ตอนที่ 285 เริ่มพัฒนาพรสวรรค์แห่งเผ่าพันธุ์

หลิน ยู นั้นไม่ได้อยู่ที่อู่เรือเหาะนานนัก

เขาเพียงแค่สอบถามเกี่ยวกับเส้นทางการบิน และตรวจสอบความคืบหน้าของการก่อสร้างบริเวณรอบๆเท่านั้น จากนั้นเขาก็ขี่ มังกรราชาปิศาจ กลับไปยังดินแดน

หลังจากนั้น

เขาก็เดินมายังใต้ต้นไม้โลกอีกครั้งเพื่อตรวจสอบดูพัฒนาการล่าสุดของเมืองหวงซา

นับตั้งแต่ก่อสร้างอู่เรือเหาะ จำนวนประชากรของเมืองหวงซาก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวกเร็ว

อย่างไรก็ตาม มันไม่มีสัญญาณว่าจำนวนประชากรจะลดลงแม้แต่น้อย มันกับเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นอย่างได้ชัดที่สุดก็คือรายรับรายวัน

จากพลังเวทย์ 100000 แต้ม/วันก่อนหน้านี้ได้กลายมาเป็นพลังเวทย์ 150000 แต้ม หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ มันก็ยังเหลือพลังเวทย์อีกกว่า 70000-80000 แต้ม

เขาไม่ได้เข้ามาดูมันซักพักหนึ่งแล้ว ทำให้พลังเวทย์ที่เขาได้รับนั้นสะสมอยู่ถึง 1 ล้านแต้ม

ส่วนพลังแห่งความศรัทธานั้น มันได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงประมาณ 35 แต้ม/วัน

เมื่อรวมกับ ลูกแก้วแห่งความศรัทธาที่ได้รับมาจากสนามรบหมื่นโลกก่อนหน้านี้ มันเกือบจะถึง 2500 แต้มแล้วซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของ 5000 ที่ใช้ในการอัพเกรดอย่างไรก็ตาม การอัพเกรดเป็นระดับ 8 ก่อนที่สนามรบหมื่นโลกครึ่งต่อไปจะเริ่มขึ้นมันไม่น่าจะเป็นไปได้

หลังจากวันเวลาผ่านไป

หลิน ยู นั้นรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันจะมีเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่เขาจะยกระดับให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลาและไม่ต้องเสียดายเมื่อโอกาสมาถึง

เขาปิดหน้าต่างและมองไปยังท้องฟ้าอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่ามันเป็นเที่ยงวันเข้าไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ไปยังภูมิภาคหลักของมอนสเตอร์เพื่อสำรวจอีก

แต่เขากลับใช้เวลานี้เทเลพอร์ตไปยังเกาะลอยฟ้าจัดการเคลียร์อาณาจักรลับระดับ SSS ที่มีระดับคะแนนต่ำ

แต่น่าเสียดาย

หลังจากที่เขาลงไปแล้ว 5 ครั้งแต่ก็ยังไม่ได้รับสมบัติใดๆแม้แต่น้อย

ในทางตรงกันข้ามค่าเข้ากับเพิ่มขึ้นถึง 2.5 ล้านแต้ม ซึ่งบวกลบค่าใช้จ่ายแล้วมันก็ไม่เพียงพอ

แต่มันก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง

ยกตัวอย่างเช่น หลังจากที่เขาสังหารมอนสเตอร์บอสระดับ 8 ไป 5 ตัว ต้นไม้โลกที่อยู่ในมิติต้นกำเนิดของเขาก็ดูจะพัฒนาขึ้นมาเล็กน้อย

แม้แต่ระยะของสกิลก็เพิ่มขึ้นเป็น 11 เมตร ซึ่งมันไม่เลวเลยทีเดียว

สำหรับวิลโลว์ลวงตานั้น เมื่อคิดดูแล้วว่าบางครั้งหลิง ซีก็ได้นำกองกำลังแยกไป พวกเขาก็ต้องการบัพจากดินแดนเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเก็บมันไว้ก่อนชั่วคราว

ด้วยสิ่งนี้ เมื่อเขามีกองกำลังมากขึ้นในอนาคต ต้นวิลโลว์ลวงตาก็เข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น

ภารกิจเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการสังหารมอนสเตอร์ระดับบอสให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มพลังให้กับมิติต้นกำเนิด

เพราะว่าระยะสกิลเพียงแต่ 11 มันดูน้อยเกินไปหน่อย

[ขอแสดงความยินดีกับท่านราชัน มิติต้นกำเนิดได้รับการพัฒนาขึ้น สกิลดินแดน "พรสวรรค์แห่งเผ่าพันธุ์" ได้รับการปลดล๊อกแล้ว]

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น

จู่ๆ ก็ได้มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในหัวของหลิน ยู

"มีสกิลใหม่ด้วยงั้นเหรอ?"

หลิน ยู ดู ตกตะลึงรีบเปิดหน้าต่างดินแดนเพื่อตรวจสอบทันที

[มิติต้นกำเนิด : ต้นไม้โลก (ต้นอ่อน)]

[เผ่าพันธ์ : เผ่าพฤกษา]

[ระดับ : ระดับ 7 (11/200)]

[ระยะ : 11 เมตร]

[สกิล : สนามวิญญาณ , พรสวรรค์แห่งเผ่าพันธุ์ (เปิดใช้งานสกิลทำให้ราชันและกองกำลังที่อยู่ในระยะได้รับบัพจากเผ่าพันธ์ ความสามารถของมันจะเพิ่มขึ้นตามระดับของมิติต้นกำเนิด)]

[หมายเหตุ : จิตวิญญาณที่ได้ถูกพัฒนาเติบโตขึ้นในระดับ 1 มันสามารถพัฒนากลายเป็นโลกได้ มันต้องการพลังต้นกำเนิดเพื่อใช้ในการชำระล้าง]

[เปิดที่นี้เพิ่มดูความสามารถที่เพิ่มขึ้นของแต่ละเผ่า]

เป็นอย่างที่คิดเอาไว้

หลังจากที่เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น ก็ได้มีข้อมูลของสกิลใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างแถมยังเป็นสกิลออร่าอีกด้วย

มันได้บันทึกความสามารถของแต่เผ่าเอาไว้ด้านล่างเช่นกัน

หลิน ยู ตกตะลึงรีบเปิดเพื่อตรวจสอบดู จากนั้นหน้าต่างข้อมูลที่ยาวเยียดก็ปรากฏขึ้น

[พรสวรรค์เผ่าพันธุ์ต่างๆ]

เผ่ามนุษย์ : เมื่อสวมใส่อุปกรณ์พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้น 2%

เผ่าอมนุษย์ : ทุกๆ 2% ของพลังชีวิตที่ลดลง จะเพิ่มค่าสถานะทั้งหมด 2 แต้ม

เผ่าสัตว์ร้าย : การโจมตีจะสร้างรอยแผลเอาไว้ ไม่สนใจพลังป้องกันของศัตรู 2%

เผ่าแมลง : การอัญเชิญทหารเพิ่มขึ้น 2% ขีดจำกัดทหาร +20

เผ่าอันเดด : พลังป้องกัน -1% ขีดจำกัดทหาร +10%

เผ่าพฤกษา : ค่าสถานะร่างกายเพิ่มขึ้น 2% ความเร็วในการฟื้นฟูเพิ่มขึ้น 2%

เผ่าจักรกล : ความต้านทานเวทย์มนต์เพิ่มขึ้น 2% ระยะโจมตีเพิ่มขึ้น 2%

เผ่าธาตุ : ค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้น 2%

เผ่าเทวดา : สกิลแสงศักดิ์สิทธิ์มีผลชำระล้างจิตใจ ส่งผลสกิลสกิลแสงศักดิ์สิทธิ์ครั้งต่อไปเพิ่มขึ้น 2%

เผ่าปิศาจ : การโจมตีจะติดคำสาป ลดค่าสถานะทั้งหมดของศัตรู 2%

.......

ยอดเยี่ยมจริงๆ

นี้เป้นพรสวรรค์ทั้งหมดของแต่ละเผ่าพันธุ์

มันสิ่งที่คอยสนับสนุนเขา

ดูเหมือนว่าหลังจากก้าวไปถึงระดับสูงแล้ว ในที่สุดความแข็งแกร่งของแต่ละเผ่าพันธุ์ก็ค่อยๆเผยออกมา

นี้เป็นเพียงแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น

หลังจากที่มิติต้นกำเนิดพัฒนาใหญ่ขึ้น มันจะทำให้พรสวรรค์แห่งเผ่าพันธุ์เหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะเผ่าแมลงและเผ่าอันเดดที่มีการปลดล๊อคขีดจำกัดกองทัพ

เมื่อระดับของมิติต้นกำเนิดแข็งแกร่งขึ้น มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นนไปอีก

เผ่าพันธุ์อื่นก็มีความสามารถเฉพาะตัวของพวกเขาเช่นกัน มันทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

เมื่อเขาคิดดูแล้ว ในตอนนี้เขาได้ให้การพัฒนามิติต้นกำเนิดสำคัญสูงสุด

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงไม่เคยเห็นราชันที่อยู่เหนือกว่าระดับ 8 เลย พวกเขาทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของภูมิภาคหลักของมอนสเตอร์เพื่อตามล่าสังหารเหล่ามอนสเตอร์ระดับบอสนี้เอง

มีอีกจุดที่ทำให้หลิน ยู มึนงง

นั้นคือตัวเลขที่อยู่ด้านหลังของระดับ

11/200

มันหมายความมิติต้นกำเนิดของเขานั้นสามารถขยายระยะไปได้ถึง 200 งั้นหรือ?

เขาไม่รู้ว่าผลของพรสวรรค์แห่งเผ่าพันธุ์จะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนเมื่อระยะของมันเต็มแล้ว

ดูเหมือนว่าเราจะได้รู้หลังจากรวบรวมพลังงานต้นกำเนิดได้มากยิ่งขึ้น

หลังจากที่คิดดู

เข้าก็ปิดหน้าต่างมูล ออกจากอาณาจักรลับกลับไปยังเกาะลอยฟ้า

ตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว

แต่ก็ยังมีราชันจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่บนเกาะลอยฟ้า

พวกเขาต่างพูดคุยและตั้งร้านค้าเพื่อขายของ มันทำให้พื้นที่นี้ดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนกลางวันซะอีก

หลิน ยู มองไปยังรายการจัดอันดับระดับ 7 เมื่อเขาเดินผ่านแท่นหินจัดอันดับ พบว่าเขาถูกบีบลงมาให้อยู่อันดับ 4

มีราชาอีกคนที่สามารถเคลียร์อาณาจักรลับด้วยคะแนน 1000 แต้มอันดับของเขารองลงมาจาก หยาน ลี่ และ ซือถู เจี้ยน ระยะเวลาที่เขาใช้ในการเคลียร์นั้นสั้นกว่าเขาอย่างเห้นได้ชัด

คาดว่าราชันเหล่านี้คงกำลังเตรียมพร้อมสำหรับสงครามหมื่นโลก เขาจำได้ว่าเมื่อเดือนที่แล้วมันมีคะแนนระดับ SSS ไม่มากนัก

"ยังเหลือเวลาอีกเดือนกว่าๆ"

หลิน ยู พึมพำอย่างเงียบๆ ดวงตาของเขากลายเป็นเคร่งขรึม

แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังจดจำความตื่นเต้นของ สนามรบหมื่นโลกอันดับ 1 ได้อยู่เลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้รู้ว่าเมื่อการต่อสู้ของสนามรบหมื่นโลกดำเนินไป มันทำให้โลกเหล่านั้นถูกพรากโชคชะตาไป หัวใจของเขาก็อดที่จะสั่นไหวไม่ได้

เขาไม่รู้ว่าสนามรบระดับ 7 นั้นจะเป็นอย่างไรจะต้องเจอศัตรูแบบไหน

สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้คือพัฒนาความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด

"งั้นก็กลับกันก่อนเถอะ"

เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มจะมืดลงแล้ว หลิน ยู ก็ไม่ได้อยู่นานนัก เขาเทเลพอร์ตกลับไปยังดินแดนทันที

หลังจากวันอันวุ่นวายจบลง มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะพักผ่อนได้อย่างสงบ ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปยังใต้ต้นไม้โลกและนั่งลง เริ่มดื่มดำกับอาหารเย็นที่ชาวเมืองส่งมาให้

"ฮ่าๆ พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดข้าก็ได้เก็บพลังงานต้นกำเนิดเต็ม และเปิดใช้งานมิติต้นกำเนิดแล้วในวันนี้ ความสามารถของมันยอดเยี่ยมมาก!"

"ว่าไงนะ? ทำไมถึงได้เต็มไว้ขนาดนั้น? หรือว่าเจ้าจะสังหารมอนสเตอร์ที่เหนือกว่าระดับบอสไป"

"น่าอิจฉาเป็นบ้า ข้าอยู่ระดับนี้มาหลายเดือนแล้ว มันเพิ่งจะเลย 50% มานิดหน่อยเท่านั้นเอง"

"มิติต้นกำเนิดระดับสูงสุดดูเหมือนระยะของมันจะเพิ่มได้สูงสุดแค่ 100 เมตรเท่านั้น หนทางของเจ้ายังอีกยาวไกลนัก"

"มิติต้นกำเนิดมันคืออะไรกัน ข้าเมิ่งซิน ไม่เข้าใจซักนิด"

ข่าวสารในช่องแชทยังคงเด้งขึ้นอย่างต่อเนื่องมันมีคนพูดถึงมิติต้นกำเนิดด้วย

สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ยาก และมันได้ดึงดูดความสนใจของ หลิน ยู ในทันที

เมื่อเขาเห็นเรื่องที่ราชันกำลังพูดถึง เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้

"มิติต้นกำเนิดของราชันระดับ 7 มีระยะสูงสุดแค่ 100 เมตรงั้นเหรอ?"

นี้มันไม่ถูกต้อง

มิติต้นกำเนิดของเขานั้นมีระยะสูงสุดถึง 200 กว่าเมตรอย่างชัดเจน

มีอะไรผิดพลาดหรือไม่?

นั้นเพราะขนาดของมิติต้นกำเนิดนั้นมีความเกี่ยวข้องโดยตรงต่อความแข็งแกร่งของพรสวรรค์แห่งเผ่าพันธุ์

ถ้ามิติต้นกำเนิดของเขามีขนาดเป็นสองเท่าของคนอื่นจริงๆ มันจะแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

นี้คงจะเป็นรางวัลที่ซ่อนอยู่ของต้นกำเนิดธรรมชาติที่เขาได้มาก่อนหน้านี้งั้นหรือ?

จู่ๆ หลิน ยู ก็นึกถึงฉากที่อลังกาลตอนที่เขาได้รับต้นกำเนิดธรรมชาติมา

ในตอนนั้นเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าต้นกำเนิดของเขานั้นแตกต่างจากราชันคนอื่นๆ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าความแตกต่างจะค่อยๆปรากฏออกมาแล้ว

ข้อสรุปนี้ทำให้เขาประหลาดใจอดที่จะสั่นไหวออกมาไม่ได้

ทำไมมันถึงได้เลือกเขากัน?

เป็นไปได้ไหมว่าเขานั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาราชันเผ่าพฤกษาทั้งหมด?

มันเป็นไปไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรมันก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขา มันยังไม่สายเกินไปที่จะมีความสุข

โดยทันที

เขามองไปยังหน้าต่างช่องแชทอีกครั้ง ให้ความสนใจกับการสนทนาของเหล่าราชันเพื่อดูว่ามันจะมีข้อมูลที่มีประโยชน์อีกหรือไม่

......

......

หลายวันผ่านไป

หลิน ยู ไม่ได้ทำอย่างอื่น

โดยปกติแล้ว ทุกวันๆ เข้าไปเดินทางไปมาระหว่างดินแดนกับภูมิภาคหลักของมอนสเตอร์ พยายามสังหารมอนสเตอร์ระดับบอสขึ้นไปเพื่อรวบรวมพลังงานต้นกำเนิด

เขาพบกว่า

โดยปกติแล้ว ทุกครั้งที่เขาสังหารมอนสเตอร์บอสระดับ 8 ทุก 5 ตัว ระยะของมิติต้นกำเนิดนั้นจะเพิ่มขึ้น 1 เมตร

ส่วนระดับ 7 นั้นเขาต้องสังหารถึง 10 หรือกว่านั้น พลังงานต้นกำเนิดที่ได้รับนั้นแทบจะไม่เพิ่มให้เขาแม้แต่น้อย

สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลำบากใจคือจำนวนของมอนสเตอร์ระดับบอส

ด้วยการเป็นพื้นที่ๆใกล้กับทางภูมิภาค ทำให้พื้นที่ทะเลทรายเต็มไปด้วยราชันจำนวนมากในทุกวัน

มอนสเตอร์ระดับบอสบางตัวที่เพิ่งเลื่อนระดับสำเร็จ พวกมันก็ถูกรุมสังหารจนตายในทันที เมื่อเขามาถึงมันก็ไม่เหลือขยะแม้แต่ชิ้นเดียว

เป็นเวลากว่า 6 วันเต็มๆ

เขาสังหารมอนสเตอร์บอสระดับ 8 ไปได้เพียงแค่ 20 ตัวเท่านั้น พรสวรรค์แห่งเผ่าพันธุ์ของเขานั้นพัฒนาไปได้อย่างเชื่องช้ามาก

"ดูเหมือนเราต้องเข้าไปลึกกว่านี้ซินะ..."

บนเนินทรายที่ส่วนลึกของทะเลทราย

หลิน ยู ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างแน่วแน่ มองเข้าไปยังส่วนลึกของภูมิภาคหลักของมอนสเตอร์

หลังจากเขาสำรวจมา 6 วัน เขาได้มายังสถานที่ๆอยู่ห่างไกลจากทางเข้าภูมิภาคหลักกว่าหลายพันกิโล

มันจะสามารถมองเห็นพื้นที่สีเทาได้จากระยะไกลอย่างคลุมเครือ เช่นเดียวพื้นที่ทะเลทรายที่ได้หายไปนานแล้ว

ใช่!

ในตอนนี้ หลิน ยู ได้ประสบความเร็จในการผ่านพื้นที่ทะเลทรายและมายังพื้นที่ใหม่

อย่างไรก็ตาม เขานั้นยังไม่ได้ออกจากพื้นที่ทะเลทรายและรีบมายังที่นี้ในทันที

เพราะเขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ยิ่งเข้าไปยังส่วนลึกมากเท่าไหร่ โอกาสในการเผชิญหน้ากับเหล่าราชันและมอนสเตอร์ระดับสูงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าเขาจะมีสกิลช่วยชีวิตสองอย่าง อาณาจักรแห่งสันติ กับเทเลพอร์ตแบบสู่ม แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าราชันระดับสูงเหล่านั้นจะมีวิธีการพิเศษใดๆหรือไม่

ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังอย่างมาก

แต่ในตอนนี้นั้นมอนสเตอร์บอสในพื้นทะเลทรายนั้นหาได้ยากมาก ดังนั้นเขาตรงมุ่งเน้นไปยังพื้นที่อื่นซะแล้ว

"ลืมไปมันก่อนก็แล้วกัน พวกเราไปสำรวจรอบๆกันก่อนดีกว่า"

ในที่สุด หลิน ยู ก็ตัดสินใจไปสำรวจดูรอบๆ

หลังจากผ่านจุดเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่มาแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังพื้นที่สีเทาพร้อมกับกองทัพพืชของเขา

เวลาค่อยๆผ่านไป

สายลมและทรายรอบตัวเขาค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นกลายเป็นบรรยากาศที่มืดมิดเต็มท้องฟ้า แม้แต่แสงแดดที่อยู่เหนือศรีษะของเขาก็ค่อยๆจางหายไป

มันคือพื้นที่ๆเต็มไปด้วยดินสีแดงอันเน่าเปื่อยและแห้งแล้ง

ไม่ว่าสายตาของเขาจะมองไปทางไหนก็พบเจอแต่กระดูกที่แห้งเหี่ยว ละอองเลือดกระจายลอยไปในอากาศ

เมื่อหายใจเข้าลึกๆจะได้กลิ่นเหม็นเน่า

ท่ามกลางสายหมอกหนารอบ มีสายลมพัดโชยพร้อมกับเสียงกัดกินก้องอยู่ในหูของเขา

หลิน ยู อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าใครจะที่จะสามารถทนอยู่ที่นี้ได้