็ยิ้มออกมา
“เมื่ออัลเจอร์นอนจากไป ไม่เพียงแต่ข้าจะสามารถแก้ไขภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรรัตติกาลเห่าหอนได้เท่านั้น แต่ข้ายังสามารถใช้โอกาสนี้ปราบปรามฝ่ายของพระสันตะปาปาองค์ก่อนได้อย่างสมบูรณ์ด้วย และยังได้รับคำชมจากท่านเทพอีก นี่เรียกได้ว่าเป็นการฆ่านกสองตัวด้วยก้อนหินเพียงก้อนเดียวจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ…”
ฟลอยด์อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อมันจินตนาการถึงอนาคตอันสดใส
…
ณ วังของลอร์ดภายในเมืองตะวันสาดแสง ในห้องนอน
โจวโจวและหลี่ย่ากำลังนอนหลับอยู่
ในเวลานั้นเอง เสียงเตือนที่ฟังดูเหมือนระฆังขนาดใหญ่ก็ดังขึ้นในใจของโจวโจว
ความรู้สึกอันตรายที่หาที่เปรียบไม่ได้ก็ปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกของเขา
หวือ!
โจวโจวลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าของเขาซีดในขณะที่เขามองไปข้างหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“มีอะไรเหรอ?”
หลี่ย่าเองก็ตื่นขึ้นมาด้วย เธอนั่งอยู่ข้างๆ โจวโจว และมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง
โจวโจวไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาขมวดคิ้ว
เขารู้ว่าสัญญาณเตือนนี้เป็นเพราะพรสวรรค์ของเขาอย่างสัมผัสมรณะส่งสัญญาณมาเตือนเขา!
“มันต้องเป็นวิกฤตเป็นตายแน่ๆ! มิฉะนั้นสัญญาณเตือนจากสัมผัสมรณะคงจะไม่รุนแรงขนาดนี้!”
สัญญาณเตือนของโจวโจวดับลง
ภายนอกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาและยิ้มออกมาบางๆ เท่านั้น
“หลี่ย่า ข้าขอโทษด้วย ข้าเกรงว่าเจ้าคงต้องกลับไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องไปทำ”
โจวโจวขอโทษขอโพย
มันไม่ดีเลยที่จะไล่สาวน้อยที่เพิ่งตื่นขึ้นมากลางดึกกลับไป แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก
เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามที่น่าสะพรึงกลัวที่มองไม่เห็น เขาอาจจะไม่สามารถปกป้องผู้อื่นได้ในขณะที่ต้องปกป้องตัวเอง
เขาต้องปล่อยให้คนที่อยู่ใกล้เขาที่สุดออกไปก่อน
ด้วยวิธีนี้เขาก็จะสามารถตั้งสมาธิไปกับวิกฤตที่กำลังจะคืบคลานเข้ามาได้
หลี่ย่าอึ้งไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะสับสน แต่เธอก็เชื่อว่าโจวโจวไม่ใช่คนหยาบคาย เขาจะต้องมีเหตุผลแน่ๆ ที่พูดแบบนี้ออกมา
ดังนั้นเธอจึงพยักหน้า สวมเสื้อผ้า และจากไป
เมื่อเห็นเธอจากไปแล้ว โจวโจวก็เรียกผู้กล้าทั้งหมดของเขามาผ่านระบบกองทัพ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้บอกให้คนพวกนี้อยู่ข้างๆ เขาแค่บอกให้พวกเขาซ่อนตัวอยู่นอกบ้านและเตรียมพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
จากนั้นโจวโจวก็รออย่างเงียบๆ อยู่บนเตียง
ครู่ต่อมา โจวโจวก็สั่นสะท้าน และความรู้สึกถึงอันตรายในใจของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงขีดสุด
เขามองไปรอบๆ ทันทีโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาหดเกร็งก็คือเขาไม่เห็นศัตรูหรือรู้สึกถึงออร่าใดๆ ของศัตรูเลยภายใต้การรับรู้ของเขา
ในเวลาเดียวกัน… ห่างจากโจวโจวไปไม่ถึงสองเมตร
เทพแห่งเงาและการลอบสังหารอัลเจอร์นอนก็กำลังลอยอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างเปิดเผย และมองมาที่เขาอย่างใจเย็น
มันราวกับว่ามันกำลังมองมาที่คนที่ตายไปแล้ว