ตอนที่ 80

บทที่ 80: ข้ารู้แค่วิธีฆ่าจริงๆ

ณ ห้องโถงด้านในสำนักงานเทศมณฑล

เฉินตงถือหนังสือสามเล่มเอาไว้ในมือและมอบให้ซุยเฮ็งด้วยความเคารพ “ ท่านผู้ว่าการ ข้าได้สอบปากคำซุนผานซื่อและหวังฉิงฉวนมาเรียบร้อยแล้ว”

“ ดีมาก” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย เขาหยิบหนังสือขึ้นมาและพลิกดูเล็กน้อย เขายิ้มและพูดว่า “ ไม่เลว เจ้ามีอะไรที่ต้องการหรือไม่?”

“ ข้า… ข้าต้องการจะหยุดสักสองสามวันเพื่อกลับไปยังบ้านเกิดของข้า” เฉินตงโค้งคำนับและพูดอย่างเขินอายว่า “ ข้ามีน้องสาวที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว และนางจะกลับมายังบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมญาติของเราในเร็วๆ นี้ เพราะงั้นแล้ว ข้าจึงอยากจะใช้เวลาทำอาหารอร่อยๆ ให้นางกิน”

“ โอ้?” ซุยเฮ็งยิ้มขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาพยักหน้าและพูดว่า “ ข้าไม่คิดมาก่อนว่าผู้บัญชาการเฉินจะมีด้านนี้ด้วย เอาล่ะ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าลางานได้สิบวัน แค่นั้นเพียงพอไหม ส่วนเงินเดือนของเจ้า เจ้าก็จะยังได้มันตามปกติ ข้าจะไม่หักใดๆ”

“ ขอบพระคุณนายท่าน!” เฉินตงโค้งคำนับและขอบคุณเขาก่อนที่จะพูดว่า “ อันที่จริง ข้าก็ไม่ได้ต้องการเวลาถึงสิบวัน เมื่อเร็วๆ นี้ ท่านก็เพิ่งจะออกประกาศใหม่ไป ดังนั้นพูดตามเหตุและผลแล้ว ข้าก็ไม่ควรจะทิ้งที่นี่ให้นานเกินไป”

ถ้าไม่ได้จริงๆ เขาก็ยังสามารถพาน้องสาวมายังที่ทำงานได้

ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็อายุยี่สิบแล้ว เธอน่าจะดูแลตัวเองได้แล้ว

นั่นคือสิ่งที่เขาคิด

“ ก็ได้ ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ” ซุยเฮ็งพยักหน้า

ตอนนี้เขามีความประทับใจที่ดีต่อเฉินตง เขากำลังพิจารณาว่าเขาควรจะให้เฉินตงดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปดีหรือไม่

ในตอนแรก ซุยเฮ็งก็เห็นว่าเฉินตงนั้นเอาแต่เดินเตร็ดเตร่ตลอดทั้งวันและไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงาน ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการให้กับฮุ่ยฉี

แต่ตอนนี้มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ฮุ่ยฉีก็เหมาะแล้วที่จะเป็นมีดคมในมือของเขาเพื่อความก้าวหน้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างชัดเจน ฮุ่ยฉีไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมในการบริหาร

เฉินตงจากไปอย่างมีความสุข ซุยเฮ็งเองก็เปิดหนังสือเล่มหนึ่งและพลิกดูอย่างระมัดระวัง

หนังสือทั้งสามเล่มนี้เป็นเคล็ดวิชายุทธ์ลับของสำนักไท่ชง เคล็ดวิชายุทธ์ลับของตระกูลหวังแห่งหลางหยา และข้อมูลที่หวังฉิงฉวนรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์เซียน 100 ปี

ในตอนนี้ ซุยเฮ็งก็กำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์เซียน 100 ปี

แม้ว่าหวังฉิงฉวนจะเป็นเพียงผู้รับผิดชอบสาขาที่สี่ของตระกูลหวังแห่งหลางหยา แต่เขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตนระดับแนวหน้าขอบเขตสัมผัสโลกา เขามีคุณสมบัติพอที่จะได้เข้าร่วมในเหตุการณ์เซียนและได้รู้ข้อมูลมากมาย

ประการแรก เหตุการณ์เซียนนี้เกิดขึ้นโดยเซียนมนุษย์ของ “โลกเบื้องบน”

สำหรับโอกาสที่รออยู่นั้น เขาก็ไม่ได้รู้มากนัก เพราะมันจะเปลี่ยนไปตามความคิดของเซียนมนุษย์จากโลกเบื้องบน

มันอาจจะเป็นเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ ยาศักดิ์สิทธิ์ สมุนไพรเซียนหรือเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถยืดอายุของคนๆ หนึ่งได้เป็นต้น

กล่าวโดยง่าย พวกมันก็เป็นสมบัติที่ไม่มีอยู่ในโลกมนุษย์

นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนระดับแนวหน้าขอบเขตสัมผัสโลกา นี่อาจเป็นโอกาสเดียวของพวกเขาที่จะได้บุกทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทพ

เมื่อใดก็ตามที่ครบ 100 ปี ผู้ว่าการรัฐก็จะสามารถนำยอดฝีมือระดับแนวหน้าอย่างน้อยสามคนมาทำพิธีด้วยได้

จากนั้นพวกเขาก็จะคุกเข่าเพื่อรอต้อนรับเซียนมนุษย์จากโลกเบื้องบน

ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสหรือไม่ ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติงานของผู้ว่าการรัฐและยอดฝีมือระดับแนวหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น อาจเป็นเพราะประเพณีหรือข้อจำกัดบางอย่างของเซียนมนุษย์จากโลกเบื้องบน โอกาสเหล่านี้จึงต้องส่งมอบให้กับผู้ว่าการรัฐเป็นคนแจกจ่ายเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง ในกระบวนการนี้ ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐจึงขาดไม่ได้

ท้ายที่สุดแล้ว มันจึงไม่สำคัญว่าบุคคลในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐจะเป็นใคร และในทุกๆ 100 ปี ผู้ว่าการรัฐที่ไม่มีภูมิหลังใดๆ โดยทั่วไปแล้วก็จะต้องเสียชีวิตลงเนื่องจากอุบัติเหตุ

นี่เองก็เป็นกรณีเดียวกันกับของเฉาฉวน

ก่อนหน้านี้ เฉาฉวนก็เคยร่วมงานกับยอดฝีมือหน้าใหม่อย่างซูเฟิงอันเพื่อใช้พลังของซูเฟิงอันในการปกป้องชีวิตของเขา

อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่เขาไม่ประสบความสำเร็จและยังคงเสียชีวิตในท้ายที่สุด

และด้วยเหตุนี้เอง มันจึงเกิดการแย่งชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐขึ้นในท้ายที่สุด

หวังฉิงฉวนเองก็มาที่เฟิงโจวด้วยเหตุผลเดียวกัน

ตระกูลหวังแห่งหลางหยายึดครองลู่โจว การกระจายโอกาสเซียนในลู่โจวทั้งหมดนั้นอยู่ในมือของพวกเขา ดังนั้นมันจึงไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องอยากได้โอกาสเซียนของรัฐอื่น

อย่างไรก็ตาม การกระจายภายในของตระกูลหวังนั้นก็แตกต่างออกไป

ในฐานะหัวหน้าสาขาที่สี่ หวังฉิงฉวนก็ไม่สามารถรับอะไรได้มากนัก ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว เขาจึงมุ่งความสนใจไปที่เฟิงโจวซึ่งจู่ๆ ก็มีตำแหน่งว่างขึ้นมา

เขาต้องการจะใช้อำนาจของเขาเพื่อสนับสนุนผู้ว่าการมณฑลให้ไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐและใช้ความโปรดปรานนี้เพื่อรับโอกาสเซียนส่วนมากในเฟิงโจว

เขาวางแผนที่จะบุกทะลวงไปสู่ขอบเขตเทพและออกจากตระกูลหลักเพื่อก่อตั้งสำนักเป็นของเขาเอง

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะดันใครสักคนขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ

อย่างน้อยที่สุด หนึ่งก็จะต้องได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายสูงสุดก่อน เช่น อันดับหนึ่งของสำนักเต๋า ตำหนักเต๋าอี้, หัวหน้าหอพุทธมามกะเป๋าหลินของสำนักพุทธ หรือสองตระกูลที่โด่งดังจากตระกูลทั้งเจ็ด จากนั้น พวกเขาก็จะต้องได้รับการแนะนำจากผู้ว่าการรัฐคนอื่นๆ ของที่ราบภาคกลางในปัจจุบัน และหลังจากได้รับการอนุมัติจากจักรพรรดิแล้วเท่านั้น พวกเขาถึงจะสามารถดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐคนใหม่ได้

แน่นอน เว้นซะแต่คำสั่งของราชสำนักจะได้รับการอนุมัติจากรัฐมนตรีคนสำคัญจากเจ็ดตระกูลที่โด่งดัง นอกจากนั้นมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะออกจากทวีปกลาง นอกจากนี้ การเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐก็ยังจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากสองตระกูลจากเจ็ดตระกูลที่โด่งดัง ดังนั้นจดหมายแนะนำส่วนใหญ่จึงจะถูกละไว้

เป็นเพราะเหตุนี้เอง หวังฉิงฉวนถึงนำหวังจินเซิงมาด้วย

แม้ว่าหวังจินเซิงจะไม่ใช่ทายาทสายตรงของตระกูลหวังแห่งหลางหยาและเป็นเพียงลูกชายคนโตของหัวหน้าสาขาที่สาม แต่แม่ของเขาก็มาจากตระกูลเซี่ยแห่งภูเขาปิง และยายของเขาก็มาจากตระกูลเย่แห่งเจียงหนาน และพ่อของเขาก็ยังมีหนี้บุญคุณติดค้างกับเจียงหวานซาน หัวหน้าสำนักเลขาธิการจากตระกูลเจียงแห่งหนานเหอ

เขาสามารถติดต่อสี่ในเจ็ดตระกูลที่โดดเด่นได้ด้วยหมากเพียงตัวเดียว และในกระบวนการเลือกผู้ว่าการรัฐ หวังจินเซิงก็จะมีประโยชน์อย่างมาก

“ หวังจินเซิงมีภูมิหลังที่ดีจริงๆ นี่จะต้องเป็นข้อมูลสำคัญที่ซุนผานซื่อคิดจะใช้ต่อรองแน่นอน” ทันใดนั้นซุยเฮ็งก็หัวเราะ

“ ในกรณีนี้ หวังจินเซิงก็คงจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนิดแล้วสิ”

เพียงแค่จับคนๆ นี้เอาไว้ได้ เขาก็จะสามารถดึงดูดความเป็นปรปักษ์ของสี่ตระกูลที่โด่งดังและความเกลียดชังของพวกเขาได้

เขาจะได้รับแสงสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดชังมามากน้อยเพียงใดกันนะ?

หวังจินเซิงเป็นเหยื่อล่อชั้นยอดจริงๆ!

นี่เป็นกำไรที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน เดิมทีซุยเฮ็งก็วางแผนที่จะฆ่าหวังจินเซิงในทันทีหลังจากการพิจารณาคดีจบลง

โชคดีที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น

มิฉะนั้นแล้ว เขาก็คงจะได้รับเพียงความกลัวและความโกรธเท่านั้น

จากนั้นซุยเฮ็งก็พลิกดูเคล็ดวิชายุทธ์อีกสองเล่มและมุ่งเน้นไปที่วิชาของหวังฉิงฉวน

นี่คือวรยุทธ์ที่สืบทอดกันมาจากตระกูลหวังแห่งหลางหยา บางทีเขาอาจรวบรวมข้อมูลของขอบเขตเทพจากมันได้

จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนขอบเขตเทพตัวจริงมาก่อน และเขาก็ไม่เคยเห็นเคล็ดวิชาขอบเขตเทพเลย

ขอบเขตเทพนั้นเทียบเท่ากับขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ดถึงเก้า มันเป็นเพียงการคาดเดาที่เขาสร้างขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกานั้นเทียบได้กับขอบเขตสกัดปราณขั้นหกเท่านั้น

“ เหตุใดเคล็ดวิชาของหวังฉิงฉวนถึงอยู่เพียงขอบเขตสัมผัสโลกาเท่านั้นเอง?”

ซุยเฮ็งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยหลังจากพลิกดูคร่าวๆ “ เป็นไปได้ไหมที่แม้แต่กลุ่มใหญ่อย่างตระกูลหวังแห่งหลางหยาเองก็สามารถไปถึงขอบเขตเทพได้เฉพาะแค่ในตระกูลหลัก?

นี่เป็นไปได้อย่างยิ่ง

ในโลกใบนี้ เหตุผลหลักว่าทำไมผู้สืบสายเลือดโดยตรงของสายเลือดหลักจึงสามารถรักษาสถานะของตนไว้ได้นั้นก็ไม่ใช่เพราะอื่นใดนอกจากการขยายช่องว่างระหว่างพวกเขากับสาขาอื่นๆ ในแง่ของทรัพยากรและการสืบทอดทักษะวรยุทธ์

“ หลังจากออกประกาศเรียบร้อยแล้ว ฉันก็จะได้รับกระแสความเกลียดชังแน่นอน และหากตระกูลหวังแห่งหลางหยา, ตระกูลเย่แห่งเจียงหนาน และตระกูลเซี่ยแห่งปิงซานไม่มาหาเรื่องฉัน ฉันก็ยังสามารถไปหาพวกเขาได้”

ซุยเฮ็งตัดสินใจแล้ว

อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่สิ่งที่เรียกว่าเซียนมนุษย์จะลงมายังโลก เขาก็จะต้องค้นหาให้ได้ว่าขอบเขตเทพและขอบเขตเซียนมนุษย์นั้นเทียบเท่ากับขอบเขตใดของเขา จากนั้นเขาก็จะสามารถประเมินระดับของเซียนปฐพีและเซียนสวรรค์ต่อไปได้

“ จะว่าไป ตอนนี้ฮุ่ยฉีจะเป็นยังไงบ้างนะ”

เขามองขึ้นไปในทิศทางของมณฑลไท่ชางและรู้สึกว่าเขาสามารถเห็นภาพศพไร้หัวและแม่น้ำเลือดไหลอาบนองได้

….

ณ มณฑลไท่ชาง

ฮุ่ยฉีอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาสามวันแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

จริงๆ แล้วในวันแรกที่เขามาถึง เขาก็ได้พบกับผู้ว่าการของที่นี่แล้วและได้อธิบายความตั้งใจของซุยเฮ็งแล้ว

แต่กระนั้น ฮุ่ยฉีก็ไม่ได้ดำเนินการโดยทันที แต่เขารอฟังข่าวอย่างเงียบๆ

อย่างไรก็ดี เวลาก็ได้ผ่านไปสามวันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการดำเนินการตามประกาศเลย มันไม่มีการแจ้งให้ทราบแม้แต่ครั้งเดียว!

“ จ้าวฮวย เจ้าคิดว่าข้าใจดีเกินไปรึเปล่า?” ฮุ่ยฉีถามชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขา

ชายคนนี้คือลุงสามของจ้าวกู่ตัน จ้าวฮวย เขายังเป็นหนึ่งในทหารที่ติดตามซุยเฮ็งมายังมณฑลลู่

เนื่องจากผลงานที่ดีและขยันหมั่นเพียร เขาจึงถูกย้ายมาอยู่ฝ่ายกับฮุ่ยฉีในฐานะผู้ช่วย

“ นายท่านใจดีเกินไปจริงๆ” จ้าวฮวยพยักหน้าและพูดว่า “ ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ข้าก็ได้แอบไปเยี่ยมหลายตระกูลและได้ยินหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับสำนักไท่ชงที่รังแกชาวบ้าน”

“ พวกเขาลักพาตัวผู้หญิงและข่มขืนเด็กสาว รังแกผู้คนกลางแจ้งและอื่นๆ สำนักไท่ชงนั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นเผด็จการท้องถิ่นของมณฑลไท่ชางโดยสมบูรณ์ พวกมันสมควรถูกฆ่าตาย!”

“ ฮ่าฮ่า จ้าวฮวย เจ้ากำลังเยาะเย้ยข้ารึเปล่าเนี่ย?” ฮุ่ยฉีมองไปที่จ้าวฮวยด้วยความประหลาดใจและพูดด้วยรอยยิ้ม “ ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนแบบนี้”

“ เมื่อก่อนข้ายังคงเป็นเพียงผู้ลี้ภัย ดังนั้นข้าจึงต้องเจียมตัวและไม่กล้าพูดอะไรมากเพื่อปกป้องตัวเอง” จ้าวฮวยมีเหตุผลของเขาเอง “ และมาตอนนี้ ข้าก็กำลังติดตามท่านอยู่ และท่านก็ได้บอกให้ข้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นข้าจึงทำตามที่ท่านบอกอย่างเคร่งครัด”

“ ใช่แล้ว ถูกต้อง เจ้าทำถูกต้องแล้ว!” ฮุ่ยฉีกล่าวพร้อมกับพยักหน้า “ เดิมทีข้าก็ต้องการจะแสดงความสามารถด้านอื่นที่นอกเหนือจากการฆ่าคนเพื่อให้ท่านผู้ว่าการเห็นว่าข้าไม่เพียงแต่จะรู้วิธีการฆ่าคนเท่านั้น และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้ารอมาถึงสามวัน”

“ อย่างไรก็ดี เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว ข้าก็คิดผิด ข้าคงจะรู้แค่วิธีฆ่าเท่านั้นจริงๆ! ไปกันเถอะ ตามข้าไปที่สำนักงานเทศมณฑล ขอข้าดูหน่อยเถอะว่าคอของมันจะแข็งขนาดไหน มันถึงกล้าขัดคำสั่งข้าจริงๆ!”

….

ในห้องโถงด้านในของสำนักงานเทศมณฑลไท่ชาง

เฉียนฟางคงผู้ว่าการมณฑลก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาพูดกับซงหมิงที่อยู่ข้างๆ ว่า “ เจ้าคิดว่าเราจะทำให้ผู้ว่าการมณฑลลู่โกรธด้วยการกระทำเช่นนี้จริงๆ หรอ? ว่ากันว่าผู้ว่าการมณฑลคนใหม่นี้ได้เริ่มการสังหารหมู่ในมณฑลลู่และบุกโจมตีพ่อค้ารายใหญ่หลายรายไปแล้ว!”

มณฑลลู่อยู่ห่างจากที่นี่ไปมากกว่า 400 ลี้และไม่มีการรับส่งข้อมูลกันในทุกๆ วัน ด้วยเหตุนี้เอง ตอนนี้พวกเขาจึงเพิ่งจะได้รับข่าวว่าซุยเฮ็งได้สั่งการจู่โจมเหล่าพ่อค้าในมณฑล และพวกเขาก็ยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการพิจารณาคดีต่อสาธารณะชน

“ เรียนท่านผู้ว่าการ ท่านจะคิดมาเกินไปแล้ว” ซงหมิงยิ้มอย่างใจเย็น “ ลองคิดดูสิว่าพ่อค้ารายใหญ่เหล่านั้นมีใครสนับสนุนบ้าง พวกเขามาจากสำนักและตระกูลใหญ่”

“ ตั้งแต่สมัยโบราณ คนที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในโลกก็คือพวกเขาเสมอมา ยกตัวอย่างสำนักไท่ชงของเรา ท่านต้องการจะให้พวกเขามาฟังและหารือเกี่ยวกับประกาศจากผู้ว่าการมณฑลลู่ แต่กระนั้นท่านก็ไม่สามารถแม้แต่จะเดินเข้าไปในประตูหลักของพวกเขาได้”

“ ผู้ว่าการคนนั้นกล้าเสี่ยงจะเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกและทำให้พวกเขาขุ่นเคือง ข้าเกรงว่าเขาคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”

“ ใช่ ใช่ นั่นสินะ” เฉียนฟางคงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ ถูกต้อง สำนักและตระกูลใหญ่เหล่านี้เป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของโลกใบนี้”

“ ฮ่าฮ่า ข้าสงสัยจริงๆ ว่าผู้ว่าการมณฑลคนใหม่กำลังคิดอะไรอยู่ เขาถึงได้ออกประกาศบังคับซื้อธุรกิจของสำนักและตระกูลใหญ่ในราคา 10% ของมูลค่าของมัน”

“ สิ่งนี้เรียกว่าการกินสารหนู” ซงหมิงหัวเราะเยาะ “พวกเขาคงจะเบื่อชีวิตจองตนเองแล้ว!”

ปัง!

ในขณะนี้ จู่ๆ ประตูห้องโถงด้านในของสำนักงานก็ถูกเปิดออก

ฮุ่ยฉีเดินเข้ามาพร้อมกับกระบี่เหล็กเปื้อนเลือด สายตาอันเย็นชาของเขาจ้องมองไปที่เฉียงฟางคงและซงหมิงในขณะที่เขาถามว่า

“ เมื่อกี้พวกเจ้าสองคนกำลังพูดถึงใครนะ?”