ตอนที่ 107 - บทที่ 107 เป็นเจ้านั้นเอง

บทที่ 107 เป็นเจ้านั้นเอง

ปรากฎว่าหลังจากที่พวกเขาออกไปในตอนนั้น ก็มีหลายคนผ่านไป และพวกเขาก็ผงะเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้

แม้ว่าพวกเขาจะเกรงกลัวอยู่ แต่ทุกวันนี้ไม่เคยเห็นศพเลย?

หลายคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดขาด ค้นหาสิ่งของทีละชิ้น แม้แต่เสื้อผ้าบนศพพวกเขาก็ถอดออก

หลังจากพวกเขาค้นหาก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ หนึ่งในนั้นมีรอยแผลเป็นบนใบหน้าและศีรษะล้าน ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าของพวกโจรขโมยม้าเหรอ?

จากนั้นพวกเขาก็พบศพมากขึ้นเรื่อยๆ และคนเหล่านี้ก็อ้าปากค้างทันที

ศพเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นพวกโจรขโมยม้าไม่ใช่เหรอ?

และพวกเขาก็พากันสงสัยว่าใครคือคนฆ่าพวกเขา?

ในเวลานั้นผู้คนจำนวนมากก็มาถึงทีละคน และข่าวก็แพร่กระจายราวกับไฟป่าไปถึงหูของชายผู้พูดอยู่คนนี้ จากนั้นเขาจึงไปดูด้วยตาตัวเอง

สำหรับคนอื่นที่อยู่ที่นี่พวกเขามาจากทิศทางอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยธรรมชาติ

"เฮือก..."

หลังจากสิ้นเสียง ทุกคนในกลุ่มผู้ชมก็อ้าปากค้าง

“พวกโจรขโมยม้าพวกนั้นตายจริงๆ เหรอ?”

บางคนก็ยังไม่อยากเชื่อเหมือนเดิม

กวนเออร์เฟิงพูดอย่างไม่พอใจว่า "ข้าเห็นด้วยตาของตัวเอง ข้าจะโกหกเจ้าให้ได้อะไร บริเวณนั้นมีศพทั้งหมดมากกว่า 30 ศพ และหนึ่งในนั้นยังเป็นชายหัวโล้น"

“ถูกต้อง จำนวนคนตรงกัน” คนที่อยู่ข้างๆ เขาสะท้อน “และหัวหน้ากลุ่มขโมยม้าก็เป็นชายหัวโล้นจริงๆ ซึ่งนามสกุลของเขาดูเหมือนจะเป็นหวู่”

“ใช่ ใช่ ข้าก็เห็นคนกลุ่มนั้นขี่ม้าผ่านข้าไปด้วย ดูเหมือนพวกเขากำลังไล่ตามใครอยู่ ตอนนั้นข้ายังคิดว่าตัวเองคงจบสิ้นแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น แบบว่าพวกโจรขโมยม้าพวกนั้นตายไปแล้วจริงๆ เหรอ?”

ทันใดนั้น บรรยากาศก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่อยากจะเชื่อ แต่ข่าวนี้มันกะทันหันเกินไป

"แน่นอน พวกเขาตายแล้ว" เสียงของกวนเออร์เฟิงฟัง "พูดง่ายๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าไม่ต้องกังวลกับการเผชิญหน้ากับพวกโจรขโมยม้าอีกต่อไปแล้ว"

“คงจะดีมากถ้าเป็นเช่นนั้น”

“ใช่ ข้าไม่รู้ว่าคนใจดีคนไหนฆ่าพวกโจรขโมยม้าพวกนั้น ช่างใจดีจริงๆ!”

"ใช่แล้ว"

ทุกคนพยักหน้าอีกครั้งแล้วครั้งเล่า

เฉินฟานอยากจะหัวเราะเมื่อได้ยินอย่างนั้น

คนดีที่พวกเจ้าพูดถึงอยู่นั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม เขายังคงชอบที่จะปกปิดตัวตนและซ่อนความสำเร็จและชื่อเสียงของเขาเอาไว้ดีกว่า

ในขณะนี้ การสนทนาบนกำแพงเมืองทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน และหัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้น

“หวู่ปิงและกลุ่มของเขาถูกฆ่าตายงั้นเหรอ? เป็นไปได้อย่างไร?”

พวกทหารยามไม่อยากเชื่อ "คนกลุ่มนี้ฉลาดมาก พวกเขาเลือกเฉพาะคนที่อ่อนแอกว่า และเมื่อพวกเขาพบกับคนที่แข็งแกร่งกว่า พวกเขาก็มักจะเดินอ้อม แล้วพวกเขาจะฆ่าตายจนหมดได้ยังไง?"

“ข้าก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาจะโชคไม่ดีและเตะถูกแผ่นเหล็ก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพวกเขาจะหนีเอาชีวิตรอดใช่ไหม แถมพวกเขาตามทั้งหมด 30 คนและไม่มีใครรอดชีวิตเลยงั้นหรือ?”

“ข้าคิดว่าผู้ชายคนนั้นคงจะคุยโม้อยู่”

“หือ? หยางเสี่ยวฉุน”

มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจ้าไม่ใช่ว่าเห็นพวกโจรขโมยม้าผ่านกล้องส่องทางไกลเมื่อบ่ายวานนี้หรือ?”

หลังจากประโยคนี้ถูกพูดออกมา แทบทุกสายตาบนกำแพงเมืองก็จ้องไปที่ชายหนุ่มร่างผอมที่ดูเหมือนจะมีอายุในวัยยี่สิบต้นๆเป็นตาเดียวกัน

รวมถึงเฉินฟานด้วย

เดิมทีหยางเสี่ยวฉุนก็กำลังฟังเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อ และแอบดีใจในใจที่เขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความจริง แต่จู่ๆก็มีคนถามคำถามนี้กับเขา และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเต็มไปด้วยความตกใจ

"มีอะไรผิดปกติ?"

เมื่อคนอื่นเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

"ม่ะ..ไม่มีอะไร"

หยางเสี่ยวฉุนฝืนยิ้ม เลียริมฝีปากแล้วอธิบายว่า "ใช่แล้วในช่วงบ่ายนั้น ข้าเห็นพวกโจรขโมยม้าเหล่านั้นผ่านกล้องส่องทางไกล แต่ในเวลานั้นข้าเห็นว่าคนเหล่านั้นกำลังฆ่าคนอย่างโหดร้าย ข้าก็รู้สึกกลัวอย่างมากและไม่กล้าดูอีกต่อไป แม้ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้วก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากอยู่"

"เป็นเช่นนั้น"

คนที่ถามคำถามขอโทษ "ข้าขอโทษเสี่ยวฉุน ข้าไม่ควรถามเจ้าเพราะมันทำให้เจ้านึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นบ่ายวานนี้"

“เสี่ยวฉุน ลุงซูไม่ได้คิดร้ายอะไร เขาแค่ถามมากเกินไปเท่าน้้น เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”

“ไม่เป็นไรครับลุงซู ไม่มีอะไรหรอก”

หยางเสี่ยวฉุนยิ้ม “ทุกคนดูแลข้าเป็นอย่างดี ข้าจะคิดมากได้อย่างไร”

"ฮ่าๆๆ"

พวกทหารยามก็หัวเราะออกมา

“ดูเหมือนว่าพวกโจรขโมยม้าจะประสบอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นในภายหลัง”

“ใช่ อาจจะเหมือนกับที่เสี่ยวฉุนพูด เหล่าโจรขโมยม้าโหดร้ายมากจนเจ้านายที่แข็งแกร่งบางคนทนไม่ไหวแล้วจึงกวาดล้างพวกมันให้หมด”

“ก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นนะ ให้ตายเถอะ..โจรขโมยม้าพวกนี้ก็เหมือนฝูงแมลงวันส่งเสียงหึ่งๆ ตายไปซะก็ดี..จะได้ไม่ทำอันตรายผู้อื่น พอตายไปแล้ว..โจรขโมยม้ากลุ่มอื่นก็ไม่กล้าเข้ามาช่วงสั้นๆอย่างแน่นอน น่าจะสงบสุขได้สักพักแหล่ะ”

“ข้าแค่ไม่รู้ว่าพวกวัวป่าของพวกขโมยม้าหายไปไหน”

ไม่รู้ว่าใครพูดอย่างนี้ออกมา และบรรยากาศก็เงียบลงอีกครั้ง

หัวใจของหยางเสี่ยวฉุนพองขึ้นในลำคอทันที และเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เพื่อไม่ให้ทุกคนเกิดความสงสัย

“คนที่ฆ่าพวกเขาควรจะเอาพวกมันไปเหรอ?”

มีคนเดาออกมา

“ใช่ ถ้าเป็นข้า ข้าก็จะเอาพาหนะเหล่านั้นไปด้วยอย่างแน่นอน มันมีประโยชน์มากทั้งเอาไปขายหรือเอาไปใช้งาน”

“มันเป็นจำนวนเงินที่มากโขถ้าเอาไปขาย มากกว่า 30 คนนั้นคือวัวป่ามากกว่า 30 ตัว คิดเป็นเงินมากกว่า 100,000 หยวน และด้วยเงินจำนวนนี้เจ้าสามารถซื้อปืนไรเฟิลซุ่มยิงได้สองกระบอก ด้วยสิ่งนี้หากเจ้าออกไปล่าสัตว์และเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับกลาง เจ้าก็จะรวย"

“เฮ้ พูดแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราหรอก”

“ถูกต้อง ประตูกำลังจะเปิด..ทุกคนควรกลับไปประจำที่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นรองกัปตันจะเห็นก็โดนดุเอา”

หลังจากที่ทุกคนพูดคุญกันจบแล้ว พวกเขาก็ไปยังจุดที่พวกเขาประจำการทันที

ชายคนหนึ่งที่มีคางแหลมจ้องไปที่ด้านหลังของหยางเสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงหน้าเขา และมีความสงสัยอย่างมากในดวงตาของเขา

สิ่งที่เด็กคนนี้พูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นจริงๆเหรอ? เขาเห็นพวกโจรขโมยม้าฆ่าคน จากนั้นพวกโจรขโมยม้าถูกฆ่าหลังจากนั้นงั้นหรือ?

หรือว่าเด็กคนนี้กำลังโกหก?

เขาเห็นกระบวนการของพวกโจรขโมยม้าที่ถูกฆ่า แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมเขาไม่พูดอะไรออกมา?

หรือว่าเขารู้ว่าใครฆ่าพวกโจรขโมยม้าเหล่านั้น?

แล้วทำไมเขาไม่พูดออกมาล่ะ?

เขาคิดไม่ออก

ใต้กำแพงเมืองนั้นเฉินฟานมองดูหยางเสี่ยวฉุนอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็มองย้อนกลับไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยืนอยู่ด้านหลังแถวหน้าประตู

"เป็นเจ้านั้นเอง"

เขารู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นภูเขาผ่านหมอกควันแล้ว

บ่ายเมื่อวานนี้เขาเห็นพวกโจรขโมยม้าฆ่าคนด้วยกล้องส่องทางไกลงั้นหรือ?

ตามคำเตือนของเหมิงหยูพวกโจรขโมยม้าเหล่านี้นั่งรอมาตลอดบ่ายเพื่อรอให้กลุ่มของพวกเขาออกมา

แล้วยังบอกอีกว่าเขารู้สึกตกใจอย่างมาก

นั่นไม่เหมือนกับการที่พวกเขาจ้องมองกัน แล้วเขาก็รีบหลบอย่างเกรงกลัวงั้นหรือ?

จู่ๆ เฉินฟานก็ราวกับรู้แจ้ง เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่บุคคลนี้จะไม่บอกผู้อื่นว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อบ่ายวานนี้

และเขาก็เฉไฉพูดแก้ตัวไป

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญคือคนที่ชื่อหยางเสี่ยวฉุนรู้ว่าเขาและคนอื่นๆ เป็นใครหรือไม่?

ถ้าไม่รู้มันก็เป็นเรื่องดี แม้ว่าพวกเขาต้องระวังในครั้งต่อไปและทำตัวอย่าโอ้อวดเกินไปมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้ว

และนี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาตั้งตารอคอยมากที่สุด

แต่ถ้าเขารู้มันก็เป็นเรื่องที่ยากจะพูด

เว้นแต่หยางเสี่ยวฉุนคนนี้จะเป็นคนใจดี เขาจะทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าไม่เช่นั้น คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

ตามกฎของความโลภและความตะกละของมนุษย์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุด และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด

และเขาจะเอาชีวิตคนกว่าร้อยคนทั้งหมู่บ้านมาเดิมพันว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีคงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ทำแบบนี้

“แต่ไม่ว่าอย่างไรตาม การค้นพบตัวเขาก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะรับมือในเมื่อรู้ตัวการแล้ว”

เฉินฟานหายใจเข้าลึกๆ และเดินตามฝูงชนเข้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

เฉินฟานจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้าหนึ่งหยวนตามฝูงชนและเข้าไปในป้อมปราการ

ซ่งเจียเป่าในตอนเช้าดูเหมือนจะมีคนไม่มากนัก แต่เมื่อผู้คนที่เดินเข้ามาจากประตูทำให้ภายในนั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย

ในอากาศมีกลิ่นหอมจางๆ กลิ่นซาลาเปาเนื้อ ไม่ไกลออกไปนั้นประมาณห้าหรือหกเมตรมีร้านอาหารเช้าที่มีโต๊ะไม่กี่โต๊ะ

เฉินฟานคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินไปสั่งซาลาเปาและชามข้าวต้มราคาสามหยวน

ราคานี้แพงมาก แต่โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นคนเดิมและราคาเพียง 3 หยวนนั้นไม่ระคายมือเขาแล้วในตอนนี้

เขานั่งบนเก้าอี้ในมือข้างหนึ่งถือขนมปังด้วยทำท่ามึนงง แต่จริงๆ แล้วเขากำลังมองไปที่กำแพงเมืองและโฟกัสไปที่ด้านหลังของชายคนนั้น

“ต่อไปข้าควรทำอย่างไร?”

นี่คือสิ่งที่เขาต้องพิจารณาให้ดี

วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือไปคุยกับบุคคลที่ชื่อหยางเสี่ยวฉุนให้รู้เรื่อง

ดูจากการกระทำก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายแล้ว คนๆนี้ดูไม่จริงใจเลย เขามีไหวพริบและค่อนข้างฉลาด และคนฉลาดอาจไม่ใช่คนดี

จะจัดการกับคนประเภทนี้ คำพูดดีๆจะไม่ได้ผลอย่างแน่นอน เพียงวางมีดบนคอของเขาแล้ว และหลังจากเห็นเลือดแล้วอีกฝ่ายก็น่าจะร่วมมือ

แน่นอนว่าการทำเช่นนั้นอาจมีอันตรายแอบแฝงอยู่ด้วย

แล้วถ้าอีกฝ่ายเป็นคนดีจริงๆล่ะ? และถ้าเขาไม่รู้ตัวตนของเขาและคนอื่นๆจริงๆล่ะ? ที่เขาตอ้งโกหกเพื่อนๆเพราะเขาแค่ไม่อยากมีปัญหาล่ะ?

แล้วสิ่งที่เขาทำนั้นก็จะดูไม่เหมาะสม

เฉินฟานขมวดคิ้ว

เขามองเห็นหยางเสี่ยวฉุนหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาจากกระเป๋าของเขาและเริ่มมองไปรอบ ๆ ในทางตรงกันข้ามนั้นทหารยามคนอื่นๆต่างยืนหรือมองดูฝูงชนที่ผ่านไปมา

หลังจากคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาก็ยังรู้สึกว่าอยากจะไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง

หรือว่าเขาจะแกล้งทำเป็นคนร้ายให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นคนที่เหลือรอดของพวกโจรขโมยม้า และหลังจากแน่ใจว่าเขาเป็นคนเลวทราม จากนั้นจึงทำขั้นตอนต่อไปตามปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

แต่หลังจากคิดไปคิดมาแล้ว เขาก็คิดว่ามันไม่เข้าท่า เพราะเขาไม่มีความสามารถเหมือนพี่สาวของเหมิงหยูที่สามารถทำนายได้ตามที่ต้องการ

ดังนั้นตอนนี้เขาสามารถก้าวได้ทีละก้าวเท่านั้น

เขานั่งอยู่ที่นั่นเกือบชั่วโมง และต้องออกไปเมื่อเจ้าของแผงปิดร้าน

โชคดีที่ตอนนี้มีคนมากขึ้นและมีแผงขายของริมถนนมากขึ้นด้วย

“เขาคงไม่ยืนบนกำแพงเมืองทั้งวันหรอกนะ?” ใบหน้าของเฉินฟานเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาต้องเดินทางกลับประมาณห้าโมงเย็น ไม่เช่นนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าหน้าที่จะจับได้

ที่แย่กว่านั้นถ้าวันนี้ไม่มีโอกาสที่เหมาะสมเขาก็ต้องมาอีกในพรุ่งนี้ หากพรุ่งนี้ไม่มีโอกาสเขาก็จะกลับมาอีกครั้งในวันมะรืนนี้ เขาไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น

เพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่าอย่างมากสำหรับ!

ถ้าเขาใช้มันเพื่อฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เขาอาจจะทะลุไปถึงขั้นกลางของขอบเขตการปรับแต่งกล้ามเนื้อก็เป็นได้

แต่นอกเหนือจากนี้ มีอะไรที่เขาสามารถทำได้อีก?