ตอนที่ 255 ทดสอบการบิน

ในที่สุดวันประมูลอุปกรณ์ระดับ 10 ก็มาถึง

ในช่วงเช้า

หลิน ยู รีบออกเดินทางไปยังเมืองหลัก

เพราะเขานั้นมีนัดกับราชันระดับ 8 ที่โรงน้ำชาภายในเมืองหลัก

แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ

เมื่อเขามาถึงห้องส่วนตัวที่อยู่บนชั้น 2 ของโรงน้ำชาก็ได้มาราชันหลายคนมารอ มารอเขาอยู่ก่อนแล้ว

"ท่านคงจะเป็นน้องหลิน ยู ใช่ไหม?"

พวกเขามีทั้งหมด 5 คน คนที่เป็นหัวหน้าคือชายหนุ่มใจดีอายุราวๆ 40 กว่าๆ

คนที่เหลือเป็นชายแก่ เด็กหนุ่ม และหญิงสาว

ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มคนนั้นเหมือนจะอายุมากกว่าหลิน ยู อยู่ 2-3 ปี เต็มไปด้วย ออร่าที่แข็งแกร่ง

มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นราชันหน้าเก่า

ขณะที่ หลิน ยู กำลังสังเกตพวกเขาอยู่นั้น พวกเขาก็สังเกตหลิน ยู อย่างลับๆเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม หลิน ยู นั้นเคยพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จึงไม่ได้เกิดอาการตื่นตะหนกแต่อย่างใด

หลังจากตรวจสอบพวกเขาอยู่ 2-3 รอบ เขาก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

"เป็นผมเอง พวกท่านรอนานหรือไม่"

"พวกเราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน ข้าสั่งอาหารเช้าเอาไว้แล้ว น่าจะใกล้มาถึงแล้ว"

สุภาพบุรุษที่เป็นผู้นำดูเหมือนจะชื่อ ซง เหล่ย เขาเป็นผู้ริเริ่มในการเจรจาครั้งนี้ แถมยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย

หลิน ยู ได้ตรวจสอบมาแล้วเมื่อวาน

ในรายการจัดอันดับ 100 อันดับแรกของระดับ 8 แห่งอาณาจักร นั้นมี ซง เหล่ย อยู่ด้วย

นี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขานั้นแข็งแกร่งขนาดไหน

ยิ่งไปกว่านั้น เมืองปันหยางของเขายังมีประชากรมากที่สุด โดยมีมากถึง 700000 คน มันเกือบจะเทียบได้กับราชันระดับ 9 เหล้านั้น

"เอาล่ะ ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี้กันแต่เช้า พวกเรามาพูดถึงเรื่องเส้นทางการบินกันดีกว่า น้องหลิน เจ้าตกลงหรือไม่"

เมื่อคนอื่นๆได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็หันมามองที่หลิน ยู เพื่อขอความเห็น ถึงแม้หลิน ยู จะอ่อนแอกว่าพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ดูถูกหลิน ยู แม้แต่น้อย

การที่พวกเขาสามารถก้าวไปสู่ระดับ 8 ได้นั้น แสดงให้เห็นว่าความเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดา

พวกเขานั้นสัมผัสได้ว่าหลิน ยู นั้นเป็นคนพิเศษ

ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาหาของหายากอย่างยานพาหนะขนาดใหญ่ได้ แสดงความแข็งแกร่งของเขาต้องไม่อ่อนแออีกทั้งยังมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

การเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาในเวลานี้ถือซะว่าเป็นการวางรากฐานสำหรับพันธมิตรในอนาคต

เป็นธรรมดาที่ หลิน ยู จะไม่รู้ว่าพวกเขานั้นคิดอะไรกันอยู่

เมื่อเห็นความเขาทั้งหมดมองมาที่เขา เขาก็ยิ้มออกมา "แน่นอน พวกเรามาเริ่มกันเถอะ แต่ก่อนหน้านั้นฉันแสดงบางอย่างให้ทุกท่านได้เห็น"

และเมื่อหลิน ยู พูดจบเขาก็หยอบพิมพ์เขียวสีทองออกมาจากกระเป๋ามิติของเขา มาปรากฏแก่สายตาของทุกคน

"นี้มัน...!"

หญิงสาวที่อยู่เพียงคนเดียวในห้องนี้เปิดปากของเธอออกมา แววตาของเธอแสดงความตื่นเต้นออกมา

พิมพ์เขียวสีทองนี้แม้แต่เธอก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ตรวจพิมพ์เขียวทีละคน

เมื่อพวกเขาเห็นคำว่า หายาก ที่อยู่ด้านบนและแถวข้อมูลที่อยู่ด้านล่างดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันที

"นี้มันเป็นพิมพ์เขียวหายากจริงๆ"

"กลายเป็นว่ามันคือเรือเวทย์มนต์ที่หาได้ยากนี้เอง"

"มันบรรทุกคนจำนวนมากขนาดนั้นได้อย่างไรกัน"

"นี้เป็นยานพาหนะที่ทรงพลังที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา"

เสียงร้องของราชันหลายคนดังก้องอยู่ภายในห้องส่วนตัว

และหลิน ยู ที่นำมันออกมาให้ดูก็ได้นำพิมพ์เขียวสีทองนี้เก็บไปยังกระเป๋ามิติของเขาอีกครั้ง

เหตุผลที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อให้พวกเขามั่นใจ อีกทั้งยังแสดงความจริงใจของเขาออกมาอีกด้วย

เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

หลังจากที่ได้เห็นข้อมูลของเรือเหาะเวทย์มนต์ ซง เหล่ย และคนอื่นๆคลายข้อสงสัยลงอีดทั้งยังกระตือรือร้นมากขึ้นด้วย

ด้วยการเคลื่อนไหวของ หลิน ยู จึงทำให้การเจรจาที่ตามมาเป็นธรรมดาที่จะเป็นไปอย่างราบรื่น

นี้คือเรื่องราวมั้งหมด

ในเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง หลิน ยู ออกจากโรงน้ำชามาพร้อมแกนพลังงานกว่า 10 อัน และมุ่งหน้าไปยังดินแดนทันที

[แกนพลังงาน (ขนาดใหญ่) : ใช้สำหรับสร้างยานพาหนะขนาดใหญ่ผลิตโดย "โรงงานจักรกล" ซึ่งเป็นอาคารเฉพาะที่อยู่ดินแดนของเผ่าจักรกล ]

นี้เป็นครั้งแรกที่หลิน ยู ได้เห็นของที่สร้างได้เฉพาะเผ่าเท่านั้น

หากเขาเดาถูก

โรงงานจักรกลแห่งนี้น่าจะเหมือนกับเผ่าพฤกษาของเขาที่มีความสามารถ "จัดหาไม้ได้เอง" ซึ่งเป็นความสามารถของแต่ละเผ่าพันธุ์

ด้วยสิ่งนี้ ทำให้ดินแดนประเภทอื่นๆ น่าจะมีข้อได้เปรียบคล้ายๆกัน แต่เขามักไม่ได้ให้ความสนใจ

ตอนนีั้ได้เขาจาลึกล่องลอยมาแล้ว แกนพลังก็ได้มาแล้วเช่นกัน

เหลือเพียงแค่รวบรวมผงเวทย์มนต์ให้เพียงพอเพื่อสร้างเรือเหาะเวทย์มนต์สำหรับทดสอบการบิน

แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องให้การประมูลของหอการค้าชิงฟางเก่อสิ้นสุดลงซะก่อน เพื่อรับส่วนแบ่งที่เหลือก่อนที่เขาจะใช้มันซื้อผงเวทย์มนต์จำนวนมากได้

ตามที่ หลูเจิ้งซิง บอกก่อหน้านี้การประมูลจะถูกจัดขึ้นในตอนเที่ยง

เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออยู่ หลิน ยู จึงกลับไปยังดินแดนทั้งที โดยตั้งใจว่าจะทดสอบยานพาหนะอื่นๆของอู๋เรือเหาะก่อนที่ทำการทดสอบเรือเหาะเวทย์มนต์

อย่างไรก็ตาม ยานพาหนะขนาดเล็กเหล่านั้นสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยวัสดุพื้นฐานเพียงไม่กี่อย่าง มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา

แต่ในการทดสอบนั้น มันเป็นธรรมดาที่เขาต้องการหนูทดลอง

ในไม่ช้า เขาก็ขี่มังกรราชาปิศาจข้ามกำแพงเมืองบินผ่านสนามฝึก

"เหว่ย กัง พาคนมาด้วย 2-3 มาที่อู่เรือเหาะด้านนอกป่า"

ด้วยเสียงที่ดังลั่นของเขามันได้กระจายไปทั่วทั้งสนามฝึกทันที แม้แต่ผู้คนที่อยู่บนถนนใกล้เคียงก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน

"มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายต้องเรียกท่านผู้บัญชาการเหว่ย ไปด้วย!"

"หรือว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!"

"เป็นไปได้ไหมว่าแม่ทัพเหว่ยทำให้นายท่านโมโห?"

"งั้นพวกเรารีบไปดูกันเถอะ"

ดังคำกล่าวที่ว่า การเฝ้าดูเรื่องสนุกไม่ใช่เรื่องใหญ่เสมอไป

เมื่อได้ยินเสียงคำรามของ หลิน ยู เหล่าชาวเมืองก็รีบออกไปเมืองไปยังด้านนอกของป่า

พวกเหว่ย กัง และกองกำลังที่ฝึกฝนอยู่นั้นไม่กล้าที่จะละเลยรีบออกจากเมืองไปพร้อมกับผู้ติดตาม 2-3 คนทันที

"ท่านผู้การเหว่ย ท่านคิดว่าทำไมจู่ๆ นายท่านมาหาท่านเพราะเรื่องอะไรกันแน่"

ระหว่างทาง มีหนึ่งในลูกน้องของ เหว่ย กัง อดไมไ่ด้ที่จะถามออกมา

"ข้าก็ไม่รู้" เหว่ย กัง ส่ายศรีษะออกมาจ้องมองไปที่เขา "บางทีอาจจะมีบางอย่างที่อยากจะบอกข้า"

แต่ในความจริงนั้นเหว่ยกัน เองก็ลนลานเช่นกัน เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำให้นายท่านถึงได้ตามหาเขาในเวลานี้

หรือเป็นเพราะเขาเผอิญไปพูดคุยกับราชัน เซียวฮัว ที่ทะเลทรายโกบีเมื่อไม่กี่วันก่อน?

หรือว่าที่เขาแอบไปหาช่างฝีมือเผ่าคนแคระเพื่อขอให้เขาช่วยสร้างอุปกรณ์ให้แล้วถูกจับได้เมื่อวานนี้?

ยิ่งคิดถึงเหว่ย กัง ก็ยิ่งเกิดความวิตกในใจ

นายท่านนั้นเป็นคนที่มีความสามารถมาก

เขาไม่สามารถที่จะซ่อนสิ่งเหล่านี้ได้ เขากลัวว่าตัวเองจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ไม่อย่างนั้นก็คงถูกลงโทษให้เฝ้าประตูเมืองเป็นเวลหนึ่งเดือน

แต่ไม่ว่าเขาจะฝืนใจแค่ไหน เขาก็ต้องไปด้านนอกป่านั้นอยู่ดี

ด้านข้างได้มีชาวเมืองจำนวนมากได้มาชมการแสดง ต่างพากันจับกลุ่มไปยังอู่เรือเหาะ

เนื่องจากพวกเขาได้ค้นสิ่งก่อสร้างพิเศษนี้อยู่ด้านนอกป่า มันจึงเป็นเรื่องที่แปลกไม่น้อย

เหว่ย กัง เดินผ่านฝูงชนมา และในไม่ช้าเขาก็พบกับ หลิน ยู ที่กำลังจัดการสิ่งต่างๆอยู่ในอู่เรือเหาะ เขารีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

"นายท่าน ท่านมีธุระอะไรกับข้างั้นเหรอ"

เหว่ย กัง เดินเข้ามาหา หลิน ยู อย่างวิตกกังวล

จากนั้นเขาก็ประหลาดใจเมื่อพบว่าพื้นที่โล่งด้านหน้า หลิน ยู มีของแปลกๆที่เขาไม่เคยเห้นมาก่อน มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นทันที

"อ่ะ นี้ของนาย"

หลิน ยู หัวศรีษะและโบกมือให้เขาและ 2 3 คนนั้นด้วยรอยยิ้ม

"ที่มาที่นี้ ฉันต้องให้พวกนายช่วยอะไรฉันบางอย่าง"

"ช่วย?"

เห่วย กัง ก้าวไปข้างหน้าด้วยในหน้าที่มึนงง

จากนั้นเขาก็เห็น หลิน ยู นำอุปกรณ์ปีกอะไรซักอย่างมายังด้านหลังเขา

"ลองสวมนี้ดูก่อน"

"ได้ขอรับ"

เหว่ย กัง เชื่อฟังอย่างว่าง่าย ยื่นมือออกไปเพื่อดึงสายรัดให้แน่น ติดปีกที่ว่าเข้าที่หลังตามคำแนะนำของ หลิน ยู

เมื่อมองเพียงแว่บแรก เขาดูราวกับเป็นมนุษย์นกจริงๆ ซึ่งมันทำให้เหว่ย กัง สังหรณ์ใจไม่ดี

และเขาก็พบว่าดูเหมือนจะมีชาวเมืองมาดูจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เฝ้ามองจากด้านข้าง

"นายท่านน.. นายท่านขอรับ เจ้านี้ไม่ใช่ว่ามันมีไว้เพื่อบินไปบนท้องฟ้างั้นหรือ?"

เหว่ย กัง กลืนน้ำลายดังเฮือกมองไปยังปีกที่อยู่บนหลังของเขาโดยไม่รู้ตัว

"ไม่ต้องกังวล ฉันจะให้มังกรราคาปิศาจคอยช่วยนาย ฉันไม่ปล่อยนายตกลงมาตายหรอกน๊า" หลิน ยู กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

แต่เมื่อคำพูดของเขาดังไปเข้าหู เหว่ย กัง มันก็ทำให้ใบหน้าของเหว่ย กัง ซีดลงทันที

"ท่านหมายความว่า..."

เหว่ย กังต้องการที่จะพูดอะไรมากกว่านี้

แต่ในวินาทีต่อมา ปึกที่อยู่ด้านหลังของเขาก็มีเสียง "ตูมมม" เปลวไฟถูกพ่นออกมาจำนวนมาก

จากนั้นเขาก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เท้าของเขาค่อยๆอยู่ลอยขึ้น

และเมื่อเปลวไฟพุ่งสูงขึ้น ความเร็วในการพุ่งของเขาก็เร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดก็มีเสียงดังคำรามราวกับม้าป่าพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!

"โหวววว -- !!"

เหล่าชาวเมืองอยู่บริเวนอู่เรือเหาะตกอยู่ในความโกลาหล ดวงตาของพวกเขาถึงกับเบิกกว้าง

ผู้ฝึกตนระดับ 6 สามารถบินได้งั้นเหรอ?

ของวิเศษนั้นมันคืออะไรกัน

เมืองหวงซานั้นเป็นสถานที่ๆห่างไกล ทำไมผู้คนจำนวนมากไม่เคยไปยังเมืองใหญ่ที่เจริญแล้วมาทั้งชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้จักของสิ่งนี้ก็ไม่แปลก

บางคนอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมา

อย่างไรก็ตาม โดยไม่ให้เวลาพวกเขาคิดมากนัก ทันใดนั้นเสียงโหยหวนของ เหว่ย กัง ที่ดังราวกับหมูถูกเชือดก็ดังออกมาจากท้องฟ้า

มันได้ถูกขับเคลื่อนโดนปีกเจ็ท ร่างกายของเขาหมุนไปรอบๆบนท้องฟ้า ทำให้เวียนหัว

"ตั้งสติ! รักษาร่างกายของนายให้สมดุล"

หลิน ยู ที่รออยู่ด้านล่างพร้อมกับมังกรราชาปิศาจ 2 ตัว ตะโกนออกมาเสียงดัง

เหว่ย กัง ก็สมแล้วที่เป้นผู้ฝึกตนระดับ 6 สามารถในการควบคุมร่างกายของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก

ในที่สุดเขาก็สามารถความปีกเจ็ททะยานขึ้นไปบนอากาศได้แล้ว

"ฮ่าฮ่า ข้าบินได้ พระเจ้า ข้าบินได้แล้ว!!"

เมื่อมองไปยังผืนดินอันกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง เหว่ย กัง ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

บนเส้นท้างแห่งการฝึกตนนั้น นอกจากจะมีความสามารถพิเศษ โดยพวกทั่วไปพวกเขาต้องควบคุมกลับแห่งกฏและก้าวไปถึงระดับ 10 แล้วเท่านั้น พวกเขาถึงจะมีความสามารถบินบนท้องฟ้าได้

นั้นคือความฝันอันยิ่งใหญ่ของผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน

แต่ตอนนี้ ด้วยปีกเจ็ทคู่นี้อยู่อยู่บนหลังของเขา ทำให้เขาสามารถบินขึ้นไปในอากาศได้สำเร็จ ไม่ต้องบอกเลยว่าเขารู้สึกตื่นเต้นแค่ไหน

เขาถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ

เขามีความสุขมาก แต่เขานั้นไม่ได้สังเกต

ว่าเมือเวลาผ่านไป เปลวไฟที่อยู่หลังปีกของเขาค่อยๆสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขาบินถึงจุดสูงสุด มันก็ได้มีเสียง "โป๊ะ" ดังขึ้น

เปลวไฟได้ดับลง

ใช่ มันดับลงแล้ว....

.....

.....

"อ๊ากกก...."

เสียงร้องราวกับหมูถูกเชือด ดังก้องทั่วท้องฟ้าอีกครั้ง

ร่างกายของ เหว่ยกัง ที่มีน้ำหนักกว่า 100 ปอนด์ ตกลงสู่พื้นด้วยความเร็วสูง เขาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี

โชคดีที่มังกราชาปิศาจตอบสนองได้ทันเวลา คำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าบินไปรับเขาเอาไว้ได้ทัน ช่วยชีวิตน้อยๆได้หนึ่งชีวิต

"ดูเหมือนต้องเพิ่มเชื้อเพลิงเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง"

มองไปที่มังกรราชาปิศาจที่ค่อยๆบินลงมา หลิน ยู พูดอย่างแผ่วเบา

ราชันกลายพันธุ์ตอนที่ 259