ตอนที่ 127

บทที่ 127 : การเป็นผู้ปกครองของประเทศที่ล่มสลาย (2)

“ คารวะท่านผู้ว่าการซุย” ชูหยวนเหลียงไม่มีมาดของเจ้าหน้าที่ระดับสูงเลย ทัศนคติของเขามีความเคารพอย่างมากในขณะที่เขาโค้งคำนับให้กับซุยเฮ็งและพูดว่า “ โปรดช่วยต้าจินด้วย!”

ทันทีที่เขาพูดคำเหล่านี้ออกมา บรรยากาศก็เงียบลงในทันที

การแสดงออกของซุยเฮ็งดูแปลกใจ และหลิวหลี่เต๋าก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน

ในยุคนี้ พวกเขาก็เล่นมาขอความช่วยเหลือจากผู้ว่าการรัฐเพื่อช่วยต้าจินแล้วหรอ?

มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เหล่าผู้ว่าการรัฐจะไม่ยอมหนุนหลังอาณาจักรที่กำลังล่มสลาย!

“ นี่ไม่ใช่แค่เพื่อต้าจินเท่านั้น แต่ยังเพื่อตัวท่านเองด้วย” จู่ๆ หวังชุนก็พูดขึ้นว่า “ ข้าเชื่อว่าท่านผู้ว่าการน่าจะได้รับข่าวเรื่องคนป่าเถื่อนในทุ่งหญ้าได้บุกโจมตีเมืองทางตอนใต้แล้ว”

“ ใช่” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อยและขมวดคิ้ว “ แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน?”

“ มันเกี่ยวข้องกันสิ” ชูหยวนเหลียงพยักหน้าและพูดด้วยสีหน้าขมขื่น

“ องค์จักรพรรดิมีพระราชกฤษฎีกาว่าในฐานะเจ้าเหนือหัวแห่งดินแดนผู้มีความเมตตากรุณาและห่วงใยประชาชนของพวกเขา ดังนั้นเราจึงไม่ควรทำสงคราม และเฟิงโจวก็จะถูกส่งมอบให้กับชานหยูปกครอง”

“ ด้วยพระราชกฤษฎีกานี้ เฟิงโจวก็จะตกเป็นของพวกคนเถื่อนในทุ่งหญ้า พวกมันจะยึดดินแดนคืนโดยเริ่มจากการโจมตีมณฑลหยุนชู”

“?” ซุยเฮ็งเกือบจะคิดว่าเขาได้ยินผิด

“ จักรพรรดิบ้าไปแล้วหรอ!” ดวงตาของหลิวหลี่เต๋าเบิกกว้างในขณะที่เขามองไปที่ชูหยวนเหลียงด้วยความเหลือเชื่อ

สมองของจักรพรรดิเว่ยอี้มันมีอะไรผิดปกติรึเปล่า?

ในอดีต คนเถื่อนในทุ่งหญ้าก็ได้ยึดครองสองรัฐจากดินแดนของต้าจินไปแล้ว แค่นี้มันยังไม่พออีกหรอ?

มาตอนนี้ เขาก็กำลังจะสละที่ดินของเขาอีกจริงหรอ!

เขาไม่เคยได้ยินคำสั่งโง่ๆ แบบนี้มาก่อน

นี่มันน่าหัวเราะจริงๆ!

….

ภาคกลางของทวีป ณ ราชสำนักต้าจิน

ในขณะนี้ ราชสำนักก็กำลังตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย

ไม่กี่วันก่อน จู่ๆ จักรพรรดิเว่ยอี้ก็บอกกับข้าราชบริพารทั้งหมดของเขาว่าเขาได้แอบส่งคำสั่งไปยังทุ่งหญ้าและยกดินแดนของเฟิงโจวทั้งหมดให้กับผู้นำของชนเผ่าป่าเถื่อน ชานหยู

ทันทีหลังจากนั้น ราชสำนักต้าจินก็ได้รับข่าวว่ากลุ่มคนเถื่อนในทุ่งหญ้ากำลังเดินทัพไปทางใต้และกำลังจะโจมตีมณฑลหยุนชู

รัฐมนตรีชูหยวนเหลียงโกรธมากจนอาเจียนออกมาเป็นเลือดและเป็นลมทันทีที่ได้ข่าว

และนับตั้งแต่นั้น เขาก็ยังไม่ได้กลับมาที่ราชสำนักเลย

ขุนนางในราชสำนักต่างก็ตกตะลึงกับข่าวนี้เช่นกัน

พวกเขาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าจักรพรรดิที่มักจะกินและเอาแต่นอนรอความตายนั้นจะทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้

เป็นเวลาสามปีแล้วที่พวกคนเถื่อนได้เดินทัพลงใต้

ในเวลาเช่นนี้ เขายังจะยอมสละรัฐเฟิงโจวให้กับชานหยูอีกหรอ?!

มันไม่ใช่เขตหรือเมือง แต่มันเป็นรัฐทั้งรัฐ!

มันมีเพียง 11 รัฐเท่านั้นในต้าจินทั้งหมด!

ไม่สิ เหลืออยู่แค่สิบแล้ว...

ไม่มีใครสามารถคิดอะไรออกไป และเพื่อจัดการกับปัญหานี้ มันจึงมีการถกเถียงกันในราชสำนักอย่างไม่รู้จบ

จักรพรรดิเว่ยอี้หาวและเดินโซซัดโซเซไปยังราชสำนัก

เมื่อเห็นเขา ข้าราชบริพารก็เงียบลงในทันที

อย่างไรก็ตาม เว่ยอี้ก็เพิกเฉยต่อข้าราชบริพารเหล่านี้

เขามาถึงบันไดหยกและเอนกายลงนอนตะแคงบนบัลลังก์มังกร

ดวงตาของเขาปิดลงครึ่งหนึ่งและเขาก็ดูง่วงนอนมาก

ข้าราชบริพารคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ ฝ่าบาท เป็นหน้าที่ของจักรพรรดิที่จะต้องปกป้องแผ่นดินและดูแลไพร่ฟ้าประชาชน เช่นนั้นแล้วใยฝ่าบาทจึงยกดินแดนและผู้คนของเราให้กับพวกอนารยชน?”

จากนั้นข้าราชบริพารอีกคนหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้าและทูลว่า “ ฝ่าบาท แม้จะไม่มีการพ่ายแพ้และมีแต่ความสันติ แต่มันก็ไม่เคยมีผู้ปกครองคนใดที่จะยอมสละดินแดนของตนโดยปราศจากการสู้รบ ฝ่าบาทโปรดทรงถอนพระราชกฤษฎีกาด้วย!”

เมื่อมีทั้งสองเป็นผู้นำ ข้าราชบริพารจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มยืนขึ้นทีละคน ถ้อยคำที่พวกเขาพูดนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และในตอนท้าย พวกเขาก็ยังตะโกนคำว่า “ราชาแห่งประเทศที่ล่มสลาย”

“ ราชาแห่งประเทศที่ล่มสลาย?” จู่ๆ เว่ยอี้ซึ่งนอนอยู่บนบัลลังก์มังกรก็พูดขึ้น

ราวกับว่าเขาได้ถูกกระตุ้นด้วยบางสิ่งและมีพลังมากขึ้น 100 เท่าในทันใดนั้น เขาก็ไม่มีอาการง่วงนอนเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนบนแท่นหยกและยืนอยู่หน้าบัลลังก์มังกร

“ ใครเป็นคนพูดกันว่าข้าเป็นผู้ปกครองของประเทศที่ล่มสลาย!” เว่ยอี้จ้องมองไปที่ด้านล่างอย่างเย็นชา

ราชสำนักนิ่งเงียบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียง

โคร่ม!

ทันใดนั้นเว่ยอี้ก็เตะโต๊ะเบื้องหน้าเขาและหัวเราะเสียงดัง “ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าพูดถูกแล้ว! ถูกต้องเลย ข้าเป็นผู้ปกครองของประเทศที่ล่มสลาย!”

เหล่าข้าราชบริพารต่างตกตะลึงและเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

จักรพรรดิจะพูดได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้ปกครองของประเทศที่ล่มสลาย?

ในขณะนี้ เว่ยอี้ก็ดูเหมือนคนกำลังตื่นเต้น เขาไม่ได้มองไปที่เหล่าข้าราชบริพารอีกต่อไป แต่เขาเริ่มพูดกับขั้นบันไดหยก

“ ในตอนที่ข้าขึ้นครองราชย์เมื่ออายุ 18 ปี ข้าก็ทำงานอย่างหนักเพื่อปกครองและต้องการจะเป็นผู้ปกครองของประเทศที่ดี ข้าต้องการจะทิ้งชื่อของข้าเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ดังนั้นข้าจึงใช้แม่ทัพใหญ่เฉินเผิงจูเพื่อไปโจมตีทางเหนือ และในเวลาเพียงสามปี ข้าก็สามารถยึดเฟิงโจวกลับคืนมาและฟื้นฟูภูเขากับลุ่มน้ำได้!”

“ แต่แล้วมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? สิ่งที่เราได้รับมามันกลับไม่ใช่คำชม แต่มันกลับเป็นคำเรียกร้องจากผู้ที่ไม่ได้ทุกข์ร้อน พวกเขาขอให้เราไม่ใช้ทรัพยากรของเราจนหมดและทำลายประเทศด้วยการสู้รบ พวกเขาขอให้ข้าออกพระราชกฤษฎีกาเรียกตัวเฉินเผิงจูกลับมายังเมืองหลวง”

“ ข้าคิดว่าพวกเจ้าล้วนแต่เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ดังนั้นหลังจากฟังคำพูดของพวกเจ้า ข้าเรียกเฉินเผิงจูกลับมา กระนั้น เขาก็กลับเสียชีวิตลงในระหว่างทางกลับบ้าน และเมื่อกองกำลังนับแสนสูญเสียกระดูกสันหลัง พวกเขาก็เลยถูกควบคุมโดยสำนักขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย”

“ ในตอนนั้น ข้าก็รู้ว่าข้าจะไม่สามารถเป็นผู้ปกครองประเทศได้หากข้าไม่โหดเหี้ยมพอ หูของข้าเบาเกินไป ข้ามีรัฐมนตรีที่เก่งกาจดีเยี่ยมอยู่ใกล้ตัว แต่ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้ และหลายพันปีจากนี้ไป หนังสือประวัติศาสตร์ก็อาจจะไม่ได้จารึกชื่อของข้าเอาไว้ด้วยซ้ำ”

“ แต่มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น! ในเมื่อข้าลงมายังโลกใบนี้แล้ว ข้าก็ได้ถูกกำหนดให้ขึ้นครองบัลลังก์และเป็นจักรพรรดิ ข้าจะปกครองจักรวาลและปกครองสิ่งมีชีวิตทั้งหมด จักรพรรดิองค์นี้พิเศษและแตกต่างจากมนุษย์โลก! ข้าจะจมอยู่ในผงคลีแห่งประวัติศาสตร์เหมือนอย่างกับสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ พวกนั้นได้อย่างไร?”

“ ผู้ที่จะเป็นที่จดจำของชาวโลกได้นั้นมีเพียงผู้ก่อตั้งประเทศ ผู้ปกครองของประเทศที่ล่มสลายหรือผู้ปกครองของประเทศที่ฟื้นคืนขึ้นมาเท่านั้น และเนื่องจากข้าไม่สามารถเป็นผู้ปกครองของประเทศที่ฟื้นคืนขึ้นมาได้ งั้นการได้เป็นผู้ปกครองของประเทศที่ล่มสลายก็คงจะเป็นเรื่องดีเช่นกัน ชื่อเสียงนี้จะทำให้โลกจดจำได้ง่ายกว่าการเป็นผู้ปกครองของประเทศที่ฟื้นคืนชีพเสียด้วยซ้ำ!”

“ เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ไม่ให้กำเนิดบุตรชายเลย และข้าก็ได้ฆ่าพี่น้องของข้าจนหมด ฉันอนุญาตให้คนทรยศอยู่ในราชสำนักของข้าและใช้งานพวกเขา ข้าเชี่ยวชาญในการฆ่าบริวารผู้ภักดี และไม่สนใจงานราชการ นอกจากนี้ ข้าก็ยังอนุญาตให้ผู้ปกครองท้องถิ่นปกครองพื้นที่ด้วยตัวเอง!”

“ ดี! นี่เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ! ตอนนี้ความพินาศของประเทศนั้นชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างแล้ว และราชสำนักก็มีเพียงแค่นามเท่านั้น แบบนั้นแล้วเหตุใดมันจึงยังไม่มีใครมาโจมตีนครหลวงอีกล่ะ? ข้ายังคงรอที่จะเผาวังหลวงและพินาศลงในเปลวเพลิงของประเทศที่ล่มสลาย ข้าจะเขย่าโลกทั้งใบเพื่อทำให้ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจดจำข้าเอาไว้!”

“ ช่วงเวลาร้อยปีกำลังจะมาถึง เหล่าเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนกำลังจะลงมา และเมื่อถึงเวลานั้น การจะทำลายประเทศก็คงจะไม่ง่ายแน่นอน ข้าไม่มีเวลาอีกต่อไปแล้ว ถ้าไม่มีใครมาทำลายต้าจิน ข้าก็จะต้องทำลายต้าจินด้วยตัวของข้าเอง!”

“ จักรพรรดิองค์นี้จะบอกพวกเจ้าเอาไว้อย่าง คำสั่งไม่ใช่สิ่งเดียวที่ข้าส่งไปยังทุ่งหญ้า นอกจากนี้มันยังมีกระบี่เทวะของหงหวู่ที่ใช้สังหารเหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตเทพเมื่อ 300 ปีก่อน! ต้าจินนี้จะต้องพินาศแน่นอน! ฮ่าๆๆๆ!!”

เสียงหัวเราะของจักรพรรดิดังก้องไปทั่วราชสำนัก

ข้าราชบริพารต่างก็ตกใจและตกตะลึง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ

เขาบ้าไปแล้ว!

จักรพรรดิบ้าไปแล้วจริงๆ!!

ไม่เพียงแต่เขาจะยกเฟิงโจวให้อารนยชนเท่านั้น แต่เขายังส่งกระบี่เทวะหงหวู่ไปที่ทุ่งหญ้าด้วย

นั่นคือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้สังหารเซียนและพระอรหันต์จากโลกเบื้องบนได้เลยนะ!

พวกเขาควรจะทำอย่างไรดี?!

….

ในท้ายที่สุด ชูหยวนเหลียงก็ไม่ได้รับคำสัญญาจากซุยเฮ็ง

เขาทำได้เพียงรีบออกไปกับหวังชุน

ในฐานะรัฐมนตรี เขาก็ไม่สามารถออกจากนครหลวงนานเกินไปได้ มิฉะนั้นแล้วมันก็จะทำให้เกิดความวุ่นวาย

ในสำนักงานว่าการ

ซุยเฮ็งสั่งให้หลิวหลี่เต๋าเรียกจางซูหมิงและอู๋หยินเข้ามา เขาอธิบายสถานการณ์ในปัจจุบันและถามว่า “ เจ้าคิดว่าคำพูดของ ชหยวนเหลียงน่าเชื่อถือมากแค่ไหน”

จางซูหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ ชูหยวนเหลียงเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน เนื่องจากเขามาเพื่อขอความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเรื่องนี้จึงน่าจะเป็นความจริง”

หลิวหลี่เต๋ายังกล่าวอีกว่า “ แต่เพราะชูหยวนเหลียงมากับหวังชุน ข้าจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องจริง”

อู๋หยินพยักหน้าและพูดว่า “ ข้าเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

“ อืม” ซุยเฮ็งพยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “ มันน่าจะเป็นเรื่องจริง แต่เจ้าคนที่เรียกตนเองว่าจักรพรรดินั้นก็เหลือเชื่อจริงๆ เช่นกัน”

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็พูดกับหลิวหลี่เต๋าว่า “ ไม่จำเป็นต้องเขียนตอบเฉินตงแล้ว ข้าจะเดินทางไปที่มณฑลหยุนชูเอง!”

“ ตามท่านบัญชา!” หลิวหลี่เต๋าพยักหน้า

….

ห่างออกไป 20 ลี้จากมณฑลหยุนชูมีการตั้งค่าย

ทหารอยู่ที่หน้าประตูเมือง

กระบี่ของพวกเขาถูกชักออกมา

และในขณะเดียวกัน ในค่ายของกองทัพหยุนโจว มันก็เป็นฉากที่เงียบสงบ

เมื่อฮูหยานชานหยูเห็นของขวัญของจักรพรรดิเว่ยอี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำลายรัฐเฟิงโจวก่อนที่เซียนแห่งโลกเบื้องบนจะลงมา

และในขณะนี้ เขาก็กำลังเช็ดกระบี่เหล็กที่ดูธรรมดาตามคำสั่งของจักรพรรดิ เขามองไปทางทิศใต้และพูดด้วยรอยยิ้ม “ บางทีฤดูหนาวหน้า เผ่าของข้าก็อาจจะสามารถบุกเข้าสู่ที่ราบภาคกลางได้!”

“ ต้องขอบคุณพระองค์จริงๆ สำหรับของขวัญที่มอบมาให้ข้า เมื่อเราพิชิตมณฑลหยุนชูได้แล้ว ข้าก็จะฆ่าคนทั้งเมืองเพื่อเขาอย่างแน่นอนนี่จะถือเป็นการขอบคุณ!”