ตอนที่ 59 - บทที่ 59 ทำไมไม่เรียนรู้มันทั้งสองอย่างล่ะ

บทที่ 59 ทำไมไม่เรียนรู้มันทั้งสองอย่างล่ะ?

เสียงของเขาดังมากจนคนสองกลุ่มที่อยู่ไม่ไกลต้องหันมามองดูเขา

เฉินฟานก็ตกตะลึงเช่นกัน

“อืม ไม่มีอะไร พวกเจ้าฝึกต่อไปเถอะ”

จางเหรินรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาหันไปบอกพวกเขาแล้วมองไปที่เฉินฟานอย่างตั้งใจ "เจ้าสามารถกระตุ้นพลังงานของโลหิตได้จริงๆหรือ..ไม่สิ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร"

ในความทรงจำของเขา เขาไม่ได้พูดถึงมันให้เขาฟังเลย เพราะยังไม่ถึงเวลา

"จากสิ่งนี้"

เฉินฟานไม่ได้ตั้งใจที่จะซ่อนอะไร ดังนั้นเขาจึงหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมา

“เทคนิคศรดาวตก?”

จางเหรินอ่านชื่อและรับมันด้วยสีหน้างุนงง

เมื่อเปิดมันอ่านดู จางเหรินก็ขมวดคิ้วทันที

เขาอ่านด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก อ่านรวดเดียวเกือบสิบบรรทัด และภายในไม่กี่วินาทีเขาก็เปิดไปยังหน้าสุดท้าย

“นี่เป็นสำเนาที่ขาดหายหรือเปล่า?”

ช่วงเวลาต่อมา เขามองไปที่เฉินฟาน

"อืม"

เฉินฟานพยักหน้า และเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขากลับมา

ดวงตาของจางเหรินเบิกกว้าง เขาไม่เคยคาดหวังว่าจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเช่นนี้จะเกิดขึ้นระหว่างทางกลับ โชคดีที่เฉินฟานมีความแข็งแกร่งทั้งทางจิตใจและทั้งทางร่างกายเพียงพอ และในที่สุดก็เปลี่ยนอันตรายให้กลายเป็นความปลอดภัย

“ลุงจาง ไม่ควรบอกเรื่องนี้กับคนอื่นในหมู่บ้านจะดีกว่า” เฉินฟานกระซิบ

"อืม"

จางเหรินตอบ จากนั้นมองดูหนังสือเล่มบางๆในมือของเขา พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า "เทคนิคศรดาวตกนี้ควรจะเป็นศิลปะการต่อสู้รูปแบบการยิงธนูอย่างแท้จริง น่าเสียดายที่เนื้อหาขาดตอนและไม่สมบูรณ์มากเกินไป แต่ก็ยังพอได้รับประโยชน์จากมันได้เล็กน้อย หลังจากให้เวลากับมัน และเจ้าได้เรียนรู้อะไรเล็กน้อยจากหนังสือศิลปะการต่อสู้ที่มีค่าเพียงเพียงข้าวสิบจินนี้ใช่ไหม?”

เฉินฟานพยักหน้าของเขา

"ถูกต้อง"

จากนั้นจางเหรินก็ถามต่อ “เจ้าควรรู้จักการกระตุ้นพลังงานของโลหิตจากหนังสือนี่ใช่ไหม?”

"ใช่"

เฉินฟานลังเลที่จะบอกความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาก่อนหน้านี้ดีหรือไม่

เสียงของจางเหรินก็กล่าวต่อ “การกระตุ้นพลังงานของโลหิต เป็นขั้นตอนที่ทำได้เฉพาะขอบเขตของการปรับแต่งกล้ามเนื้อเท่านั้น”

“ทำได้เฉพาะขอบเขตของการปรับแต่งกล้ามเนื้อเท่านั้นงั้นหรือ?”

ดวงตาของเฉินฟานเบิกกว้าง

"ใช่"

จางเหรินมองดูเฉินกัวตงและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า "นักรบขอบเขตแรกนั้นมีความเข้มข้นของพลังปราณในรร่างกายและในโลหิตค่อนข้างน้อยทำให้ไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้ เฉพาะเมื่อเขาถึงขอบเขตการปรับแต่งกล้ามเนื้อเท่านั้นจึงจะทำได้ เพราะร่างกายของเข่าอุดมไปด้วยเลือดที่เข้มข้มด้วยพลังปราณ ทำให้เขาสามารถดึงพลังงานของโลหิตออกมาใช้ได้”

“แล้วจะมีควรมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างไร?”

เฉินฟานอดไม่ได้ที่จะถามออกมาเช่นนี้

“โดยธรรมชาติแล้ว เขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติและความเร็วก็จะเร็วขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นการต่อสู้มือเปล่า พลังงานของเลือดจะถูกกระตุ้นขึ้นทำให้ความเร็วของหมัดก็เร็วขึ้น และพลังทำลายล้างก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน หากเป็นหอก เขาก็จะสามารถกระตุ้นพลังงานของโลหิตทำให้ความเร็วในการแกว่งเร็วขึ้น รุนแรงมากขึ้น หากเป็นการยิงธนู”

เสียงของเขาหยุดชั่วคราว และเขามองไปที่เฉินฟาน “มันควรจะสามารถน้าวธนูที่แรงกว่าความแข็งแกร่งของตัวเองได้ และความเร็วในการยิงจะเร็วขึ้น”

เฉินฟานพยักหน้า โดยเขาคิดอยู่ในใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่ได้ใช้ความพยายามมากนักในการน้าวธนูก่อนหน้านี้ ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

ด้วยวิธีการกระตุ้นพลังงานของโลหิตเกือบจะเหมือนกับความสามารถของกู่เซ่อคนนั้น ดังนั้นสำหรับเขาแล้วเส้นทางของนักรบยังคงมีอนาคตที่สดใสรออยู่เช่นกัน

“แต่แน่นอน มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าต้องไปที่ถึงขอบเขตการปรับแต่งกล้ามเนื้อเท่านั้นจึงสามารถกระตุ้นพลังงานของเลือดได้”

จางเหรินก็กล่าวเสริมว่า "คนที่มีความสามารถพิเศษบางคนที่อยู่ในขอบเขตการชำระล้างร่างกายขั้นที่ 3 ขึ้นไปก็สามารถกระตุ้นมันได้ แต่ถ้าเลือดของพวกเขาไม่แข็งแรงมากพอ การกระตุ้นใช้พลังงานเลือดบ่อยๆ ก็จะเป็นอันตรายแทนที่จะเป็นประโยชน์ "

ขณะที่เขาพูด เขาก็เหลือบมองเฉินฟานโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และเขาก็โล่งใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่รู้จัก ดูเหมือนว่าเขาควรจะกังวลมากเกินไป

เมื่อคิดดูแล้ว เข้าเป็นเพียงขั้นที่ 1 ของการชำระล้างร่างกายเท่านั้น เป็นไปได้อย่างไรที่จะใช้พลังงานของโลหิตได้? แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษมากมายขนาดไหน แต่ในความเป็นจริงมันไม่สามารถเป็นไปได้

“ลุงจาง แล้วนักรบเหล่านั้นที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งกล้ามเนื้อ พวกเขาจะไม่เป็นอะไรหากพวกเขากระตุ้นพลังงานของโหลิตของพวกเขามาใช้งั้นหรือ?”

เฉินฟานถามอย่างสงสัย

"มันก็มีอยู่เล็กน้อย"

จางเหรินส่ายหัว “แม้ว่าจะเป็นนักรบในขอบเขตการปรับแต่งกล้ามเนื้อ พวกเขาก็จะไม่สามารถใช้งานได้ง่ายดายตามใจนึกไำด้ เพราะเมื่อใช้แล้วพวกเขาจะเข้าสู่ช่วงแห่งความอ่อนแอในช่วงเวลาหนึ่ง และในช่วงเวลานั้นแม้แต่นักรบที่มีขอบเขตการชำระล้างร่างกายสามขั้นแรกก็สามารถฆ่าเขาได้เช่นกัน

หากพวกเขาใช้มันบ่อยๆ พวกเขาก็จะสูญเสียพลังชีวิต และหากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆ พวกเขาก็เหมือนทำลายอนาคตของตัวเอง"

เฉินฟานหายใจไม่ออก

แน่นอนว่าเขายังต้องใจเย็น

แม้ว่าการกระตุ้นพลังงานของโลหิตจะดี แต่มันก็ไม่ใช้ความสามารถที่เหมือนของผู้อเวค เพราะสำหรับความสามารถของผู้อเวคนั้นยิ่งใช้มากเท่าไรก็ยิ่งดีต่อพวกเขาเท่านั้น

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างแล้วถามว่า "ลุงจาง ถ้าความแข็งแกร่งทางกายภาพมีมากพอมันจะสามารถกระตุ้นพลังงานของโลหิตออกมาได้ใช่ไหม"

มีแววตาประหลาดใจในดวงตาของจางเหริน จากนั้นเขาก็พยักหน้าและกล่าวว่า "ใช่ เมื่อร่างกายมีความแข็งแรงเพียงพอ ความเข้มข้นของโลหิตก็จะมากขึ้นตามธรรมชาติ และเมื่อดึงพลังนี้ออกมาผลลัพธ์จะใกล้เคียงกับพลังงานของโลหิต แต่มีประสิทธิภาพมากกว่าและไม่มีผลข้างเคียงเลย เนื่องจากมันเป็นความแข็งแกร่งของร่างกายโดยตรง

หากเจ้ากลายเป็นนักรบทมิฬ เจ้าก็จะสามารถส่งพลังงานในร่างกายของเจ้าไปยังร่างกายของคู่ต่อสู้เพื่อสร้างความเสียหายได้ ซึ่งมันยากต่อการป้องกันอย่างมาก

ส่วนนักรบฮัวจิน…”

เขาไม่พูดต่อและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้วยสายตาที่โหยหา

เฉินฟานพยักหน้า เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองเข้าใจ

เมื่อพลังงานในโลหิตเข้มข้นเพียงพอ มันก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นพลังได้ และถ้าพลังงานแข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง มันก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานที่แท้จริงในร่างกายได้มิใช่หรือ? นี้หรือป่าวที่เรียกว่าพลังปราณที่แท้จริง

เป็นไปได้มาก!

“เส้นทางของการเป็นนักรบที่แข็งแกร่งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด พูดง่ายๆ ก็คือเขาต้องฝึกฝนอย่างหนักต่อไป”

จางเหรินถอนสายตาและมองไปที่เฉินฟาน เขามีลางสังหรณ์ว่าความสำเร็จในอนาคตของเด็กคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขาจะไร้ขีดจำกัด บางทีเขาอาจกลายเป็นคนลือกันว่ามีปราณอยู่ในร่างกายของเขาก็เป็นได้

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถรู้เวลาที่แน่ชัดได้ อาจจะไม่กี่ปี หรืออาจจะมากกว่าสิบปีก็ได้

เฉินฟานพยักหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย และสงสัยว่าลุงจางนั้นอยู่ในขอบเขตไหน?

อย่างน้อยๆเขาจะต้องอยู่ในขอบเขตที่แข็งแกร่งอย่างมากแน่ๆ

ดูจากการแสดงของเขาเมื่อกี้ เขาน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตนักรบทมิฬหรือป่าว

“ยังไงก็ตาม ที่ข้ามาหาเจ้าที่นี่ ข้ายังมีอีกอย่างหนึ่ง”

“ลุงจาง ได้โปรดพูดมา”

“พวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปยังซ่งเจียเป่าในอีกวันหรือสองวันต่อจากนี้ใช่ไหม?”

เฉินฟานพยักหน้า

“ในซ่งเจียเป่ามีทั้งปลาเล็กและมังกรยิ่งใหญ่ปะปนกันไป หากเกิดความขัดแย้งและด้วยการต่อสู้ระยะประชิด ทักษะการยิงธนูของเจ้าอาจใช้ไม่ได้ผลเท่าไหร่”

“ลุงจางหมายถึงอะไร..”

เฉินฟานดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างแน่นอน

"เอ่อ.."

จางเหรินพยักหน้ามาที่เขา “เจ้าควรจะเรียนรู้อาวุธอื่นด้วย อาจเป็นหอกหรือดาบก็ได้ ทั้งสองนี้มีข้อดีในตัวเองมันเอง”

“หอกยาว ยาวหนึ่งนิ้วและแข็งแกร่งหนึ่งส่วน นักรบหอกที่มีความชำนาญในระดับหนึ่ง เมื่อมีหอกอยู่ในมือเขาจะอยู่ยงคงกระพันไม่ว่าจะต่อคนหรือต่อสัตว์อสูร มันมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง แต่ก็มีข้อเสียเช่นกันนั้นคือมันยาวเกินไปและมันค่อนข้างหนักเล็กน้อย แถมไม่เหมาะในการต่อสู้ในที่แคบ

ส่วนดาบนั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากมันเป็นอาวุธสั้น มันจึงสามารถพกพาติดตัวได้ตลอดเวลา และแม้ว่าเจ้าจะไม่มีมีดเจ้าก็สามารถหยิบกิ่งไม้ แท่งไม้ แท่งเหล็ก หรืออื่นๆมากมายที่อยู่ใกล้มือได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถใช้เป็นดาบได้อีกด้วย ในการต่อสู้จริงมีดสั้นนั้นสามารถเผด็จศึกได้อย่างรวดเร็ว และสามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วเพราะมันราวกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่งอกออกมาจากมือของเรา แต่ข้อเสียคือมันสั้น และความน่าจะเป็นที่จะได้รับบาดเจ็บเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรนั้นมีมากกว่าการใช้หอกมาก "

หลังจากพูดจบเขาก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพิจารณาสิ่งเหล่านี้เพื่อเฉินฟานเช่นกัน เขาควรเรียนรู้อันไหนดี? มันถึงจะมีประโยชน์กับเขามากที่สุด

ตามที่เฉินฟานพูด เขาจะต้องมีแนวโน้มที่จะเรียนรู้หอก เพราะเขาเชี่ยวชาญด้านความแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งหอก การขว้างหอก การแทงหอกล้วนต้องอาศัยความแม่นยำ

แต่เฉินฟานมีความเชี่ยวชาญในการยิงธนู ดังนั้นจึงเหมาะสมมากกว่าที่จะเรียนรู้อาวุธสั้นเพื่อชดเชยข้อบกพร่องในการต่อสู้ระยะประชิดอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นในการจัดการกับสัตว์อสูรนั้น ในเมื่อเขาสามารถยิงธนูจากระยะไกลได้ ทำไมจึงต้องใช้หอกที่เป็นการต่อสู้ระยะกลาง?

“ลุงจาง ทำไมเราไม่เรียนพวกมันทั้งสองด้วยกันล่ะ”

เฉินฟานคิดสักพักแล้วพูดขึ้น….